- หลายชั่วขณะแห่งการรับรู้ภาวะบางอย่าง ผ่านความสัมพันธ์กับคนอื่น บ้างก็เอาสิ่งที่เข้าไปรู้มานิยามสิ่งที่เรา ‘เป็น’ แต่เมื่อความสัมพันธ์เปลี่ยน กระบวนการ ‘เป็น’ ก็แปรไป ตัวตนที่ลื่นไหล ยอมจำนนต่อกระบวนการ ซึ่งทรงพลังมาก กระทั่งไม่มีใครรบกวนมันได้
- บางครั้งก็ยากที่คนเราจะเห็นคุณลักษณะบางอย่าง ‘ในตัวเอง’ ได้อย่างชัดเจนหากไม่ผ่านคนอื่น รวมไปถึงยากที่จะเห็นอภิสิทธิ์ที่เรามีอยู่แล้วด้วย
- การที่ชุมชนมีผู้ ‘ป่วยไข้’ และได้ปฏิสัมพันธ์กับความป่วยนั้นก็ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเอง มันอาจไม่มีใครเคย ‘ปรกติ’ เลย และสิ่งที่เรียกว่าป่วยไข้ไม่ปรกติก็สำคัญต่อการเดินทางสู่ ‘ความไหลลื่น’ ไปด้วยกัน
1.
หลายชั่วขณะแห่งการรับรู้ภาวะบางอย่าง ผ่านความสัมพันธ์กับคนอื่น บ้างก็เอาสิ่งที่เข้าไปรู้มานิยามสิ่งที่เรา เป็น กำลังกลายเป็น เคยเป็น
เมื่อความสัมพันธ์เปลี่ยน กระบวนการ เป็น ก็แปรไป (และในทางกลับกันด้วย)
คล้ายเราเป็นภาชนะอาณาเขตพร่ามัวซึ่งอนุญาตให้สิ่งต่างๆ ไหลเข้ามาได้ อดีตราวกับความฝัน และแม้ปัจจุบันขณะก็เป็นเฉกเช่นฝัน สิ่งที่เรารับรู้เกี่ยวกับ ‘ตนเอง’ ผ่านความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นและในทางกลับกันต่างก็มีผลกระทบต่อกัน การนิยามความ เป็น อะไรบางอย่างประหนึ่งกำลังละลายเลือนไปกับสิ่งอื่นและกาลเวลา
ฉันเป็นได้หลายสิ่ง และบางทีมันก็เป็นแค่บท
บางทีก็ไม่จำเป็นต้องรู้
ตัวตนที่ลื่นไหล ยอมจำนนต่อกระบวนการ.. ซึ่งทรงพลังมาก กระทั่งไม่มี ‘ใคร’ รบกวนมันได้
2.
การสัมผัสลักษณะบางอย่างในตน ผ่านความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น
ใครคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่าลึก เขาได้สัมผัสกับความพันลึกและไกลโพ้น อีกความชราที่ได้สั่งสมประสบการณ์ผสานกับความเป็นมารดาที่หล่อเลี้ยง ซึ่งทั้งมวลมีความดิบโหดและคุณลักษณะอีกมายมายไปพร้อมกัน.. หลายปีผ่านไป เขาค่อยๆ ตระหนักรู้ลักษณะต่างๆ เหล่านั้นในตัวเองชัดขึ้น
ใครคนหนึ่งได้ทำคลอดให้แม่แมว มันจงใจนำเหล่าลูกน้อยมาไว้ที่ห้องนอนเล็กๆ ของเขา เขาอิ่มเอมใจ เป็นชั่วขณะที่เขากลายเป็นใครคนหนึ่งที่รู้สึกได้รับความไว้วางใจและได้รับเกียรติสูงสุด
ความเป็นชาย (musculinity) ของใครคนหนึ่งซึ่งเกิดมาพร้อมกับมดลูกได้ถูกขับเน้นให้สัมผัสได้เด่นชัดขึ้น ผ่านความสัมพันธ์กับบุรุษที่เด่นในความเป็นหญิง (femininity) ความสัมพันธ์ที่ ดูเป็น ขั้วตรงข้ามซึ่งแท้จริงก้าวข้ามความเป็นสองขั้ว
สัมผัสความเป็นผู้ ‘ให้’ (ซึ่งจริงๆ ก็รับด้วย) ผ่านคนอื่น
ผู้ชายที่อยาก ‘ซ่อมแซมเยียวยา’ (ใส่เครื่องหมายเพื่อตั้งคำถาม) ผู้หญิงที่ เขาเห็นว่า ทุกข์ยากและดูเหมือนอ่อนแอกว่า บ้างก็เพียงต้องการความรู้สึกว่าตน ‘แข็งแกร่ง’ ‘เป็นวีรบุรุษ’ หรือแม้แต่ ‘เหนือกว่า’ เธอจึงกลายเป็นเงาสะท้อนของสิ่งที่เขาต้องการและไม่ต้องการสัมผัสในตนเองพ่อแม่และเพื่อนที่ต้องการสนับสนุนและอยากมีส่วนร่วมผ่านการ ‘ช่วยเหลือ’ อีกฝ่าย กระทั่งลืมไปว่าเราอาจกำลังทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอ่อนแอกว่า