- คุณ ผม และผู้คนที่สวนกันบนรถไฟสายฮังคิว คือนิยายขนาดกะทัดรัด ที่ร้อยเรียงเรื่องราวอันอบอุ่นหัวใจ ที่เกิดขึ้นบนรถไฟธรรมดาๆ ขบวนหนึ่ง โดยแต่ละบทในเรื่อง คือหนึ่งสถานีที่เป็นจุดหมายของรถไฟขบวนนี้
- นิยายเรื่องนี้พูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘การพบเจอ’ บางครั้งก็ดูเหมือนไม่มีที่มาที่ไป เหมือนกับเป็นแค่ความบังเอิญทั่วๆ ไป ทว่าบางครั้งความบังเอิญ ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เกิด ‘การพบเจอ’ เหล่านี้
- รถไฟบางขบวนอาจจะสนุก มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและผู้คนที่น่าคบหา บางขบวนก็อาจจะแออัดและเต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่แยแสเรา แต่อย่างไรในท้ายที่สุด รถไฟก็จะแล่นไปจนถึงสถานีสุดท้าย
ผมรู้จักเว็บไซต์แปลกๆ เว็บไซต์หนึ่งที่มีชื่อว่า The Dictionary of Obscure Sorrows แปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า พจนานุกรมแห่งความเศร้าเร้นลับ คำศัพท์ทุกคำที่ถูกรวบรวมเอาไว้ในพจนานุกรมดิจิทัลเล่มนี้นั้นเป็นคำศัพท์ที่ไม่มีอยู่จริง และเป็นคำศัพท์ที่เฉพาะเจาะจงมากๆ จนแทบไม่มีโอกาสได้ใช้ในชีวิตประจำวัน
หนึ่งในคำศัพท์เหล่านั้นคือคำว่า sonder ซึ่งมีนิยามยืดยาวอยู่ว่า “การตระหนักรู้ว่าคนทุกคนที่เดินสวนกับคุณนั้น มีชีวิตอันหลากสีสันและสลับซับซ้อนไม่แพ้ชีวิตของคุณเอง พวกเขาทุกคนมีเพื่อน เพื่อนของเพื่อน ครอบครัว ความฝัน ความวิตกกังวล และความเร้นลับเป็นของตัวเอง ทุกๆ คนที่เดินผ่านคุณไปบนถนน ล้วนเป็นตัวเอกในเรื่องราวของพวกเขา เส้นทางสู้ชีวิตอันนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาในทุกๆ วินาทีและดับหายไปในชั่วครู่ อาจเป็นใครบางคนที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ในฉากหลัง เป็นไฟหน้ารถที่สว่างวาบเพียงครู่เดียว หรือเป็นหน้าต่างบานหนึ่งที่เปิดไฟค้างไว้ในช่วงพลบค่ำ”
ผมเชื่อว่า ความรู้สึกเช่นนี้คงจะเคยเกิดขึ้นกับทุกคนอย่างน้อยก็สักครั้งสองครั้ง มันอาจทำให้คุณรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก หรือไม่ก็ทำให้คุณรู้สึกทึ่งในสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณอยู่เสมอ สำหรับผม ความคิดเช่นนี้มักเกิดขึ้นในตอนที่ผมอยู่ในที่ที่คับคั่งและไม่มีอะไรทำนอกจากนั่งรอ ฟังเพลง เล่นโทรศัพท์ หรือจ้องมองผู้คนที่ผ่านไปผ่านมารอบๆ ตัว และส่วนมากผมจะมีโอกาสได้ทำเช่นนั้นเมื่ออยู่บนรถไฟขบวนใดขบวนหนึ่ง
คุณ ผม และผู้คนที่สวนกันบนรถไฟสายฮังคิว คือนิยายขนาดกะทัดรัด ที่แปลงความรู้สึกเช่นนี้ออกมาในรูปแบบตัวอักษรได้ดีเยี่ยม แต่ละเหตุการณ์ร้อยเรียงกันเป็นเรื่องราวอันอบอุ่นหัวใจที่เกิดขึ้นบนรถไฟธรรมดาๆ ขบวนหนึ่ง
ขบวนรถไฟสายฮังคิว เริ่มวิ่งจากสถานีทาคาระซึกะ และสิ้นสุดสายที่สถานีนิชิโนะมิยะคิตะงุจิ มันวิ่งรับส่งผู้โดยสารทุกวันอย่างไม่รู้เหนื่อย มันจะเทียบชานชาลาอย่างนุ่มนวล เปิดประตูของมันออก รับผู้โดยสารนับร้อยคนเข้าไป ปิดประตู และเคลื่อนตัวสู่สถานีต่อไปด้วยความแม่นยำและตรงต่อเวลา ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทุกวี่ทุกวัน เป็นหน้าที่ของเครื่องจักรโดยแท้จริง
