- การเรียนการสอนวอลดอร์ฟ เชื่อว่า ‘สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี’ การสร้างบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ
- เป้าหมายของการศึกษาวอลดอร์ฟคือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระตามกำลังความสามารถของตัวเอง
- เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เพราะเน้นเรียนรู้ผ่านกิจกรรม การลงมือทำ มากกว่ากระดานดำและห้องเรียน
กำมือขึ้นแล้วหมุนๆ ชูมือขึ้นโบกไปมา กางแขนขึ้นและลง พับแขนมือแตะไหล่…กางแขนขึ้นและลง ชูขึ้นตรงหมุนไปรอบตัว เย่!
หลายคนคงเคยผ่านการร้องและเต้นเพลงนี้หน้าเสาธงในสมัยอนุบาลมาก่อนแน่นอน พอเต้นเสร็จทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องเรียน แล้วเริ่มเรียนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และอื่นๆ อย่างหน้าดำคร่ำเครียด ทำได้เพียงเฝ้ารอให้ถึงวันใหม่ จะได้กลับมาเต้นหน้าเสาธงอีกครั้ง
บทความชิ้นนี้จะพาไปทำความรู้จัก ‘การศึกษาวอลดอร์ฟ (Waldorf Education)’ รูปแบบการเรียนการสอนที่เดินทางมาถึงเมืองไทยพักใหญ่ในฐานะหลักสูตรของโรงเรียนทางเลือก ที่เน้นเรียนรู้ผ่านกิจกรรม การลงมือทำ มากกว่ากระดานดำและห้องเรียน
วอลดอร์ฟ เป็นการศึกษาที่รวบรวมศิลปะในสาขาวิชาทั้งหมดของเด็กอนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจให้กับการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนักเรียนทุกคน ให้พวกเขาสามารถพัฒนาขีดความสามารถที่มีเอกลักษณ์ของตนเองได้เต็มที่
แนวคิด วอลดอร์ฟ เกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 โดยรูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เชื่อว่า “สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี” การจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล แสงสว่างจากธรรมชาติ ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง ใบไม้ไหว น้ำไหลริน จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน และสดชื่นในจิตใจเด็ก เด็กจะมีพลัง ตื่นตัว และมีสมาธิในการเรียนรู้ หลักการแนวคิด วอลดอร์ฟ ให้ความสำคัญกับการพัฒนามนุษย์ที่สอดคล้องกับความต้องการของเด็กที่กำลังเติบโต
เป้าหมายของการศึกษาวอลดอร์ฟคือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตได้อย่างอิสระตามกำลังความสามารถของตัวเอง การศึกษาแนววอลดอร์ฟจึงเน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ 1.กิจกรรมทางกาย 2.อารมณ์ความรู้สึก และ 3.การคิด เน้นให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ
การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อม เด็กสามารถพัฒนาร่างกายและจิตใจไปถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้ โดยการเรียนรู้ของเด็กจะเป็นไปอย่างสมดุล ทั้งการเรียนรู้ทางกาย (การลงมือทำ) หัวใจ (ความรู้สึก ความประทับใจ) และสมอง (ความคิด)
วิชาดนตรี เต้นรำ เล่นละคร เขียนวรรณกรรม ไม่ได้เป็นแค่เรื่องที่ต้องอ่านและทดสอบเท่านั้น นักเรียนต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง เด็กไม่จำเป็นต้องมีการทดสอบแข่งขันทางวิชาการ หรือสร้างรางวัลเพื่อจูงใจให้เด็ก วิธีเหล่านี้จะสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ครูอยู่ตรงไหนในวอลดอร์ฟ
ส่วนครูต้องใส่ใจในรายละเอียด เพราะแต่ละกิจกรรมเด็กอาจมีวิธีการของเขาเอง ครูไม่สามารถปิดกั้นว่าเขาต้องทำตามคำบอกของครูหรือเพื่อน หากทำได้แบบนี้จะส่งผลให้เด็กได้รู้จักคิดพลิกแพลง ยืดหยุ่นเข้ากับสถานการณ์ทั้งในเชิงความคิด และวิธีการมองปัญหา
จากการสำรวจในสหรัฐอเมริกา อาจารย์มหาวิทยาลัยหลายแห่ง และหลายสาขาวิชา พบว่านักเรียนที่มาจากการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟมีความสามารถด้านการบูรณาการความรู้ ส่งผลทำให้จดจำและแยกแยะข้อเท็จจริงได้มากกว่า นอกจากนี้ยังมีความคิดสร้างสรรค์และพร้อมเผชิญหน้ากับความเสี่ยงมากกว่า นักเรียนกลุ่มนี้จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในระดับอุดมศึกษา
การปรับหลักสูตรหรือรายวิชาอาจยากเกินไป โรงเรียนทั่วไปสามารถสร้างบรรยากาศแบบวอลดอร์ฟได้ง่ายๆ เพื่อดึงดูดให้นักเรียนสนุกและเชื่อมโยงกับความรู้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกวิชา ทุกระดับชั้น
- ทักทาย ทักทายและสบตานักเรียนแต่ละคน นักเรียนจะต่อแถวอยู่หน้าประตู และกระตือรือร้นที่จะได้พบกับครูแบบหนึ่งต่อหนึ่ง วิธีนี้ช่วยให้ครูสามารถตรวจสอบนักเรียนแต่ละคนได้ในช่วงเริ่มต้นของวัน
- สร้างสัมพันธ์ ให้นักเรียนได้สร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนที่มีอายุมากกว่า การที่นักเรียนต่างรุ่นมาเจอกันหนึ่งครั้งต่อเดือน จะช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์ และมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับรุ่นพี่และรุ่นน้อง
- วาดภาพ ให้เด็กวาดภาพลงในสมุดของตัวเอง การให้นักเรียนวาดรูปในวิชาคณิตศาสตร์ และวิชาการอ่าน เป็นวิธีที่ดีในการผสมผสานศิลปะเข้ากับหลักสูตร นักเรียนจะภูมิใจในหนังสือของตัวเอง และเรียนรู้ในรูปแบบใหม่
- เพาะปลูก พานักเรียนออกไปเดินป่าและทำสวน การพานักเรียนออกไปเดินที่สวนสาธารณะใกล้ๆ หรือแหล่งธรรมชาติใกล้ๆ จะกลายเป็นบทเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ครูสามารถตอบคำถามนักเรียนเกี่ยวกับธรรมชาติของโลกได้ สวนของโรงเรียนจะช่วยเชื่อมต่อนักเรียนกับธรรมชาติและเรียนรู้ว่าพืชเจริญเติบโตอย่างไร
- เล่น ฝึกเล่นเครื่องดนตรีในระหว่างการเปลี่ยนชั้นเรียน ให้นักเรียนแต่ละคนเป็นผู้บันทึกเสียง หรือให้ทั้งชั้นเรียนทำตามครูโดยการเล่นโน้ตสองสามครั้งในช่วงพักเรียน นักเรียนจะเพลิดเพลินไปกับการผสมบทเรียนดนตรีสั้นๆ เข้ากับการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน
- เคลื่อนย้าย อนุญาตให้เด็กๆ ขยับตัวได้ในระหว่างเรียน การเรียนในห้องจะสนุกมากขึ้นถ้าเด็กๆ ได้ลุกออกจากเก้าอี้ เพื่อทำกิจกรรมทางกาย เช่น การกระโดดเหยียบภาพแสดงจำนวน เพื่อเริ่มต้นการเรียนรู้การคูณ