- ตัวอิจฉาในนิทานทั้งหลายล้วนแล้วแต่สามารถส่องสะท้อนอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ในตัวเราทุกคน จึงเป็นไปได้เหมือนกันว่าเราก็มีการฉายภาพ (psychological projection) ไปที่คนอื่น ทำให้บางทีแม้มนุษย์เราอิจฉาคนอื่น แต่เรากลับสรุปว่าคนอื่นอิจฉาเราเสียอย่างนั้น!และก็เป็นไปได้เช่นกันว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็อิจฉากันและกัน หากตระหนักรู้ได้อย่างซื่อตรงว่าเราอิจฉาคนอื่น อย่างน้อยเราก็อาจเพ่งโทษคนอื่นน้อยลงได้
- ในระดับที่ใหญ่กว่าปัจเจก หากคนจำนวนมากมายในสังคมต้องดำเนินชีวิตไปกับความอิจฉาเป็นอาจิณแล้ว เรากำลังอยู่ในสังคมลักษณะไหน? และที่สำคัญเราเองมีส่วนมากน้อยเพียงใดและอย่างไรในการสร้างและคงไว้ซึ่งสังคมเช่นนี้?
1.
โสนน้อยเรือนงาม เป็นพระธิดาของเจ้าผู้ครองนครโรมวิสัย โดยพระนามมีที่มาจากเรือนไม้โสนซึ่งติดมากับนางในยามถือกำเนิดขึ้น อันเป็นของซึ่งเทวดามอบให้นางไว้เพื่อคุ้มภัย โสนน้อยนั้นไม่เพียงงามสง่าดุจบุปผาสวรรค์ แต่ยังชอบช่วยเหลือผู้อื่นและไม่ค่อยถือโทษโกรธใครอีกด้วย อย่างไรก็ตามผลกรรมเก่าทำให้นางมีอันต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอนไปเมื่ออายุเพียงสิบห้าตามคำแนะนำของโหร นางจำต้องเดินทางเข้าป่าโดยลำพัง ทว่าพระอินทร์ก็ได้แปลงกายลงมาช่วยเหลือและมอบยาที่สามารถชุบชีวิตคนตายให้แก่นางอีกด้วย
แต่ในระหว่างเดินทางต่อนั้นเอง โสนน้อยได้ใช้ยาวิเศษดังกล่าวช่วยหญิงชาวป่าคนหนึ่งซึ่งถูกงูกัดตายให้ฟื้นคืนชีพ หญิงทุรลักษณ์คนนี้ชื่อว่านาง กุลา ด้วยเพราะได้รับการชุบชีวิตจึงขอเป็นทาสเดินทางติดตามโสนน้อยไปด้วย ครั้นเมื่อทั้งสองไปถึงเขตนครแก้วนพรัตน์ ก็ได้ทราบข่าวว่า พระวิจิตรจินดา (ต่อไปจะขอย่อว่า พระวิจิตร) พระโอรสของเจ้าเมืองสิ้นพระชนม์ลงเพราะพิษพญานาคเข้า หญิงโสนจึงอาสาเข้ารักษาพระโอรสในวังแต่ก็ขอให้กั้นม่านเพื่อไม่ให้ใครเห็นในระหว่างรักษาด้วย ครั้นนางทายาให้พระวิจิตรแล้ว พิษร้อนของนาคก็ถูกขับออกมาปะทะร่างตน นางจึงออกไปลูบน้ำลดอุณหภูมิ
ส่วนกุลานั้นเมื่อได้เห็นพระวิจิตรรูปงามก็เกิดอยากได้ จึงนำเอาเครื่องทรงโสนน้อยมาใส่ได้จังหวะกับที่พระวิจิตรฟื้นขึ้นมาพอดี หญิงใจหยาบแอบอ้างสลับบทว่าตัวเป็นเจ้าหญิงที่ช่วยชีวิตพระวิจิตรไว้ เจ้าผู้ครองนครโรมวิสัยจึงจำต้องเตรียมการสมรสให้เจ้าหญิงกำมะลอกับพระวิจิตรเพื่อตอบแทนคุณทั้งที่ยังสงสัย เหตุการณ์สับสนอลหม่านดำเนินต่อไปอีกพักซึ่งในระหว่างนั้นกุลาก็กลั่นแกล้งโสนน้อยสารพัด แต่ในที่สุดพระวิจิตรก็ได้ทราบความจริง พระองค์คิดจะประหารกุลา แต่โสนน้อยก็ให้อภัยและขอชีวิตนางไว้
