- ‘การค้นพบและเข้าใจตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง’ คือ หัวใจของงาน Sacred Mountain Festival งานที่จะพาทุกคนไปดำดิ่ง เชื่อมโยง และทำความเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง
- มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเปราะบางในใจ แต่พวกเราไม่เคยมีพื้นที่ๆ ไว้พูดคุย สื่อสาร หรืออนุญาตให้เปิดเผยเรื่องเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย ไว้วางใจได้ พวกเราส่วนใหญ่จึงเลือกกดทับและกลบเกลื่อนความเป็นตัวเองที่แท้จริงเอาไว้แล้วสร้างตัวตนที่สังคมต้องการขึ้นมาแทน
- พื้นที่ของ Sacred Mountain เชื้อเชิญให้เราเดินกลับเข้าไปด้านใน สืบค้น มองดู ยอมรับ และอนุญาตให้เรา “เห็นตัวเอง” ที่เราเก็บซ่อนไว้ แล้วเผชิญหน้าตัวเองด้วยความรักและปราศจากการตัดสินใดๆ เพื่อให้เราได้ยอมรับและรักตัวเองได้ “อย่างที่เราเป็นทั้งหมด” ได้จริงๆ
“ความเปิดกว้างช่วยให้จิตใจเรา มีพื้นที่ที่มองเห็นความเป็นไปได้ต่างๆ
และพบกับความอิสระจากการโต้ตอบที่เราทำประจำจนเป็นนิสัย”
วัชรจารย์ พักชก รินโปเช
Sacred Mountain Festival เป็นพื้นที่สื่อสารเรื่องความเข้าใจ “ภาวะด้านใน” เทศกาลแรกๆ ของประเทศไทย จัดครั้งแรกเมื่อปี 2562 และได้รับการตอบรับดีเกินคาดจนเกิดการรวมตัวกันอีกเป็นครั้งที่สอง บางคนปรามาสว่าเป็นเพียงเทศกาลที่คนบ้ามารวมตัวกัน บ้างก็ว่าเป็นเทศกาลที่นำพาไปสู่การค้นพบและเข้าใจตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง น่าสนใจเหลือเกินว่าอะไร คือ นิยามของคำว่า “จิตวิญญาณ” ที่แท้จริง
โลดแล่นไปในแดนศักดิ์สิทธิ์
ฉันเองไม่เคยเข้าร่วม Sacred Mountain มาก่อน แถมปีนี้ก็มาไม่ทันวันเปิดงานเสียด้วย นึกทึกทักไปเองว่าเทศกาลนี้คงเป็นคล้ายตลาดนัดวิชาทางจิตวิญญาณให้ผู้คนร่วมเรียนรู้ แต่เมื่อได้จมจ่อมและกลืนกลายไปกับทุกสิ่ง ฉันพบว่า Sacred Mountain เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นประตูการเรียนรู้ให้เราดำดิ่ง เชื่อมโยง ทำความเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง โดยมีทุกสิ่งเป็น “ครู” ของเราได้ทั้งหมด ขณะเดียวกันก็นำพาตัวเราออกไปเชื่อมโยงกับผู้คน และโลกธรรมชาติภายนอก จนทั้งหมดนั้นเกิดการเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน
วิจักขณ์ พานิช หนึ่งในสามแกนนำผู้ริเริ่มสร้างสรรค์งานร่วมกับ กฤตยา ศรีสรรพกิจ และชนินทร์ เจียรทัศนประกิต เล่าให้ฟังว่า “ปีแรกคอนเซ็ปต์ของการจัดงานคือ “Sharing heart, Sharing vision” เป็นความตั้งใจที่อยากนำคนทำงานด้านสร้างสรรค์หล่อเลี้ยงทางจิตวิญญาณมารวมตัวกัน ซึ่งไม่ใช่แค่การรวมกระบวนการเรียนรู้แต่ห่อหุ้มด้วยมิติของ unknown และ unseen อยู่ด้วย ทุกคนที่ทำงานด้านนี้ฝันถึงสังคมที่มีความสุข มนุษย์มีความรักแก่กัน มีสันติภาพ มนุษยชาติได้เห็นคุณค่าในตัวเอง ปีนี้เราทำงานต่อในแนวคิด “Spiritual playground for living heart &soul” มีพื้นที่ให้คนได้ปลดปล่อยและเชื่อมโยงกันมากขึ้น
