- หนังสือ ‘ปรัชญาแห่งความไร้เหตุผล’ เขียนโดย อาจารย์พินิจ รัตนกุลหยิบแนวคิดจากผลงาน ‘The Myth of Sisyphus’ ของอัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) มาตีความ เพื่อชวนผู้อ่านทำความเข้าใจกับความไร้เหตุผลของชีวิตและการดำรงอยู่ในโลกที่ไม่อาจอธิบายได้
- ถ่ายทอดสารสำคัญที่มองว่าความทุกข์และการดิ้นรนของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งสูญเปล่า หากเป็นโอกาสให้เราได้ตระหนักรู้ถึงอิสรภาพ และคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
- แม้ว่าชีวิตจะไม่ได้มีความหมายในตัวของมันเอง แต่ก็ไม่ได้แปลว่า มนุษย์จะไม่สามารถสร้างความหมาย และทำให้เป็นชีวิตของตนเอง เป็นชีวิตที่คู่ควรแก่การมีอยู่ และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อไป
ซิซีฟัส (Sisyphus) คือชื่อของอดีตกษัตริย์แห่งเมืองโครินธ์ ในตำนานปกรณัมกรีกโบราณ ผู้ที่ใช้สติปัญญาของตนเอง ท้าทายอำนาจของเทพและเทพีซ้ำแล้วซ้ำอีก กระทั่งสุดท้าย ถูกบรรดาเทพเจ้าตัดสินลงทัณฑ์ โดยการสาปให้เขาต้องเข็นก้อนหินขึ้นสู่ยอดเขา และเมื่อถึงแล้วก็ต้องตกลงมาใหม่ เวียนวนอย่างนี้ซ้ำไปตลอดกาล เพราะเหล่าเทพมองว่าไม่มีการลงโทษใดที่จะร้ายกาจเท่ากับการลงแรงที่สิ้นหวัง ไร้ผลตอบแทน และไร้ที่สิ้นสุดเช่นนี้อีกแล้ว
เรื่องเล่านั้นจบลงเพียงเท่านั้น คงเหลือไว้แต่เพียงพื้นที่ให้จินตนาการของผู้อ่านได้เติมอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเข้าไปแทน ว่าซิซีฟัสจะรู้สึกอย่างไร ที่ต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี มาทำสิ่งที่ถูกนิยามว่า ‘ไร้เหตุผล’ ไปตลอดกาล แรงทั้งหมดถูกใช้เพื่อเข็นก้อนหินขึ้นสู่ยอดเขา และเมื่อมันไปถึงแล้ว หินก็จะกลิ้งย้อนกลับมาสู่เบื้องล่างเสมอ ผู้ที่ได้รับรู้เรื่องราวของซิซีฟัส มีแนวโน้มที่จะคิดว่าเขาคงรู้สึกท้อแท้ หดหู่ และพลันคิดไปว่าชีวิตของซิซีฟัส ฟังดูเป็นชีวิตที่ไม่ควรค่าแก่การมีอยู่เอาเสียเลย
อย่างไรก็ตาม อัลแบร์ กามูส์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส – แอลจีเรีย เป็นคนที่ตั้งคำถามชวนคิด ผ่านงานเขียน ‘The Myth of Sisyphus’ ว่าซิซีฟัสนับว่าเป็นคนที่น่าสนใจ เพราะในเวลาที่เขาพาเจ้าก้อนหินขึ้นไปสู่ยอดเขาได้สำเร็จ ได้หยุดพัก และในจังหวะที่เดินกลับลงมาที่ปลายเขาเพื่อเข็นก้อนหินขึ้นไปใหม่นี้เอง ที่เขารู้สภาพของตนเองอย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งการรู้สภาพของตนเองนี้ ทั้งที่มันควรจะเป็นเครื่องทรมานเขา แต่มันกลับเป็นชัยชนะของเขาในขณะเดียวกัน เพราะเขาไม่ได้เปรียบเทียบก้อนหินกับความทุกข์ทรมาน หรือเทียบกับความสุขที่เคยมีสมัยเป็นมนุษย์ เขากลับมองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบของชีวิตของเขา และล้วนเป็นสิ่งที่ดีแล้ว และยังคงผลักก้อนหินนั้นอยู่เรื่อยไป ชะตากรรมของเขา จึงเปลี่ยนจากชะตากรรมที่ถูกกำหนดโดยเทพเจ้า เป็นโลกที่ชะตากรรมถูกกำหนดขึ้นด้วยตัวเขาเอง กามูส์ทิ้งท้ายว่า ที่สุดแล้ว ทุกอณูของก้อนหิน ภูเขา ได้รวมเข้ามาเป็นโลกของเขา และการดิ้นรนให้บรรลุเป้าหมายนั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจเต็มเปี่ยม และเราควรจินตนาการให้เห็นภาพว่าซิซีฟัสกำลังมีความสุข
สิ่งนี้เชื่อมโยงกับ ‘ปรัชญาแห่งความไร้เหตุผล’ (Absurdism) ของกามูส์เอง ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปรัชญาของสามัญชนคนธรรมดา ที่ต้องพยายามต่อสู้และใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไร้เหตุผล และไร้ความหมายในตัวของมันเอง เมื่อมนุษย์ต้องการเหตุผลที่มาอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่กลับไม่สามารถอธิบายได้ หรือขัดแย้งกับความเป็นจริง จึงเกิดเป็นความทุกข์ เช่น เมื่อเราทำบุญคุณแก่ใคร เรามักคาดหวังว่าผู้นั้นจะตอบแทนบุญคุณหรือทำดีต่อเรา แต่ในหลาย ๆ ครั้งกลับไม่เป็นเช่นนั้น หรือคิดว่าคนทำดีควรได้ดี และคนทำชั่วควรได้ชั่ว แต่ก็ไม่ตรงกับความจริงที่เราเห็นในสังคมเช่นกัน