แต่ถึงอย่างนั้น รถไฟขบวนนี้ (และทุกขบวน) ก็ไม่ได้ไร้ชีวิตจิตใจ เพราะขบวนรถไฟคือสิ่งที่โอบรับผู้คนมากมายและเรื่องราวของพวกเขาเอาไว้ในจุดเดียวกัน สักวันหนึ่ง สักช่วงเวลาหนึ่ง เรื่องราวพวกนั้นจะเกี่ยวพันกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
คู่หนุ่มสาวหนอนหนังสือที่พบกันอย่างไม่คาดคิด
หญิงสาวในชุดเจ้าสาวที่ไม่ใช่เจ้าสาว
หญิงชรามากประสบการณ์ชีวิตกับหลานสาว
แฟนสาวที่กำลังทะเลาะกับหนุ่มหัวร้อนอารมณ์เดือด
เด็กสาวมัธยมปลายที่คบหากับหนุ่มซื่อบื้อ
นักศึกษาบ้านนอกสองคนที่กำลังคุยเรื่องเฮลิคอปเตอร์
เหล่าแม่บ้านชั้นสูงที่ส่งเสียงดังรบกวนผู้โดยสาร
เหล่าผู้คนแปลกหน้าที่ร่วมใจกันมาอยู่บนรถไฟแคบๆ สังเกตเห็นกันและกัน พูดคุยกัน กระทบกระทั่งกัน ตกหลุมรักกัน หรือบางคราวก็แค่เดินผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ
เรื่องราวของพวกเขาดำเนินต่อไปในทุกๆ สถานี บางคราวเรื่องราวหนึ่งจบลงเพื่อให้อีกเรื่องหนึ่งเริ่มขึ้น บางคราวเรื่องราวสองเรื่องดำเนินไปพร้อมๆ กัน และบางคราวเรื่องราวของพวกเขาก็สวนทางกัน เกี่ยวพันกันเป็นเส้นสายของความสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
คุณจะอยากหยิบนิยายเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน หากคุณต้องการสัมผัสถึงเศษเสี้ยวเล็กๆ ในชีวิตของผู้คนมากหน้าหลายตา ค้นหากำลังใจในการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ปลอบประโลมหัวใจจากการจากลา หรือแค่ต้องการนั่งบนรถไฟและชมวิวจากหน้าต่าง ค่อยๆ รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่แผ่ขยายออกเหมือนระลอกน้ำเล็กๆ
นิยายขนาดกะทัดรัดอีกเรื่องหนึ่งที่ดำเนินเนื้อเรื่องในสไตล์คล้ายๆ กันคือ เสี้ยวชีวา คีตา ราตรี ของ อิซากะ โคทาโร่ (ยังคงเป็นนิยายที่มีชื่อเรื่องเท่ที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา)
ทั้งสองเรื่องนี้มีจุดร่วมคือความกระชับของเนื้อเรื่อง ตัวละครที่หลากหลาย และชั้นเชิงการเขียนที่อธิบายได้ว่าคล้ายกับภาพยนตร์เรื่อง Pulp Fiction หากคุณเอาความรุนแรงเลือดสาดออกและแทนที่ด้วยความรู้สึกนุ่มฟูอบอุ่นหัวใจ
นิยายเรื่องนี้พูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘การพบเจอ’ มันคือเหตุการณ์ที่บางครั้งก็คลุมเครือ บางครั้งก็ดูเหมือนไม่มีที่มาที่ไป เหมือนกับเป็นแค่ความบังเอิญทั่วๆ ไป ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ไม่ต่างจากที่ผู้คนบังเอิญชนกันระหว่างที่เดินสวนกันบนขบวนรถไฟ ทว่าบางครั้งความบังเอิญก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เกิด ‘การพบเจอ’ เหล่านี้
ในบทแรกของนิยายเรื่องนี้ พนักงานบริษัทเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ทำให้เขารู้จักกับภรรยา มันเป็นเหตุการณ์ที่ดูเชย จนเหมือนเป็นฉากที่หลุดออกมาจากละคร ภรรยาของเขาบังเอิญทำกระเป๋าสตางค์ตกบนถนนและเขาก็เป็นคนหยิบไปคืนให้เธอ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์