“เรามีพื้นที่ให้คน co-create กับพลังงานที่มองไม่เห็น มีลานเขาวงกต สถูปหิน ศาลพญานาค และทำพิธีเปิดให้เจ้าหลวงคำแดงเป็นธรรมบาลของงาน เชื้อเชิญให้คนปล่อยวาง ลดการปรุงแต่งทางความคิดแล้วเปิดเซนส์ออก การวางความคิดช่วยให้ผัสสะละเอียดขึ้น และต้องรื่นรมย์ด้วยจึงจะเรียนรู้ เราทำพื้นที่ปลอดภัย ทำให้คนเปิดใจและไว้วางใจ ใช้ประสาทสัมผัสของมนุษย์ค้นพบ ‘พลังบางอย่าง’ ที่มีอยู่แล้วในตัวเราเอง ทำให้คนเข้าไปคอนเนคกับตัวเองในระดับลึก มีพื้นที่ที่เชื่อมโยงความหมาย และสุดท้ายทุกคนจะมีเส้นทางการเรียนรู้ในแบบของตัวเอง”
รักตัวเองได้ในแบบที่เป็น
มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเปราะบางในใจ แต่เราไม่เคยมีพื้นที่ (ทั้งกายภาพและจิตใจ) ที่จะพูดคุย สื่อสาร หรืออนุญาตให้เปิดเผยเรื่องเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย ไว้วางใจได้ ส่วนใหญ่จึงเลือกกดทับและกลบเกลื่อนความเป็นตัวเองที่แท้จริงเอาไว้แล้วสร้างตัวตน (ที่สังคมต้องการ) ขึ้นมาแทน
แต่พื้นที่ของ Sacred Mountain เชื้อเชิญให้เราเดินกลับเข้าไปด้านใน สืบค้น มองดู ยอมรับ และอนุญาตให้เรา “เห็นตัวเอง” ที่เราเก็บซ่อนไว้ แล้วเผชิญหน้ากับตัวเองด้วยความรักและปราศจากการตัดสินใดๆ
ผ่านเครื่องมือ (วิชา) สำรวจใจหลายๆ อย่าง อาทิ Inner Child, Voice Dialogue, Deep Democracy & Process Work เพื่อให้เราได้ยอมรับและรักตัวเองได้ “อย่างที่เราเป็นทั้งหมด” ได้จริงๆ
ฉันเองได้เรียนรู้เรื่อง Inner Child ที่ถิง ชู ชวนให้เรากลับไปค้นหาตัวตนบางคนที่เราเก็บซ่อนไว้ไม่ยอมให้เผยตัว ผ่านกิจกรรมที่แสนง่ายดายคือการกลับไปเชื่อมโยงกับตัวเอง สังเกตดูว่ามีสิ่งใดปรากฏในใจ เมื่อพบเด็กน้อยภายในแล้วให้เชื่อมโยงด้วยคำถามที่ว่า เขาชื่ออะไร รู้สึกอะไร มีอะไรที่เราช่วยได้บ้าง จากนั้นลืมตาขึ้น เลือกสีที่ดึงดูดใจ ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดเขียนบนกระดาษ เด็กน้อยภายในนั้นจะค่อยๆ สื่อสารสิ่งที่เขาต้องการออกมา
ฉันออกจะตกใจนิดหน่อยตอนที่ความรู้สึกชั่วขณะนั้นดึงดูดให้ตัวเองหยิบสีไม้สีชมพู (ฉัน-ในสำนึกรู้ที่บอกตัวเองว่า‘แมนมากและแข็งแกร่งเสมอ’) แต่เมื่อปล่อยให้ภาวะไหลลื่นนั้นดำเนินไปฉันได้ค้นพบเด็กน้อยภายในของตัวเองที่ทั้งอ่อนหวานและอ่อนไหวไปพร้อมกัน สีชมพูคือสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของความเบิกบาน สดใส ที่ฉันทำหล่นหายไปจากชีวิต เพราะไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองสนุก หรือทำอะไรเล่นๆได้เลย ในฐานะพี่คนโตฉันรู้สึกว่าตัวเอง “มีสิ่งที่ต้องทำ” เยอะมาก มีความเหมาะควรมากมายไปหมด เด็กน้อยคนนั้นบอกฉันว่า