โสนน้อยได้เสกสมรสกับพระวิจิตร แต่กุลาก็ยังคิดแผนใส่ร้ายทำให้พระวิจิตรคิดว่าโสนน้อยจะฆ่าตน โสนน้อยซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในเวลานั้นจึงต้องระเห็จออกจากเมืองพร้อมกับกุลา และเมื่อเดินทางมาพบกับฤาษี จึงได้ขอที่พักเหนื่อยในถ้ำที่ท่านอาศัยอยู่
…ในถ้ำนั้น กุลาพบบ่อน้ำสองบ่อ เมื่อจุ่มนิ้วลงไปในบ่อสีดำนิ้วก็กลายเป็นแผลพุพอง แต่เมื่อจุ่มนิ้วลงไปในบ่อสีเหลืองทองแผลก็หายทั้งยังดูสวยงามขึ้นด้วย นางจึงคิดแผนอีก…
กุลาชุบตัวในบ่อสีเหลืองจนได้ร่างใหม่สวยสดงดงาม จากนั้นก็ล่อโสนน้อยให้มาดูบ่อน้ำดำแล้วผลักลงไปทำให้โสนน้อยหน้าตาตะปุ่มตะป่ำมีรอยแผลทั้งตัว ทั้งสองเดินทางต่อโดยกุลาพลิกบทให้โสนน้อยเป็นสาวใช้อีกครั้ง ครั้นโสนน้อยคลอดลูก กุลาก็ให้คนเอาเด็กไปทิ้งให้จมน้ำตาย แต่เด็กกลับลอยไปหาฤาษี ซึ่งก็ได้เลี้ยงดูและถ่ายทอดสรรพวิชาให้จนเติบใหญ่ สุดท้ายพระวิจิตรก็ได้พบลูกของตนเองอีกทั้งได้สืบหาโสนน้อยจนพบ พระองค์พาโสนน้อยไปหาฤาษี ซึ่งก็ได้สนับสนุนให้โสนน้อยบำเพ็ญภาวนาและช่วยชุบนางในบ่อกระทั่งกลับมางามหยาดฟ้าดั่งเดิม
2.
กุลาเป็นภาพแทนของคนในห้วงอิจฉา ที่ไม่มีความสุขเมื่อคนอื่นมีสิ่งที่ตัวเองอยากได้ (แต่ไม่ได้หรือได้น้อยกว่า) เขามักเปรียบเทียบให้ตัวเองรู้สึกขาดและต้องดิ้นรนเติมรูโหว่ในใจที่เต็มยาก
ความอิจฉาสามารถเกิดมาจากความรู้สึกว่าตัวเองยังดีไม่พอและการไม่นับถือตัวเอง ซึ่งอาจปะปนไปกับความรู้สึกนึกคิดอีกหลายอย่างในอดีตอันไกลกระทั่งจำไม่ได้แล้วว่ารากคืออะไร
ความอิจฉาอ่อนๆ สามารถสร้างประโยชน์ในแง่ที่ทำให้คนที่รู้สึกอิจฉาพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมโดยใช้คนที่ตนอิจฉาเป็นจุดอ้างอิงหนึ่ง ทว่าบ้างก็ร้อนรนจนต้องโจมตีอีกฝ่ายทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรให้ตัว ซึ่งอาจแค่แซะเบาๆ ไปจนถึงการด้อยค่าอีกฝ่าย และลงมือช่วงชิงสิ่งที่อีกฝ่ายมีอย่างจริงจังด้วยวิธีอะไรก็ตามเหมือนที่กุลาทำ ซึ่งเมื่อกระทำบางอย่างด้วยเจตนาร้ายต่อเขาแล้ว บ้างก็ใช้เหตุผลบิดเบี้ยวสร้างความชอบธรรมให้รู้สึกว่าคนที่ตนอิจฉาสมควรได้รับสิ่งเลวร้ายในชีวิตเสียบ้าง และบางทียิ่งฝ่ายที่ตนอิจฉาทำดีกับตนมากเท่าไหร่ก็กลับไปขับเน้นความรู้สึกด้อยให้ชัดขึ้น ไม่แปลกใจที่นางอิจฉาในนิทานมักมีความคิดในทำนอง “หน็อยแน่ ต้องเอามันลงให้ได้!”