เช่นเดียวกัน หนุ่มหนอนหนังสือที่โดยสารบนรถไฟสายฮังคิวก็ได้สนทนากับแฟนสาวในอนาคตของเขาเป็นครั้งแรกเมื่อเธอนั่งลงข้างๆ เขาและชวนคุยเรื่องทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง
“โชคดีจังเนอะที่เกิดเรื่องบังเอิญแบบนั้น” ชายหนุ่มผู้บังเอิญพบรักทั้งสองคนพูดเช่นนั้น
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ภรรยาที่ทำกระเป๋าสตางต์หล่นนั้นจริงๆ แล้วเธอตั้งใจทำหล่นเพราะอยากรู้ว่าชายที่เป็นสามีในอนาคตของเธอจะสังเกตเห็นรึเปล่า และหญิงสาวบนรถไฟสายฮังคิวก็ตั้งใจเลือกที่นั่งตรงนั้นเพราะเธอรู้สึกถูกชะตากับชายหนุ่มตั้งแต่ที่เห็นเขาในห้องสมุด
มันอาจจะดูเหมือนเหตุการณ์ที่ไม่สลักสำคัญ เราอาจจะไม่รู้ตัวตั้งแต่วินาทีแรกที่มันเกิดขึ้น แต่พอลองมองกลับมา ก็สามารถหัวเราะและพูดได้ว่า “จริงๆ แล้วเหตุการณ์นั้นคือการพบเจอนี่นา”
เนื้อเรื่องใน คุณ ผม และผู้คนที่สวนกันบนรถไฟสายฮังคิว นั้นถูกแบ่งออกเป็นบทๆ แต่ละบทคือหนึ่งสถานีที่เป็นจุดหมายของรถไฟขบวนนี้ เมื่อเดินทางมาถึงสถานีสุดท้าย เราก็ได้เห็นจุดเริ่มต้นที่เป็นเหมือนประกายไฟแห่งความสัมพันธ์ของผู้คนมากมายหลายคู่มาแล้ว แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของนิยายเล่มนี้
เพราะว่ารถไฟยังต้องวิ่งย้อนกลับอีกหนึ่งครั้ง จากสถานีนิชิโนะมิยะคิตะงุจิ วิ่งย้อนกลับมาจนถึงสถานีทาคาระซึกะ เหตุการณ์เล็กๆ ที่ถูกเกริ่นเอาไว้ในครึ่งแรกแผ่ขยายออกเป็นเรื่องราวชีวิตของตัวละครเหล่านั้น ความรู้สึกของพวกเขา การตัดสินใจ และการเริ่มต้นเรื่องราวใหม่ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
คู่หนุ่มสาวหนอนหนังสือที่กำลังพัฒนาความสัมพันธ์
หญิงสาวที่เพิ่งทิ้งชุดเดรสสีขาวไปพร้อมกับอดีตของเธอ
หญิงชรามากประสบการณ์ชีวิตกับหลานสาวและสุนัข
หญิงสาวที่กำลังจะตัดความสัมพันธ์กับชายหนุ่ม
เด็กสาวมัธยมปลายกับการสอบเข้ามหาลัย
คู่รักบ้านนอกที่ไร้ประสบการณ์ด้านความรัก
หญิงวัยกลางคนที่อยู่ในกลุ่มแม่บ้านชั้นสูงอย่างไม่เต็มใจนัก
ถึงแม้บนปกของนิยายเล่มนี้จะเขียนเอาไว้ว่า ทันทีที่รถไฟเคลื่อนขบวนออกจากสถานี เรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้น… แต่ในความเป็นจริงเรื่องราวต่างๆ เริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ผู้คนจะก้าวเท้าเข้ามาบนขบวนรถไฟ และเรื่องราวของพวกเขาจะยังดำเนินต่อไปหลังจากที่รถไฟหยุดเทียบชานชาลา ยากที่จะบอกได้ว่าแท้จริงแล้วหนึ่งเหตุการณ์เป็นจุดจบหรือจุดเริ่มต้นกันแน่ บางทีอาจจะเป็นทั้งสองอย่างเลยก็ได้
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาคือวันที่โรงเรียนของผมจัดงานปัจฉิมนิเทศให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามและหก ผมเองก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่กำลังจะจบออกไปและเตรียมตัวเข้าสู้รั้วมหาลัย
