Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
Social IssuesLife classroom
4 August 2025

‘ผิดเป็นครู’ เรียนรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทุกคนสามารถลุกขึ้นอย่างมีคุณค่าได้เสมอ: รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • สังคมไทยมีวลีที่คุ้นหูว่า ‘ผิดเป็นครู’ แต่ในความเป็นจริงหากใครสักคนทำผิดมักจะโดนลงโทษหรือตำหนิอย่างไม่สมเหตุสมผล เมื่อไม่เคยได้เรียนรู้ว่าความผิดพลาดคือบทเรียนที่ดี และไม่มีวิธีรับมือกับความทุกข์ที่เกิดขึ้น จึงนำมาซึ่งความเครียดและปัญหาสุขภาพจิต
  • บทเรียนสำคัญที่เด็กต้องได้เรียนรู้คือ ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ความทุกข์เป็นเรื่องธรรมชาติ มนุษย์มีคุณค่าอยู่แล้ว ที่เหลือคือการใช้ชีวิตตามเป้าหมายของตนเอง ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์หรือแสวงหาการยอมรับจากคนอื่น
  • วิธีที่จะปรับใจให้มั่นคงในโลกที่เต็มไปด้วยการตัดสินและตีตรา ต้องหันกลับมาตระหนักรู้ในตนเอง (Self Awareness) ปลดล็อกความเชื่อผิดๆ หรือกระแสที่ครอบงำความคิด แล้วหันกลับมาดูแลตัวเอง รับผิดชอบสุข-ทุกข์ของตัวเอง

“ฉันมีคุณค่าไหม”

“ฉันดีพอหรือเปล่า”

“ทำไมชีวิตถึงไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่น”

“ทำไมยิ่งโตขึ้น แทนที่จะเข้าใจชีวิตมากขึ้น กลับยิ่งเครียดยิ่งทุกข์”

หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำถามเหล่านี้ดี เพราะมันคือเสียงที่ดังอยู่ในใจ โดยเฉพาะในวันที่เหนื่อยล้าจากการถูกสังคมตัดสิน หรือเผลอนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครบางคนอย่างไม่รู้จบ  

แม้จะรู้ดีว่าการเอาตัวเองไปวัดกับใครไม่เคยเติมเต็มจิตใจหรือช่วยให้ชีวิตดีขึ้น แต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะหลุดจากกับดักทางความคิด ที่ค่อยๆ กลืนกินพลังใจเราไปทีละน้อย ยิ่งดิ้น…ก็ยิ่งเหนื่อย ครั้นจะระบายความอึดอัดให้ใครฟัง ก็กลัวจะถูกมองว่าอ่อนแอ…ไม่ได้เรื่อง  

The Potential ชวนทุกคนสำรวจความรู้สึก ค้นหาต้นเหตุแห่งทุกข์ กับ รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ ผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญา มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ที่เตือนให้ตระหนักว่า สิ่งมีค่าที่ติดตัวเรามาแต่แรกและไม่เคยหายไปไหน คือ ‘คุณค่าความเป็นมนุษย์’ แต่สิ่งที่บั่นทอนความรู้สึกนั้นมาจากความเชื่อผิดๆ ที่ส่งต่อกันมาผ่านการเลี้ยงดูในครอบครัว ระบบการศึกษา และค่านิยมทางสังคม ซึ่งอาจารย์ชัชวาลย์ขยับปมแรกที่ติดอยู่ในใจใครหลายคน นั่นคือ ‘ห้ามผิด’

ผิดเป็นครู…แต่ทำไมเราไม่เคยได้เรียนรู้จากความผิดพลาด

“ที่ผ่านมาแนวทางในการพัฒนาศักยภาพคนก็จะแนะนำวิธีทำยังไงถึงเก่ง ทำยังไงถึงจะเป็นเลิศ แต่ทำยังไงถึงจะอยู่กับความล้มเหลวได้ ทำไงถึงจะเฟลได้ ทำไงถึงจะผิดได้ ผิดแล้วจะอยู่ยังไง ลูกทำผิดแล้วพ่อแม่จะวางใจยังไง มันไม่ค่อยมี ดังนั้น มันไม่เป็น Lesson Learned ผิดเป็นครู มันไม่เคยเป็นความจริง 

ผมมีความรู้สึกว่าที่ผ่านมาเราพยายามกระตุ้นส่งเสริมให้คนเก่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีการที่จะบอกว่า จะจัดการทุกข์ยังไง มันไปไม่ได้จะทำยังไง