อึดอัด ถูกบุกรุก รู้สึกถูกหยาม หรือแม้แต่ทำให้อีกฝ่ายโดนบุคคลภายนอกดูถูกขึ้นมาจริงๆ ความอยากมีประโยชน์ของใครบางคนทำให้คนอื่นรู้สึกยิ่งกว่าหมดประโยชน์ได้เหมือนกัน เช่น ในห้วงขณะคนที่ต้องเล่นบทลูกไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ พ่อแม่ที่อยากมีส่วนร่วมก็กระโจนเข้าไป ‘ช่วย’ (ลึกๆ คือตอบสนองความรู้สึกของตนเอง ไม่ใช่ของลูก) และทำให้ลูกถูกคนภายนอกดูถูก
เข้าใจผิดว่าเขาทำอะไรไม่เป็นและต้องพึ่งผู้อาวุโสตลอด บางทีสิ่งที่ดีที่สุดของการเป็นพ่อแม่หรือเพื่อ หรืออะไรก็ตามที่ ‘ดีพอ’ ก็คือการทิ้งบทบาทนั้นไปบ้าง
หลายกรณี อีกฝ่ายก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวและไม่ได้อยากรู้สึกว่าต้องพึ่งพา อีกทั้งก็กำลังทำงานกับความเปราะบางของเขาอยู่เช่นเดียวกันกับผู้ที่ต้องการหยิบยื่นความช่วยเหลือ
เราต้องการอาณาเขตที่ชัดเจน
3.
การต่อรอง
อย่างไรก็ตาม เมื่ออาณาเขตของแต่ละคนกลายเป็นดั่งปราการแน่นหนาเกินไปและ/ หรือเมื่ออาณาเขตของเรามีอภิสิทธิ์อยู่มากมาย ก็ย่อมเกิดการ ต่อรองจากคนหรือกลุ่มที่รู้สึกว่าตนถูกกีดกันออกไปและรู้สึกแปลกแยก หรือรู้สึกว่าถูกทำให้เป็นชายขอบ โดยการขอความช่วยเหลือจากคนที่รู้สีกถูกกีดกันก็เป็นการกระจายพลังให้เขาได้อีกวิธีหนึ่ง
นอกจากนี้ การที่คนที่อยู่เลยจุดศูนย์กลางออกไปแสดงการเข้าไปมีความสัมพันธ์กับคนที่เข้าถึงทรัพยากรมากมายและมีอภิสิทธิ์บางอย่าง ก็สามารถเป็นการต่อรองกับลำดับขั้นทางสังคมอีกอย่างหนึ่งด้วย
ความสัมพันธ์ และการหยิบยืมลำดับขั้นทางสังคมของผู้อื่น
ได้สัมผัสถึงความภูมิใจไปจนถึงลำพองของคนที่ได้บอกกล่าวต่อบุคคลอื่นว่าเขาได้ปฏิสัมพันธ์กับคนที่มีลำดับขั้น (Ranking) บางอย่างที่ดูอยู่สูง หรือเป็นจุดสนใจ หรือเป็นศูนย์รวมทรัพยากร
อาร์โนลด์ มินเดล (Arnold Mindell) ผู้ก่อตั้งจิตวิทยาเชิงกระบวนการ (Process) นิยาม ‘ลำดับขั้น’ ทางสังคม (นอกเหนือจากลำดับขั้นทางจิตใจและลำดับขั้นทางจิตวิญญาณ) ไว้หลากหลายเช่น ‘ผลรวมอภิสิทธิ์ของบุคคลหนึ่งๆ’ อีกทั้ง ความสามารถ พลังอำนาจและการสนับสนุนจากวัฒนธรรมและชุมชน นอกจากนี้ แอเลน ชูพบาค (Ellen Schupbach) แห่งสถาบันประชาธิปไตยเชิงลึก ยังให้นิยามที่น่าสนใจของลำดับขั้นซึ่งเกี่ยวกับการที่เราดำรงอยู่ในศูนย์กลางหรือชายขอบและเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ มากน้อยเพียงใด การที่ใครคนหนึ่งได้อวดว่าเป็นเพื่อนดารา การที่ผู้ชายส่วนหนึ่งประกาศว่าได้เป็นแฟนกับผู้หญิงสวย มีนางแบบตัวท็อป(ภาษาที่คนส่วนหนึ่งใช้)มาชอบมาจีบ มาหาถึงที่ หรือการที่ใครสักคนบอกอย่างภาคภูมิว่าฉันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำทางโลกหรือทางธรรมในชุมชนนั้นๆ
เป็นดั่งการได้ไปหยิบยืมหรือไป มีส่วนร่วมกับ ลำดับขั้นและลักษณะบางอย่างผ่านคนอื่น แล้วใช้มันสรรค์สร้างแสดง ตัวเอง ต่อ
บางทีมันก็ยากที่คนเราจะเห็นคุณลักษณะบางอย่างในตัวเองได้อย่างชัดเจนหากไม่ผ่านคนอื่น รวมไปถึงยากที่จะเห็นอภิสิทธิ์ที่เรามีอยู่แล้วด้วย
4.