เป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหมาะเจาะที่ผมเลือกหยิบนิยายเล่มนี้ขึ้นมาอ่านในช่วงเวลาที่เรียกได้ว่ากำลังจะลงจากรถไฟขบวนหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ชีวิตมัธยม’ มันทำให้ผมตระหนักได้อีกครั้งถึงเรื่องที่ธรรมดาสามัญมากๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่น้อยคนจะตระหนักถึงก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาวอย่างผม
ชีวิตเป็นเรื่องยากและน่าปวดหัว ผู้คนจึงชอบอธิบายมันด้วยการใช้อุปลักษณ์ อย่าง Life is a rollercoaster ที่สื่อว่าชีวิตก็คือรถไฟเหาะ มีขึ้นก็ย่อมมีลงเป็นเรื่องธรรมดา บางช่วงอาจจะสนุกสุดเหวี่ยง แต่บางช่วงก็คงจะน่ากลัวไม่แพ้กัน มันก็คงจะเป็นเรื่องจริงนั่นแหละ
แต่หากเรามองในภาพรวม บางครั้ง Life is also a train ชีวิตอาจเป็นรถไฟยาวเหยียดหลายขบวนที่แล่นผ่านกัน สวนทางกัน และเฉียดกัน ไม่มีที่ใดเป็นจุดหมายปลายทางจริงๆ เราเพียงแค่ก้าวขึ้นไปบนรถไฟขบวนหนึ่ง จากสถานีใดสถานีหนึ่ง เราอาจจะอยู่บนรถไฟขบวนนั้นแค่ชั่วครู่เดียว หรืออาจจะอยู่ไปจนสุดสายเลยก็ได้ จากนั้นเราก็จะเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟขบวนอื่น เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ผู้คนส่วนใหญ่ที่เราพบเห็นนั้นจะก้าวออกจากรถไฟโดยไม่พูดอะไรกับเราเลยแม้แต่คำเดียว แต่บางครั้งบางคราวเราก็อาจจะเก็บกระเป๋าสตางค์ที่ใครบางคนทำหล่นไว้ (หรือแกล้งทำหล่นไว้)
รถไฟบางขบวนอาจจะสนุก มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและผู้คนที่น่าคบหา บางขบวนก็อาจจะแออัดและเต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่แยแสเรา แต่อย่างไรในท้ายที่สุด รถไฟก็จะแล่นไปจนถึงสถานีสุดท้าย มันจะเกิดขึ้นก่อนที่เราจะรู้ตัวเสียอีก
แน่นอนว่าเรารู้อยู่แล้วตั้งแต่ก้าวขึ้นมาว่าเราจะต้องลงสถานีใดสถานีหนึ่ง แต่มันก็ยากที่จะประเมินว่าระยะทางนั้นใกล้ไกลแค่ไหน มีเพื่อนและคนรู้จักของผมไม่น้อยเลย ที่อยู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมาในวันปัจฉิมหรือหลังจากสอบปลายภาค ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นพวกเขาชอบบ่นว่าเมื่อไหร่จะเรียนจบสักที
โปรดระวังขณะก้าวออกจากรถ คุณอาจจะสะดุดล้มเพราะลังเลเมื่อประตูรถไฟเปิดออก หรือรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับผู้โดยสารที่จะแยกย้ายไปยังสถานีอื่นๆ แต่ก็อย่าปล่อยให้มันทำให้คุณไม่กล้าก้าวขึ้นไปบนรถไฟขบวนใหม่ๆ
หากจะพอเป็นการปลอบประโลมใครก็ตามที่หวาดกลัวการจากลา ก็ขอให้รู้ไว้ว่ารถไฟทุกขบวนนั้นเชื่อมต่อถึงกันและกันอยู่เสมอ จริงอยู่ที่เหล่าผู้โดยสารจะไม่มีวันมาอยู่พร้อมหน้ากันบนรถไฟขบวนเดียวกันและในเวลาเดียวกันอีกเป็นครั้งที่สอง แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้วครั้งหนึ่งจะกลายมาเป็นเหตุอันไม่บังเอิญซึ่งก่อให้เกิด ‘การพบเจอ’ ครั้งใหม่ๆ อีกนับไม่ถ้วน
อย่าจ้องมองขบวนรถไฟที่จากไปแล้วนานนัก เพราะรถไฟขบวนใหม่กำลังเคลื่อนตัวเทียบชานชาลาอยู่เบื้องหน้าคุณ