ไฟสุมทรวงที่ผลักให้ต้องเอาชนะอีกฝ่ายสามารถเกิดพร้อมกับความต้องการการยอมรับด้วย ดังนั้น คนที่อิจฉาอาจพยายามด้อยค่าหรือทำลายฝ่ายที่ตัวเองอิจฉาในขณะเดียวกันกับที่พยายามจะลอกเลียนคุณสมบัติต่างๆ แม้แต่ท่วงท่า ฯลฯ ของฝ่ายนั้นไปด้วย (หากทำแค่ลอกแบบจริงๆ ก็ไม่ได้ผิดอะไร) เฉกเช่นที่กุลาพยายามจะเป็นเหมือนโสนอยู่ตลอด ในขณะเดียวกับที่ต้องการทำลาย อีกทั้งตัดรอนความสุขและโอกาสดีๆ ในชีวิตของอีกฝ่ายโดยทุกวิถีทาง
เมื่อสามารถทำให้โสนน้อยกลายบ่าวอัปลักษณ์ที่ต้องมารับใช้คุณนายกุลาแสนงามแทน กุลาถึงค่อยรู้สึกดีกับตัวเองได้เสียที มิน่าล่ะ นางถึงสาแก่ใจในทุกขเวทนาของโสนน้อย ซึ่งในภาษาต่างๆ ก็มีคำที่แสดงสภาพจิตใจในทิศทางนี้ อย่างในภาษาจีนมีสำนวน ซิ่งจายเล่อฮั่ว (幸灾乐祸) และในภาษาเยอรมันก็มี ชาเด็นฟรอยเดอ (Schadenfreude) ที่ล้วนสะท้อนความรู้สึกในทำนองยินดีที่ผู้อื่นประสบเคราะห์กรรมความฉิบหายต่างๆ ส่วนในภาษาญี่ปุ่นก็มีคำว่า ฮิโตะโน๊ะฟูโคะวะ มิทสึโน๊ะอาจิ (人の不幸は蜜の味) ซึ่งแปลว่า เคราะห์ร้ายของผู้อื่นมีรสชาติดั่งน้ำผึ้ง
ตัวอย่างซึ่งเห็นได้ในชีวิตประจำวันแต่ไม่หนักเท่าที่กุลาทำก็เช่น การมโนถึงข้อเสียของคนที่มีคุณสมบัติที่ตัวเองอิจฉาเพื่อชดเชยให้ตัวเองรู้สึกไม่แย่จนเกินไปหรือรู้สึกเหนือกว่า เช่น “คนที่แวดล้อมด้วยความรักพวกนั้นคงจะทำอะไรไม่เป็นหรอก นิสัยรึก็คงทำอะไรตามอำเภอใจเพราะมีคนคอยพะเน้าพะนอ” (ทั้งที่เขาอาจมีความสามารถและจิตใจเกื้อกูลมากกว่าตัวคนค่อนแคะ ที่แสดงออกอย่างย้อนแย้งว่าอยากได้อยากเป็นเหมือนเขาอย่างชัดเจน)
นอกจากนี้ก็เช่น การที่ผู้คนชอบเสพข่าวอัปยศอดสูของคนที่ตัวเองคิดว่ามีอะไรเหนือกว่า และรวมหมู่ซุบซิบหรือโพสความเห็นลดคุณค่าคนเหล่านั้น อย่างกรณีที่ (1) ไม่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ และ (2) เขาไม่เคยทำร้ายคนคอมเมนท์มาก่อนไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม คำถล่มที่ส่งกลิ่นความชังคละคลุ้งนั้นมีความอิจฉาปะปนอยู่ด้วยหรือไม่? กระนั้น ในระดับที่ใหญ่กว่าปัจเจก หากคนจำนวนมากมายในสังคมต้องดำเนินชีวิตไปกับความอิจฉาเป็นอาจิณแล้ว เรากำลังอยู่ในสังคมลักษณะไหน? และที่สำคัญ เราเอง มีส่วนมากน้อยเพียงใดและอย่างไรในการสร้างและคงไว้ซึ่งสังคมเช่นนี้?
3.
มนุษย์เราเป็นได้ทั้งคนที่ถูกคนอื่นอิจฉาและคนที่อิจฉา แล้วเราจะรับมือได้อย่างไรบ้างนะ?