ความยากจนอันสูงส่ง คนนอกที่อยากมีส่วนร่วม และความป่วยไข้ที่มีปัญญา
การที่ใครสักคนแสดงความยากจนและขาดพร่องโดยมีนัยของความ ‘สูงส่ง’ และ ‘เหนือกว่า’ อาจเป็นกลไกการปกป้องตัวเอง ซึ่งบ้างก็เป็นการชดเชยความรู้สึกอิจฉาหรือขาดพร่อง ที่ทำเป็นลืมอภิสิทธิ์อย่างอื่นของตนไป
น่าสนใจว่า คนที่มีรายได้และสถานะทางสังคมค่อนข้างดีถึงดีมากและเป็นจุดสนใจ แต่ดันไปสวมบท ‘คนจน(ผู้สูงศักดิ์)’ ‘คนที่ไม่มีใครมองเห็น’ ฯลฯ ซึ่งเป็นเพราะอะไรหลายอย่าง แม้แต่เป็นการเข้าไป ‘สวมบท’ อย่างไม่รู้ตัว เพราะอีกฝ่ายก็กำลังรอคอยอย่างไม่รู้ตัว (unconsciously) เข่นกันที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับ ‘บทนั้น’
การตัดพ้อผ่านการสวมบทคนจนทั้งที่ตอนนั้นไม่ได้จนถึงเพียงนั้น หรือสวมบท ‘คนนอก’ ที่กลายเป็น ‘ผู้ร้าย’ ขี้อิจฉาสามารถทำให้
ผู้ที่ปฏิสัมพันธ์กับเขาได้สัมผัสถึงอภิสิทธิ์บางอย่างที่ตัวเองอาจไม่รู้ว่ามี และได้สัมผัสความเปราะบางและความรู้สึกไม่ปลอดภัยจากการมีสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเป็นอภิสิทธิ์นั้น
และต่อจากนั้นผู้ที่ รู้สึกว่าตนอยู่ชายขอบหรือด้อยสิทธิ์กว่า ก็สามารถสัมผัสถึงสิทธิ พลังและความสามารถ(อย่างน้อยก็สามารถสร้างความปั่นป่วน และกะเทาะสถานะแช่แข็งให้พังทลายแตกออก) และแม้แต่ตระหนักชัดในที่สุดว่าตัวเองก็มีอภิสิทธิ์หลายอย่างซึ่งอาจมากมายกว่าคนหรือกลุ่มที่ตัวเองโจมตีอยู่ด้วยซ้ำ
ต่างฝ่ายต่างกลายเป็นดวงตา และ ‘อีกฝ่าย’ ก็คือสารัตถะที่ถูกมองเห็น
และต่างก็ล้วนสลับลักษณะกันได้ หรือรับเอามาราวกับต่อเปลวเทียน
สลายหรือเจือจางการอยู่ในจุดศูนย์กลางและชายขอบที่แช่แข็งเกินไปในห้วงขณะนั้นๆ
ลักษณะอันยากจนข้นแค้นและร่ำรวยด้วยอภิสิทธิ์ ลักษณะของผู้เยียวยาและคนที่ป่วยไข้ ลักษณะของผู้จับโจรและโจร ฯลฯ ต่างปฏิสัมพันธ์กันอยู่… เราต่างก็สัมผัสถึงความเป็นชายขอบได้ในตนเอง และในกระบวนการต่อรองและกลายเป็น เราก็อาจกำลัง สร้างความเป็นอื่นและแปลกแยกให้ผู้อื่น อยู่เช่นกัน
การที่ชุมชนมีผู้ ‘ป่วยไข้’ (ตั้งคำถามกับคำดังกล่าว) และได้ปฏิสัมพันธ์กับความป่วยนั้นก็ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเอง มันอาจไม่มีใครเคย ‘ปรกติ’ เลย และสิ่งที่เรียกว่าป่วยไข้ไม่ปรกติก็สำคัญต่อการเดินทางสู่
ความไหลลื่น ไปด้วยกัน..
ให้เราเป็นลายลักษณ์อักษร และ ‘คุณ’ คือสารัตถะที่ได้รับการเขียนถึง.. ได้ไหมนะ? (คุยกันได้ที่ Line ID: patrasuwan)
อ้างอิง
บทประพันธ์ The Wave ของ Virginia Woolf
ขอบคุณแรงบันดาลใจจากทุกคนซึ่งเข้าร่วมกระบวนการ ‘ความขัดแย้งและการลื่นไหล’ วันที่ 22-24 เมษายน 2565
Facilitate การเรียนรู้โดย Ellen Schupbach
จัดงานโดย
คุณชโลบล ฉัตรชัยวงศ์