เพราะโลกเองไม่เคยสนใจว่ามนุษย์ต้องการอะไร มันเพียงแต่เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างไม่มีเป้าหมายอะไรเท่านั้น
ภายใต้แนวคิดนี้ ไม่ใช่แค่โลกที่ไร้เหตุผล แต่ชีวิตเองก็เป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลเช่นเดียวกัน มนุษย์ไม่รู้เหตุผลอย่างแท้จริงว่าชีวิตมีอยู่เพื่ออะไร มีอยู่เพื่อทำตามเป้าหมายหรือ Passion? มีอยู่เพื่อไล่ตามความสำเร็จด้านการเงินหรือชื่อเสียง? มีอยู่เพื่อทำงานเสมือนฟันเฟืองในเครื่องจักรที่เรียกว่าระบบเศรษฐกิจ? และการต่อสู้ดิ้นรนเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่จะมีความหมายอะไร ในเมื่อสุดท้ายแล้ว ความตายก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาหมดความหมายลงทันที
ถ้าหากเราเชื่อว่าชีวิตและโลกไร้เหตุผล และไร้ความหมายตามแนวคิดนี้แล้ว การใช้ชีวิตอย่างไม่มีความหมายอยู่ในโลกที่ไร้เหตุผล ฟังดูห่างไกลจากการมีความสุขเหลือเกิน เราควรจะต้องทำอย่างไร ซึ่งหนังสือของ อ.พินิจ รัตนกุล ก็ได้เสนอทางออก 3 รูปแบบ คือ
- ยอมรับความจริงและใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างหดหู่ ไม่สนใจใครหรือสิ่งใด
- การเลือกจากโลกนี้ไปด้วยตนเอง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา หรือทำให้ชีวิตมีความหมายขึ้นมาแต่อย่างใด เพราคนที่ยอมรับความจริงว่าชีวิตคือความทุกข์ ย่อมไม่จากไปเพื่อหนีความทุกข์
- ทางออกสุดท้ายคือการอยู่กับความจริงที่ไม่สวยงามนี้ให้ได้ เพราะแม้ชีวิตจะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลและไม่มีความหมายอยู่ในตัว เปรียบเสมือนก้อนดินเหนียว ที่อาจไม่ได้มีคุณค่าในตัวเอง แต่การเติบโต งาน ความสัมพันธ์ และประสบการณ์ต่างๆ ก็เป็นเหมือนมือของศิลปิน ช่างปั้น ที่เปลี่ยนดินเหนียวแต่ละก้อน ให้มีความสวยงาม และมีคุณค่าที่พิเศษในตัวของมันเอง
ดังนั้นแล้ว แม้ว่าโลกนี้อาจไร้เหตุผล และชีวิตอาจไม่ได้มีความหมายอะไรในตัวของมันเอง แต่มนุษย์ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเบื่อชีวิตและจมอยู่กับความทุกข์อยู่ตลอดเวลา โดยอาจลองท้าทายตนเองผ่าน 2 วิธีการ คือ
- ยอมรับความจริงว่าโลกในทุกวันนี้ไร้เหตุผล และไม่คาดหวังให้สังคม เหตุการณ์ หรือคนรอบๆ ตัวเป็นไปอย่างที่เราคาดหวังตลอดเวลา และไม่ต้องพยายามคิดหาคำตอบ คำอธิบายในทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว หรืออยู่ตรงหน้า เช่น ทำไมเราถึงไม่เป็นอย่างคนนั้น ทำไมเราถึงไม่เกิดมาในครอบครัวอย่างเขา หรือทำไมเหตุการณ์แบบนี้ต้องมาเกิดแต่กับเรา เพียงแต่พยายามแก้ไข และทำออกมาให้ดีที่สุดในแต่ละสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ จะทำให้มนุษย์อยู่อย่างมีความสุขมากขึ้น
- สร้างความหมายให้ชีวิตด้วยตัวของเราเอง แม้ว่าชีวิตจะไม่มีความหมายในตัวของมัน แต่เราไม่จำเป็นต้องรอให้ชีวิตมีความหมายมาก่อนแล้วจึงค่อยมีความสุข แต่ความสุขเกิดขึ้นได้ในทุกเวลาที่เราทำให้ชีวิตมีความหมาย และความหมายนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามมาตรฐานหรือความคาดหวังของคนอื่นเลย
เราอาจเคยหรือกำลังเผชิญกับสิ่งที่ทำให้เราตั้งคำถามกับวัฏจักรในชีวิตและการทำงาน ที่ในบางครั้งอาจดูเหมือนไร้ความหมาย ไม่มีที่สิ้นสุด และเรื่องราวของซิซีฟัส ได้เป็นตัวอย่างของผู้ที่เป็นเจ้าของชะตากรรมของตนเองอย่างแท้จริง ผู้เปลี่ยนสิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นชะตากรรม ที่ถูกกำหนดโดยทวยเทพ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและโอบรับมันไว้ ผู้เปลี่ยนก้อนหิน จากบทลงโทษ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และในโลกที่ไร้เหตุผล ที่ถึงแม้ว่าชีวิตจะไม่ได้มีความหมายในตัวของมันเอง แต่ก็ไม่ได้แปลว่า มนุษย์จะไม่สามารถสร้างความหมาย และทำให้เป็นชีวิตของตนเอง เป็นชีวิตที่คู่ควรแก่การมีอยู่ และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อไป