ตอนเด็กๆ พอร้องไห้ พ่อแม่ก็จะบอกให้เงียบเร็วๆ พอโตขึ้น เวลาเศร้าก็ต้องหายเร็วๆ ต้องรีบพาตัวเองออกจากความทุกข์ที่มันเป็นธรรมชาติ ทำให้ความผิดพลาดความทุกข์ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ในชีวิตจริง โอกาสผิดมันเยอะนะ”

อาจารย์ชัชวาลย์ บอกว่า ที่เริ่มต้นอย่างนี้เพราะต้องการ ‘สื่อสารเพื่อแซะความเข้าใจผิดๆ’ เนื่องจากพอนำเอาความผิดพลาดไปลดทอนคุณค่าของคน สิ่งที่เกิดขึ้นคือการบั่นทอนความรู้สึก ทั้งที่สิ่งที่ผิดก็แค่ ‘การกระทำ’ หรือพฤติกรรมบางอย่างเท่านั้น แต่เรามักตำหนิไปที่ตัวตน จนทำให้บางคนเกิดบาดแผลทางใจ

“จริงๆ มันก็แค่การกระทำที่ผิด ตอบผิด-มันผิดที่คำตอบ มันผิดที่การตัดสินใจ การแสดงออก การกระทำนั้นผิด มันไม่เกี่ยวกับคนนะ แต่งานผิดเราด่าคน เด็กนักเรียนตอบผิด เราด่านักเรียน ลูกเราทำการบ้านไม่ได้ เราหงุดหงิด ถึงคุณจะใส่บวกไป 10 อัน แต่โดนลบอันเดียว พังหมดเลยนะ 

พอเราให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ สมมติเด็กเล่นต่อเลโก้หอคอย ทีนี้พ่อแม่ก็อยากได้ผลลัพธ์ เข้าไปยุ่งกับเขา ต่อตรงนั้นไม่ได้นะ ถ้าต่อไปเรื่อยๆ ต้องพังแน่นอนเลย แล้วพอเด็กไม่เชื่อ ต่อแล้วพัง พ่อแม่ก็จะบอกว่าเห็นไหมบอกแล้วไม่เชื่อ สมน้ำหน้าเป็นยังไงล่ะ คือสังคมเราอยู่กับผลลัพธ์อย่างเดียว เราไม่ได้ให้เขาเรียนรู้ ไม่เป็นไรลูก พังเดี๋ยวเราทำกันใหม่ มันพังก็ซ่อมได้ พังก็มาดูกันใหม่ แต่มันไม่เป็นแบบนี้ มันสร้าง Negative สร้างบาดแผลในใจเด็ก 

โดนสมน้ำหน้าครั้งเดียว บางทีมันอยู่ในใจไปนาน ไม่กล้าริเริ่มอะไรใหม่ ไม่กล้าตัดสินใจ เพราะเสียงของการด้อยค่าอันนี้มันจะดังขึ้นทันทีเลย กลายเป็น Fixed Mindset ที่ทำให้เราติดอยู่กับความรู้สึกกลัวผิดอยู่ซ้ำๆ”

เมื่อกรอบความคิดติดอยู่กับความกลัว …กลัวผิด กลัวไม่ดี กลัวไม่เป็นที่ยอมรับ ยิ่งโตก็ยิ่งเหนื่อย เพราะเงื่อนไขชีวิตมีมากขึ้น ยิ่งในสังคมปัจจุบันที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลต่อการกำหนดคุณค่าและตีตราคนที่ไม่เป็นไปตามค่านิยมกระแสหลัก ปัญหาสุขภาพจิตจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในคนทุกวัย 

จะทำอย่างไรให้เราไม่ติดกับดักความคิดเหล่านี้จนเป็นทุกข์ อาจารย์ชัชวาลย์แนะนำให้เริ่มจากการยอมรับว่า ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาของการเป็นมนุษย์ และมันไม่ใช่สิ่งต้องห้ามในชีวิต

“เราไม่ยินดีต้อนรับความผิดพลาด เราเลยไม่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดกันจริงๆ พ่อแม่ไม่ได้สอน ครูก็ไม่ได้สอน เราจึงไม่มีความไว้วางใจต่อความผิดพลาดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ  ทั้งที่จริงๆ มันก็ผิดมาตลอด อีกกี่ชาติก็ผิด  ดังนั้นข้อความที่อยากสื่อสารคือ ‘เรียนรู้จากความผิดพลาด’