พยายามทำให้คนที่อิจฉาเราเห็นสิ่งดีๆ ของตัวเขาเอง แต่อย่าลดค่าตัวเองเพื่อให้คนอื่นสบายใจ เพราะถ้าเขาจะอิจฉาเขาก็จะอิจฉาอยู่ดี
ว่ากันว่าความอิจฉาคือศิลปะแห่งการนับสิ่งดีๆ ที่คนอื่นได้รับ แทนที่จะนับของตัวเอง การทำให้คนอิจฉาเห็นสิ่งดีๆ ที่ตัวเองมี จึงอาจช่วยเจือจางความอิจฉาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม บางคนที่เป็นเป้าความอิจฉาบ่อยครั้งอาจรู้สึกผิดโดยไม่จำเป็น และดันรับมือด้วยการพยายามหรี่แสงตัวเองให้หม่นหมอง พูดเรื่องตัวเองให้น้อยฟังให้มากจนเหมือนตัวเองไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น บ้างก็นำเสนอตัวเองในทางที่มีปัญหาบกพร่องและพูดชื่นชมคนอื่นอย่างเดียวทั้งที่ตัวเองก็ต้องการอาหารใจเหมือนกัน
กระนั้นคำถามคือ เราจำเป็นต้องคอยซ่อนสิ่งดีๆ ในชีวิตไว้ตลอดเพราะกลัวว่าจะกระทบใจคนอื่นหรือจะถูกผู้ที่อิจฉาทำร้ายหรือเปล่า?
ตรวจสอบตัวเอง: หาว่าคนอื่นอิจฉาทั้งที่ตัวเองอิจฉาหรือไม่? หรือเราก็ใช้คนอื่นมาเติมช่องโหว่ในใจเหมือนกัน?
เราควรตรวจสอบตัวเองอย่างมาก หากเราคิดว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ที่คอยเป็นฝ่ายเกื้อกูลอีกฝ่ายที่มักอิจฉาเรา ในลักษณะคล้ายโสนน้อยที่คอยช่วยเหลือทั้งยังให้อภัยกุลาได้เสมอ นั่นเพราะเรา “ได้ประโยชน์” บางอย่างหรือเปล่า? เราคงความสัมพันธ์บางลักษณะไว้ ทั้งที่ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะพยายามออกห่างแต่แรกแล้ว เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณธรรม มีประโยชน์ ฯลฯ หรือเปล่า? ถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็เข้าข่ายการใช้อีกฝ่ายเป็นเครื่องมือเติมความพร่องบางอย่างในใจตัวเองได้เหมือนกัน บางแง่มุม โสนน้อยก็อาจจะไม่ได้ดีเด่อะไรไปกว่ากุลา
นอกจากนี้ ตัวอิจฉาในนิทานทั้งหลายล้วนแล้วแต่สามารถส่องสะท้อนอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ในตัวเราทุกคน จึงเป็นไปได้เหมือนกันว่าเราก็มีการฉายภาพ (psychological projection) ไปที่คนอื่น ทำให้บางทีแม้มนุษย์เราอิจฉาคนอื่น แต่เรากลับสรุปว่าคนอื่นอิจฉาเราเสียอย่างนั้น! และก็เป็นไปได้เช่นกันว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็อิจฉากันและกัน หากพบว่าเราอิจฉาคนอื่นมันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรตราบใดที่เรายังไม่ได้ลงมือทำบางอย่างด้วยเจตนาทำร้ายเขา เมื่อสามารถตระหนักความรู้สึกตัวเองอย่างซื่อตรง อย่างน้อยเราก็อาจเพ่งโทษคนอื่นน้อยลงได้
ฉะนั้น เรือนไม้โสนที่เทวดาให้โสนน้อยมาคุ้มภัยสามารถหมายถึงการอภัย อะ-ภะ-ยะ นั้นแปลว่า ไม่กลัว ซึ่งไม่ควรแปลว่าเราต้องเอาตัวไปอยู่ใกล้เกินไปกับสิ่งที่สามารถสร้างอันตรายแก่เราหรือการไม่รู้จักป้องกันตัวเองอย่างไร้เดียงสา แต่อาจหมายความถึงการไม่กลัวที่จะยอมรับว่าจิตใจเราก็มีลักษณะของกุลาได้พอกันกับมีลักษณะของโสนน้อย (และเลิกโยนมลทินว่าคนอื่นเท่านั้นที่เป็นกุลา) อีกทั้งไม่ได้เป็นอะไรอย่างเดียวตลอดไป เพราะใจนั้นเปลี่ยนแปรไปได้เรื่อยๆ
ส่วนการที่ฤาษีคอยช่วยเหลือโสนน้อยอย่างวางใจเป็นกลาง ไม่สร้างอารมณ์ลบซ้อนอารมณ์ลบ เปิดทางให้อารมณ์ด้านบวกมีกำลังมากพอที่จะเบี่ยงออกจะกระแสดำมืด และดึงดูดสิ่งที่มีความสงบสันติกว่าเข้ามาในชีวิต