เธอยังอยากเล่น อยากสนุก อยากหัวเราะมากกว่านี้ ตอนที่เราจับกลุ่มแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ กลุ่มย่อย น้ำตาฉันไหล รู้ชัดว่าชีวิตที่ผ่านมานั้น ตัวเองหัวเราะน้อยมากเพียงใด “สิ่งที่ต้องการที่สุดในชีวิตคือการได้เป็นคนตลก ทำให้คนอื่นหัวเราะได้” ฉันเล่า น้องสาวที่นั่งตรงหน้าจึงเอ่ยว่า “พี่ทำได้แล้วนะ” หลังจากเธอหัวเราะเมื่อฟังบางสิ่งที่ฉันพูดจบลงทั้งหมด
ฉันเองมิอาจบรรยายได้ว่ามันงดงามเพียงใดที่เราได้เดินทางเข้าไปค้นพบตัวเองในอีกแบบหนึ่ง (แบบที่สำนึกรู้เรามักบอกว่า‘ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น/ฉันไม่มีวันเป็นคนแบบนั้น’) ได้เผชิญหน้า มองเห็น ยอมรับ และไม่ตัดสินคนๆนั้น และตระหนักว่าเราต่างมีส่วนเสี้ยวของตัวตนที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมายนัก และเมื่อเราได้รู้จักตัวเองมากเท่าไร เราจะยิ่งเข้าใจคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น เราจะตัดสินคนอื่นน้อยลง เพราะรู้ชัดแจ้งแล้วว่าเราต่างเป็นมนุษย์ที่เปราะบางไม่ต่างกัน
เราล้วนเป็นผู้วิเศษ
มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องการเป็นคนที่มีคุณค่าความหมาย ถูกมองเห็น และมีตัวตนในแบบที่ตนเป็น แต่ด้วยมาตรฐานของสังคม ความคาดหวังของครอบครัว คนรอบข้าง ได้กำหนดคุณค่าของความดีงามและความสำเร็จในชีวิตไว้เพียงไม่กี่ประการ
คนไม่น้อยจึงเกลียดชังตัวเอง กดข่มตัวตนแท้ เพียงเพื่อจะเป็นในแบบที่โลกภายนอกต้องการ หากพื้นที่ของ Sacred Mountain ได้เป็นพื้นที่เปิดกว้าง ยอมรับความหลากหลายที่อนุญาตให้ผู้คนได้เป็นตัวเองอย่างจริงแท้ เรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง ค้นพบพลังภายในและตระหนักรู้ว่า “เราทุกคนต่างเป็นผู้วิเศษในแบบของตน” ทั้งสิ้น
หากเราให้นิยามความหมาย (ใหม่) ว่า อาหารอร่อยล้ำ กาแฟรสละมุน เสียงดนตรีพลิ้วไหว เสียงเพลงอ่อนโยน กอดอันทรงพลัง การรับฟังที่เหมือนนั่งอยู่ในใจ ฯลฯ คืออาวุธลับของผู้วิเศษ เราทุกคนล้วนต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญในมนตราแบบของตัวเองอยู่นานแล้ว ที่นี่จึงเป็นพื้นที่ของการโอบรับ “ความเป็นทุกสิ่ง” ของทุกคนโดยไม่แบ่งแยกตัดสิน ไม่มีการตีตราว่าอะไรดีไม่ดี ถูกหรือผิด ด้วยบรรยากาศเปิดกว้างทางใจ ปลอดภัย ไว้วางใจ รับฟังกัน โอบอุ้ม เอื้ออาทร กอปรกับการได้อยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง มองเห็นท้องฟ้า ได้กลิ่นต้นไม้ ยินเสียงสายน้ำ ฟังเสียงสายลม และชื่นชมดอยหลวงเชียงดาว-ขุนเขายิ่งใหญ่ทรงพลังตรงหน้า เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้เชื่อมโยงพลังบริสุทธิ์กับธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ทำให้ Sacred Mountain กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในหัวใจผู้คนไปโดยปริยาย