เวลาจะกระตุ้นให้กำลังใจเรื่องความผิดพลาด เราบอกให้ดูอย่าง ‘โทมัส อัลวา เอดิสัน’ สิ กว่าจะได้หลอดไฟมาหลอดหนึ่ง เขาทำผิดแล้วผิดอีก แต่เขาไม่ท้อจนทำได้สำเร็จ พวกเราเองก็ถูกสอนว่าอย่าท้อ แต่พอเราทำผิดนะ…โดนเลย ส่วนเอดิสันไม่มีใครด่าเขา เราลองให้มันเป็นแบบนั้นสิ ทำไมเราจะไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ผิดก็ไม่เป็นไร เรียนรู้ไป แต่เรากลับชอบเอาตัวอย่างคนไม่กี่คนมาปั๊มให้เด็กรุ่นใหม่ต้องลำบาก มีแพสชันไหม ค้นหาตัวเองเจอตั้งแต่อายุน้อยๆ เหมือน สตีฟ จ็อบส์ หรือเปล่า”

แม้จะสนับสนุนให้เรียนรู้จากความผิดพลาด แต่อาจาย์ชัชวาลย์ ก็เน้นย้ำว่าการเรียนรู้นั้นจะต้องเป็นไปด้วยความใส่ใจ พยายามป้องกัน และมีวิธีรับมืออย่างเหมาะสมหากความผิดพลาดเกิดขึ้น 

“มันไม่ใช่การปล่อยปะละเลยนะ ประเด็นคือต้องเข้าใจว่า เราอาจผิดแล้ว และจะผิดต่อไปอีก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ผิด กรุณาทำใจร่มๆ และพร้อมที่จะเห็นความผิดพลาดนั้นเป็นปกติ”

โดยเฉพาะกับเด็กๆ เมื่อเขาทำพลาดไป ผู้ใหญ่ต้องช่วยให้เขาเรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่ใช่ปกป้องจนเกินเหตุ ด้วยการโทษสิ่งอื่น เช่น เด็กหกล้มก็โทษเก้าอี้ โทษพรม หรือดุด่า ซ้ำเติม โทษเด็ก

“ของมันเสียแล้ว…ยังทำให้ลูกเสียใจอีก จำเป็นไหม จำเป็นต้องให้เกิดความกลัว ความผวาไหม

ของขึ้นก็อย่าเพิ่งพูด ถ้าพูดดีๆ ไม่ได้ก็อย่าเพิ่งพูด แค่นี้ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งเลย เราต้องยอมรับว่าเราควบคุมไม่ได้ทั้งหมดหรอก แต่สิ่งที่เราทำได้คือมาตรการป้องกันให้ผิดพลาดเสียหายน้อยที่สุด”

อาจารย์ชัชวาลย์ชี้ว่า การที่พ่อแม่ผู้ปกครองและครู รวมถึงผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจเหนือกว่าใช้การตำหนิดุด่าไปที่ตัวตนไม่ใช่ที่การกระทำหรือพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความผิดพลาด ส่งผลให้หลายคนเกิดความกลัวที่จะริเริ่มทำอะไร และมักปกปิดความผิดของตน หรือปัดความรับผิดชอบ 

“มันก่อให้เกิดการหมกเม็ด การขี้โกงเอาผลงานคนอื่นมา ก่อให้เกิดการโบ้ยสิ่งไม่ดีให้คนอื่น อะไรดีๆ เอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มาจากรากเหง้า มาจากความกลัวตั้งเยอะตั้งแยะ”

It’s Okay to Not Be Okay ไม่เป็นไร ถ้าอะไรๆ จะไม่ได้อย่างใจบ้าง

เมื่อความกลัวผิดพลาด กลัวล้มเหลว กลัวไม่เป็นที่ยอมรับ พาใครบางคนเข้าสู่วังวนของการเปรียบเทียบ แข่งขันและพิสูจน์คุณค่า ผลลัพธ์ย่อมเป็นความรู้สึกหนักเหนื่อย แทบหาความสุขในชีวิตไม่ได้ 

หนึ่งในคำปลอบใจที่ฟังดูดีก็คือ ‘It’s Okay to Not Be Okay’ (มันโอเคที่จะอนุญาตให้ตัวเอง รู้สึกไม่โอเค) ซึ่งในมุมมองด้านจิตวิทยา อาจารย์ชัชวาลย์บอกว่า มีสิ่งที่ต้องเข้าใจร่วมกัน นั่นคือ คุณต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว 

“โอเคกับความไม่โอเค คือมันต้องโอเคก่อน แล้วจะแก้ก็ค่อยแก้ แต่ถ้ามัวแต่..อะไรวะ ทำไมวะ เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นได้ยังไง มันไม่โอเคนะแบบนี้ แต่ความหมายคำว่า ‘โอเค’ คือ  Accept ยอมรับก่อน มันเกิดขึ้นแล้ว แล้วไม่ใช่ว่าโอเคแล้วไม่ต้องทำอะไรนอนต่อไปนะ เพียงแต่เมื่อมันก็เกิดขึ้นแล้ว เรามาตั้งคำถาม เช่น ผิดได้ยังไง ทำไมถึงผิด สั่งแล้วสั่งอีกย้ำแล้วย้ำอีกทำไมถึงทำผิด ..มันไม่เคยได้คำตอบ ก็มันผิดอยู่ไง แล้วงานก็ต้องส่งพรุ่งนี้ แต่ยังด่าเรื่องเมื่อวานไม่จบเลย ของเก่ายังไม่จบเลย แล้วมันจะ Resilience ล้มแล้วมันจะลุกยังไง ก็เวลาล้มแล้วไม่ชวนกันลุก มีแต่ไปถามว่าเดินประสาอะไร ทำไมไม่รู้จักระวัง เสียเวลา เสียกำลังใจ เสียความรู้สึก”

“สำหรับผม OK Not to Be OK นั้น มันโอเคโดยนัยที่ว่า มันเกิดขึ้นแล้ว ฝนมันตกแล้ว รถมันติดแล้ว ถ้าคุณไม่โอเคแล้วคุณทำอะไรได้ คุณวางใจไม่เป็น นี่ไงปล่อยวาง ปล่อยวางแล้วขับรถกลับบ้านนะ หรือบางคนขับรถเข้าห้าง หรือไปอย่างอื่นก็แล้วแต่ นั่นเป็นอีกซ็อตหนึ่ง”

“เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ถ้าไม่ยอมรับก่อน แก้ไม่ได้นะครับ ไม่ยอมรับว่าซวยแล้ว…จะแก้ยังไง ยอมรับว่าซวยแล้ว โอเค ยอมรับว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว การยอมรับทำให้เราสงบ ทำให้เราใช้ความสงบไปแก้ปัญหา หรือพอเราสงบแล้วไม่ต้องแก้ ช่างมัน ปล่อยมันไป มันสงบแล้วมันถึงจะมีปัญญา มีคำพูดดีๆ” 

และถ้าเรา OK Not to Be OK ได้แล้ว แต่ผู้ใหญ่หรือหัวหน้ายังรู้สึกไม่โอเคอยู่ อาจารย์ชัชวาลย์ให้ภูมิคุ้มกันเวลาถูกตำหนิอย่างไร้เหตุผลหรือเกินเลยไปกว่าความผิดที่เกิดขึ้น นั่นคือ ‘ด่าแต่ไม่โดน’ 

“ทำงานแล้วโดนหัวหน้าด่า ก็เปลี่ยนเป็นด่าแล้วไม่โดน เพราะไปห้ามปากเขาไม่ให้พูดไม่ได้หรอก เขาเป็นหัวหน้าเรา สั่งให้เขาหุบปากเขาก็ไม่หุบหรอก แต่ด่ามาแล้วไม่โดน วิธีทำยังไงถึงด่ามาแล้วไม่โดน หนึ่งให้ดูว่าเขาด่างานเรานะ ไม่ได้ด่าเรา จริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับเราหรอก มันเกี่ยวกับงานที่เราทำมันผิด ที่เหลือคือเขาพูดเกินไป แต่เรามีหมวกกันน็อก มีเสื้อเกราะ ไม่เป็นไรปล่อยให้เขายิง แต่เรารู้แล้วก็รีบรับไปว่า หนูรู้แล้วหนูผิดตรงนี้ ขอโทษที่ทำให้พี่ต้องโกรธต้องโมโห ตรงนี้ผิดจริงๆ เดี๋ยวไปแก้ใหม่ นี่คือภูมิคุ้นกันและหมวกกันน็อก”