เนื้อหาการเรียนรู้หลายเรื่องจากเหล่า Magician (วิทยากร) เป็นเครื่องมือให้เราได้กลับไปสืบค้นความวิเศษในตัวเองและมองเห็นว่าเรามีพลังอีกมากมายเพียงใดที่ยังไม่เคยถูกค้นพบและนำมาใช้ในชีวิต คนสมัยใหม่ถูกสอนให้เรียนรู้ในระดับสมอง ตรรกะและเหตุผล แต่เนื้อหาเรียนรู้หลายเรื่องชวนเราเปิดโลกใหม่ เป็นการเรียนรู้ผ่านร่างกายและหัวใจ เติมเต็มให้เราเป็นมนุษย์ที่รู้สึกรู้สามากกว่าเดิม
เพื่อนๆ ที่เรียนรู้บทเรียนผ่านร่างกาย เช่น Body in Perspective จาก ศศิพินทุ์ ศิริวาณิชย์ กลุ่ม B-floor, Contact Improvisation จาก นิธิพัฒน์ พลชัย มาแบ่งปันการค้นพบที่น่าสนใจว่า ร่างกายมีความทรงจำและมีการสื่อสารในแบบตัวเอง แต่เราไม่เคยถูกฝึกให้อ่านสัญญาณที่ร่างกายพยายามสื่อสารกับเรา เราจึงไม่ค่อยรู้จักตัวเอง ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง เมื่อได้เรียนรู้เครื่องมือที่กลับไปเข้าใจตัวเองจึงได้ค้นพบสัญญาณความหมายนี้อย่างลึกซึ้ง ส่วน Emphatic Body Listening โดย ดุจดาว วัฒนปกรณ์ ทำให้หลายคนค้นพบว่าการฟังนั้นไม่ใช่เป็นเพียงการรับฟังถ้อยคำ หากเป็นการฟังทั้งเนื้อทั้งตัว ฟังด้วยหัวใจ เป็นการฟังที่ข้ามพ้นไปจากภาษา (บางคู่เป็นคนไทยกับคนต่างชาติที่ฟังความหมายกันไม่เข้าใจ) ข้ามพ้นการมองเห็น (บางคู่เป็นคนตาดีกับตามองไม่เห็น) เป็นการสื่อสารแบบใช้พลังของใจสู่ใจอย่างแท้จริง
คลาสเดินป่า ของ นิคม พุทธา นำพาผู้คนออกไปเชื่อมโยงกับธรรมชาติโดยไม่ใช้ความคิดใดๆ คลาสเวทมนตร์ของเสียงดนตรีโดยกอล์ฟ ทีโบน, อิเคบานะ โดย ดิเรก ชัยชนะ, สื่อสารจิตวิญญาณผ่านตัวอักษร โดย นิ้วกลม, Haiku Writing โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์, ระบายสีจักรวาล โดย อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธุ์ขจี และอ่านสัญญาณชีวิต โดย ชนินทร์ นำพาให้ผู้คนเปิดพื้นที่ของความรู้สึกด้านใน อนุญาตให้ตัวเองได้รู้สึก มองเห็นรับรู้ในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก แล้วสื่อสารออกมาผ่านการจัดดอกไม้ ภาพวาด ตัวอักษร การเขียนอันลื่นไหลต่อเนื่องปราศจากการคิดและตัดสินถูกผิดใดๆ หลายคนตื่นเต้นเมื่อค้นพบว่าตัวเองมีความเป็นศิลปินและเป็นกวีอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งจากการเรียนรู้เหล่านี้
คลาสที่ฉันประทับใจมากที่สุดคลาสหนึ่งคือ Healing Art and Blind Experience เพราะได้จำลองช่วงเวลาการเป็นคนตามองไม่เห็น น้องอมีนา (ที่ตามองไม่เห็น) ชวนเราเดินเล่นในลำธารที่ก้อนหินเรียงรายสูงต่ำ น้องเดินลำพังอย่างคล่องแคล่วมั่นใจ หากเมื่อฉันได้ลองหลับตาลงบ้างจึงได้ค้นพบว่าตัวเองสูญเสียการรับรู้ทิศทางหมดสิ้น ความกลัวแผ่ซ่านไปทั่ว ความไว้วางใจต่อตัวเองและบัดดี้เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ภารกิจลุล่วง เมื่อเราสัมผัสรู้ความงามของธรรมชาติผ่านผัสสะอื่นๆ มันมีความหมายไปอีกแบบที่ต่างจากการมองเห็น มันตรงเข้าสู่หัวใจ เพราะเราประทับมันด้วยความรู้สึก (ไม่ใช่ความคิดแบบที่ชีวิตเราคุ้นชิน) บัดดี้ของเราจะบรรยายภาพความงามของธรรมชาติตรงหน้า ภูเขาต้นไม้ สายน้ำ เราประทับจำความรู้สึกเหล่านั้นแล้วนำกลับไปวาดภาพของตัวเอง เราเลือกสีที่ใช้วาดด้วยการใช้จมูกดมกลิ่น แล้วสร้างความหมายว่ากลิ่นแบบนั้นเชื่อมโยงกับสีสันหรือรูปที่เราต้องการสื่อสารอย่างไร แล้วใช้มือแตะสีวาดภาพไปบนกระดาษ
ฉันทึ่งมากที่ครูทราย นักศิลปะบำบัดกลุ่ม The Nose Thailand ได้ออกแบบกลิ่นของสีได้ใกล้เคียงกับความหมายที่แท้จริง อย่างเช่น สีน้ำเงินมีกลิ่นคล้ายแร่ธาตุ เหมือนยาสีฟัน ซึ่งฉันเองใช้วาดภาพดอยเชียงดาวซึ่งเป็นภูเขาหินปูน สีเขียวมีกลิ่นเหมือนดินและหญ้า ซึ่งฉันใช้วาดต้นไม้ และสีขาวและม่วงมีกลิ่นความอ่อนหวานเหมือนดอกไม้ การทำงานศิลปะโดยไม่ต้องใช้ตามอง ทำให้เราได้เปิดศักยภาพของผัสสะอื่นในร่างกาย ฉันพบว่าตัวเองมีประสาทรับรู้กลิ่นที่ดีมากจนน่าทึ่ง ขณะบางคนก็รู้สึกว่าแยกกลิ่นไม่ได้เลย แต่กระนั้นทุกคนก็สร้างสรรค์งานศิลปะออกมาได้อย่างงดงาม เป็นอีกหนึ่งการค้นพบสำคัญว่า
แท้จริงแล้วในชีวิตนี้ ไม่มีข้อจำกัดใดที่มีอยู่จริง เมื่อเราเชื่อว่าหนทางมีมากกว่าหนึ่ง ความเป็นไปได้จึงเกิดขึ้นได้เสมอในทุกรูปแบบ เหนือไปกว่านั้น การได้จำลองชีวิตผู้ที่ตามองไม่เห็น ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้งถึงหัวใจ Empathy หรือ การร่วมรู้สึกรู้สาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราได้เรียนรู้เพื่อที่จะรักตัวเองและรักคนอื่นไปพร้อมๆ กัน
เวทมนตร์บังเกิดเมื่อเราเชื่อมโยงกับธรรมชาติ
คำว่าเวทมนตร์หายไปจากสำนึกรู้ของโลกสมัยใหม่เพราะเราอธิบายทุกสิ่งด้วยวิทยาศาสตร์ เราเชื่อและยอมรับในสิ่งที่พิสูจน์ได้จริงเท่านั้น หากแท้จริงแล้ว สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้มิใช่ไม่มีอยู่จริง วิจักขณ์ พานิช แบ่งปันในคลาสพลังแห่งมนตราถึงพุทธทิเบตว่า ทุกข์ของคนสมัยใหม่เกิดจากการตัดขาด การที่มนุษย์ไม่สามารถเชื่อมโยงกับผู้คนหรือธรรมชาติรอบตัว เพราะเมื่อทุกสิ่งถูกอธิบายด้วยเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ทั้งหมด เสน่ห์ของการใช้ชีวิตจึงหายไป การร่ายมนต์หรือสวดภาวนาจึงเครื่องมือที่ช่วยนำเรากลับมาเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ เพื่อเข้าสู่ภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวโดยไม่แบ่งแยก และเข้าถึงความเชื่อมโยงนั้นได้ อาจทำให้เกิด Magical Moment ในชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์