Self Awareness ตระหนักรู้ในตนเองเพื่อปลดล็อกสู่ชีวิตที่เป็นปกติ

ในขณะที่ทุกย่างก้าวของชีวิตมีโอกาสผิดพลาดเสมอ แต่เสียงในหัวก็เตือนว่า “อย่าพลาดนะ” ส่วนเสียงภายนอก-คนรอบข้างก็กระตุ้นเร้าเรื่องความสำเร็จที่วัดด้วยเงินทองชื่อเสียงตลอดเวลา 

ทำอย่างไรถึงจะปลดปล่อยตัวเองจากแรงกดดันเหล่านั้น เพื่อไปพบความมั่นคงทางจิตใจที่ีมาจากความต้องการของตัวเองจริงๆ อาจารย์ชัชวาลย์ แนะนำคาถาสำคัญ นั่นคือ การตระหนักรู้ในตนเอง ‘Self-Awareness’ 

“ต้องกลับไปเห็นคุณค่าในตัวเอง โดยที่ไม่เอาตัวเองไปวัด แล้วคุณค่าที่สำคัญคือ ‘ความเป็นมนุษย์’ จบ ที่เหลือมันของแถม เราไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อพิสูจน์ตัวตน เราใช้ชีวิตเพื่อที่จะเติมคุณค่าให้กับตัวเอง

คือต้องทำมาหากิน ชีวิตต้องอยู่รอด แต่นี่เรามีสิ่งที่เป็นส่วนเกินคือ เกียรติยศชื่อเสียง คนชอบคนไม่ชอบ บางทีมากกว่าได้เงินหรือไม่ด้วยซ้ำนะ ขอให้ยังมีคนคอยมากดไลค์กดแชร์ ยอดขึ้นเรื่อยๆ ยอดขึ้นไม่ตก ยอดตกนิดเดียว ฆ่าตัวตายเลย โดนแซะหน่อย ฆ่าตัวตายเลย”

“แล้วอย่าเข้าใจผิดว่าค่าของคนอยู่ที่ผลงาน อยู่ที่ว่าต้องทำโน่นทำนี่ เราต้องพูดกันให้เห็นว่ามันไม่ใช่นะ ค่าของคนมันอยู่ที่เป็นคน มันไม่ต้องมานั่งชั่งตวงวัด หรือใช้ตรรกะ แล้วที่เหลือคือชีวิต เด็กต้องเรียนหนังสือ ผู้ใหญ่ต้องทำงานเพื่อความอยู่รอด ไม่ใช่เพื่อเพิ่มคุณค่าหรือการยอมรับ อันนี้หลักการนะ 

หลายคนปลดล็อกเพราะไม่เคยรู้ว่าตัวเองทำเพื่อการยอมรับ เหนื่อยมาตลอด แล้วไม่เคยเห็นตัวเอง แต่พอฟังแล้ว…อ๋อ ถึงจะมีสิทธิออก แต่ถ้าไม่เห็นก็ไม่ออก ไม่รู้ว่าตัวเองหลงอยู่ในเขาวงกตแล้วจะออกได้ไหมล่ะ ก็เดินวนไปวนมา แต่ในสังคมก็เป็นแบบนี้ อย่างน้อยถ้าเห็นก่อน เราก็ไม่เดินตามนั้น เราไม่ทำกับลูกน้องเรา ไม่ทำกับลูกหลานเรา ไม่ทำกับตัวเอง นั่นคือการเปลี่ยนแปลงแล้ว”

อาจารย์ย้ำว่า การเปลี่ยนค่านิยมในสังคม หรือเปลี่ยนความคิดความเชื่อของคนอื่นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นการใช้ชีวิตในสังคมให้เป็นปกติสุข นอกจากปรับมายด์เซ็ตของตัวเองแล้วต้องสร้างภูมิคุ้มกันด้วย 