Magic Moment มักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นราวเป็นเรื่องบังเอิญ อธิบายไม่ได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากการวางแผน การคิด แต่เกิดขึ้นในสภาวะจิตที่ว่าง (จากความคิด) เปิดกว้าง ผ่อนคลาย ที่ทำให้ภาวะภายนอกกับภายในได้เชื่อมโยงถึงกัน ความว่างมีความหมายโดยนัยสื่อถึงการยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ว่าเป็นอย่างไร การปลอดปล่อย อนุญาตให้ความเป็นไปได้มีมากกว่าหนึ่งทางเลือก
ตลอดสามวันใน Sacred Mountain (แม้อยู่ไม่ครบถ้วนทั้งหมด) ฉันรับรู้ถึงการเปิดออก รู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ได้รับการสื่อสารจากบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือไปจากตนเอง เป็นคำตอบของหลายคำถามที่วนเวียนคิดมานานแต่ก็ไม่เคยพบทางออก คำตอบนั้นมาจากต้นมะเดื่อริมศาลพญานาค มาจากการเดินในลานเขาวงกต การเล่น Transformation Game การเรียนรู้ผ่านหลายบทเรียนในงาน การสนทนากับผู้คนตรงหน้า และอีกมากมาย คำตอบจึงเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกคราว เมื่อเราเปิดใจและวางใจว่า ความเป็นไปได้มีมากกว่าหนึ่งเสมอ เป็นสิ่งที่ผู้จัดต้องการให้ผู้ร่วมงานได้มีประสบการณ์ “Co-Creation with Unknown” ในแบบของตัวเอง
“การมีพื้นที่ให้เชื่อมโยงกับบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่แน่ใจว่ามีจริงหรือเปล่าหรือไม่รู้ว่าจะนำไปสู่อะไร ก่อให้เกิดความไว้วางใจ ในระหว่างที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มักมีเมจิคที่มาเซอร์ไพรส์เราอยู่เสมอ ตอนเด็กๆ เล่นกัน เราสมมติบางสิ่งเป็นบางอย่าง เช่น ต้นไม้วิเศษ เราสามารถเปลี่ยนแปลงพื้นที่ให้มีความหมายใหม่แล้วสนุกไปกับมัน เด็กๆ เข้าใจเรื่องพวกนี้ เขาเล่นกันใน ‘จินตนาการร่วม’ มันก็กลายเป็นความสนุก ความทรงจำ ที่เขาได้แชร์ความรื่นรมย์ร่วมกัน…นี่เป็นเรื่องเดียวกันกับจิตวิญญาณ เราอยู่ในมณฑลที่สร้างความหมายบางอย่างและทำให้คนเกิดการเรียนรู้ภายใน ความศักดิ์สิทธิ์ในมณฑลนี้มีขอบเขตกว้างขวางมาก เช่น จักรวาล สันติภาพ ความรัก มนุษยชาติ เมื่อแต่ละคนได้มาอยู่ในพื้นที่เหล่านี้จะเกิดกระบวนการการคลี่คลายเองของแต่ละคน และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในพื้นที่แบบนี้” นี่คือเบื้องหลังความปรารถนาของการสร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์นี้
ในพิธีปิด เรานำทุกสิ่งกลับคืนจากแหล่งที่มา ยืนยันว่าดินน้ำลมไฟนั้นอยู่ในตัวเราและอยู่นอกตัวเรา ในจักรวาลนี้จึงไม่คำว่า “ข้างนอก” หรือ “ข้างใน” เพราะเราต่างกอปรขึ้นจากธาตุทั้งสี่เฉกเช่นกัน ถ้าใครสักคนกล่าวว่า Sacred Mountain เป็นแค่เทศกาลที่คนบ้ามารวมตัวกัน ฉันคิดว่าหากเราให้นิยามการที่ผู้คนได้เป็นตัวเองบนฐานของการเคารพตัวเอง เคารพผู้อื่น เปิดกว้าง รับฟัง ไว้วางใจ ปลอดภัย และไม่ตัดสินกัน เป็นความหมายของ “ความบ้า” ฉันคงขอยอมรับการเป็นคนบ้านี้ไว้ด้วยความเต็มใจยิ่ง