“หมั่นกลับมาสัมผัสถึงคุณค่าตัวเอง รู้ว่าถ้าเราอยู่ตรงนี้ เราก็ต้องพัก เพราะถ้าเราโดนเชื้อโรคกระหน่ำมากๆ เราก็จะติดเชื้อ เราต้องมีภูมิคุ้นกัน แต่ต้องเริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อน อย่างน้อยแค่ให้คุณอยู่กับสังคมได้ดีขึ้น เรื่องรายวันจุกจิกเริ่มไม่เดือดร้อน ส่วนเรื่องใหญ่ๆ แรงๆ ยังเอาไม่อยู่ ไม่เป็นไร อย่าคิดแค่ได้กับไม่ได้ แค่คุณนิ่งขึ้น นอนหลับได้เร็วขึ้น เริ่มปล่อยวางได้บ้าง ถึงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็มีความหมาย อย่ามองข้ามมัน เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางยาวไกล ถ้าเราไม่เริ่มจากเรื่องเล็กๆ จะท้อ จะเอาความสำเร็จแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินมันไม่ได้”

แต่ถ้าใครกำลังท้อ เพราะระหว่างทางเต็มไปด้วยบททดสอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายๆ ที่ไม่คาดฝัน ความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ ความขัดแย้งในความสัมพันธ์ การกระทบกระทั่งกับคนแปลกหน้า ฯลฯ อาจารย์ชัชวาลย์บอกว่า คีย์เวิร์ดสำคัญคือ ‘การยอมรับ’ 

“ยอมรับก่อนว่าเรื่องนี้ ความปั่นป่วนกำลังเกิดขึ้น อย่าเพิ่งทำอะไร เพราะถ้าเราทำอะไรตอนกำลังปั่นป่วน ก็จะได้ผลลัพธ์แบบป่วนๆ ดังนั้นเราต้องทำจิตใจให้มั่นคง พร้อมเผชิญความผิดหวังหรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้น 

ในความเป็นจริงเราเอาแน่เอานอนกับอะไรไม่ค่อยได้ แต่กลายเป็นว่าเราจะเอาแต่สมหวัง เวลาไม่สมหวังก็ไม่ได้มองเป็นเรื่องปกติ แถมต้องการคำอธิบาย ซึ่งคำอธิบายส่วนใหญ่ก็สร้างปัญหาทั้งนั้นแหละครับ ไม่ชี้คนอื่น ก็ชี้ตัวเอง

ถ้าเรายอมรับได้ เราไม่ต้องอธิบายเยอะ อธิบายตอนที่พร้อมจะเข้าใจ แต่ถ้าอธิบายตอนไม่พร้อมจะเข้าใจ  เห็นไหมเวลาทะเลาะกันแล้วต้องคุยกันให้รู้เรื่อง มันรู้เรื่องไหม มันไม่เคยได้เรื่องเลย แต่ถ้าโอเค เดี๋ยวพรุ่งนี้ว่ากัน พรุ่งนี้ลืมแล้วก็ไม่มีประเด็น แต่ถ้าคุยตอนนี้ไม่ต้องนอนกันพอดี แต่เราไม่เข็ดไง เพราะเราขาดทักษะในการสังเกต ดังนั้นถ้ายังทำหรือพูดอะไรไม่ได้ก็ให้อยู่เฉยๆ ก่อน”

อาจาย์ชัชวาลย์ย้ำว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะล้มซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สำคัญคือ การตระหนักว่าเราทุกคนยังมีโอกาสที่จะลุกขึ้นอย่างมีคุณค่าเสมอ

“สิ่งที่ผมพยายามสื่อคือชีวิตมันเฟลก็ได้ อกหักเสียใจ คิดว่าจะได้แล้วไม่ได้ก็บ่อยไป แล้วทุกคนเจอหมดแล้วทั้งนั้น เราอาจบอกว่า ‘อย่าพลาดนะ’ มันห้ามได้จริงหรือเปล่า คิดว่าพูดแบบนี้แล้วจะไม่พลาดเหรอ แล้วพอพลาดเป็นไงครับ ถ้าคนทำพลาดเป็นลูก เขาจะรู้สึกยังไง เป็นลูกน้องเขาจะรู้สึกยังไง ทุกคนใช้ชีวิตด้วยความกลัว จริงๆ แล้วเราประสบความสำเร็จมาด้วยความกลัวทั้งนั้นเลยนะ เรื่องคุณค่าน้อยมากเลยนะ 

การเติบโตก้าวหน้าด้วยคุณค่ากลายเป็นสิ่งที่มีพลังอ่อนกว่าเติบโตด้วยความกลัว กลัวไม่สำเร็จ กลัวอายเพื่อน กลัวจากค่านิยมที่สังคมเอามาใส่ๆ เรา 

‘จิตตปัญญา’ เรียนให้รู้ว่าเราถูกกระแสอะไรครอบ ไม่ได้หมายความว่าเราต่อต้านสังคมนะ แต่บางทีเราเหนื่อยกับการที่เราไม่รู้เลยว่า…เราต้องการอะไร แต่เราไปตามกระแสสังคม พลังงานก็ฝืด ซึ่งถ้าไปตามกระแสสังคมแล้วมันตรงกับใจเรา พลังมา ทำงานก็ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ผิดพลาดก็พร้อม ล้มก็พร้อมจะลุก อันนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นไปตามกระแสแล้วไม่ใช่ตัวเอง จะออกก็ออกไม่ทันแล้ว 

ทุกอย่างมันไม่แน่นอน มันแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ เราต้องรู้ว่าชีวิตเราจริงๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ข้างนอกเลยนะ มันขึ้นอยู่กับการตีความเหตุการณ์ ถ้ามันกำลังสร้างทุกข์ให้เรา เปลี่ยนซะใหม่ ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแต่ข้างนอก แล้วมัวแต่ไปคาดหวัง ไม่ดูแลตัวเองนะ เราต้องดูแลตัวเอง ต้องรับผิดชอบสุข-ทุกข์ของเราเองด้วย”

นอกจากนี้ อาจารย์ชัชวาลย์ยังได้แนะนำวิธีที่จะช่วยตรวจสอบว่าเราเริ่มตระหนักรู้ถึงคุณค่าในตัวเองมากขึ้นหรือยัง ผ่านการพิจารณาว่า ตัวเรากำลังใช้ชีวิตเพื่อ Prove (พิสูจน์) อะไรบางอย่าง หรือกำลัง Improve (พัฒนา) ศักยภาพให้กับตัวเอง 

“ผมเคยพูดกับนักเรียนว่า I failed the exam but I’m not a failure. คือเราสอบตกไม่ได้แปลว่าเราล้มเหลว มีนักเรียนคนหนึ่งฟังแล้วน้ำตาไหลเลย เขาเพิ่งเห็นตัวเองว่าที่ผ่านมาเขาเฆี่ยนตีตัวเองมาตลอด แต่วันนั้นเขารู้สึกปลดล็อก ซึ่งปลดล็อกในที่นี้เขาก็ยังเรียนดีนะ อย่าเข้าใจผิด เขาปลดล็อกและขยัน แต่ที่ขยันไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ตัวเองแล้ว เขาอยากได้คุณค่าวิชาการ โดยใช้ทักษะความสามารถความอดทนเพื่อพัฒนาตัวของเขาเอง

คนที่พิสูจน์ตัวเอง รับประกันได้เลยว่าพิสูจน์เท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอ เพราะในใจไม่เคยเชื่อตัวเองอยู่แล้ว ทำไมมันถึงซึมเศร้า ทำไมมันถึง Burnout ก็เพราะมุ่งแต่จะพิสูจน์ตัวเองไม่เลิก รู้สึกตัวเองไม่โอเค ก็จะหนีความรู้สึกนั้นเพื่อไปหาความโอเค ซึ่งถ้าโชคดีหนีสำเร็จ อาจเก่งวันเก่งคืน แต่สุดท้ายพอถึงวันที่ขึ้นสูงก็เริ่มรู้สึกเคว้ง เพราะมันไม่รู้จะไปไหนต่อ สุดท้ายเป็นซึมเศร้าเยอะแยะ”

ดังนั้น คนที่ Fixed Mindset จะเหนื่อยกับการใช้ชีวิตเพื่อ Prove เพื่อพิสูจน์ตลอดเวลา ส่วนคนที่มี Growth Mindset จะใช้ชีวิตเพื่อ Improve เพื่อพัฒนาตัวเอง

Tags:

self-awarenessความทุกข์การมองเห็นคุณค่าในตัวเองรศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจความเป็นมนุษย์ผิดเป็นครู

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Book
    เฟอร์มิน หนู / รัก / หนังสือ:  เรื่องเศร้าเมื่อเราอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเห็นคุณค่า

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Vicharjai
    Everyone can be an Educator
    ‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    เปิด ‘ไพ่มูดูชีวิต’ เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งและค้นหาวิธีดูแลใจ กับ ‘อั๊ท – ณอัญญา สาวิกาชยะกูร’ เพจวารีแห่งใจ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • How to enjoy life
    People Pleaser: หยุดใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น แล้วหันมาใส่ใจตัวเองจริงๆ

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel