Skip to content
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)
Character building
8 September 2025

‘Time Blindness -บอดเวลา’ อาจไม่ใช่แค่นิสัยชักช้า แต่ส่งสัญญาณความผิดปกติทางร่างกาย

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การไม่ตรงเวลานัด จนบางทีต้องบอกนัดกันแบบ ‘เผื่อเวลา’ ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญใจสำหรับ ‘คนตรงต่อเวลา’ จนอาจทำให้เกิดความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ หรือนำไปสู่ความขัดแย้งบางอย่าง  
  • สัญญาณที่อาจแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคน ‘บอดเวลา (time blindness)’ นอกจากการมาสาย ได้แก่ มีความสามารถในการประเมินเวลาที่ใช้ทำงานต่ำ จนทำให้ต้องเร่งรีบในตอนท้ายเสมอเพื่อให้ทันเวลา
  • คนที่สมาธิสั้น คนที่เป็นออทิสติกหรือมีปัญหาทางร่างกายที่เกิดจากความบกพร่องในการควบคุมการสร้างสารสื่อประสาทโดพามีน (Dopamine) ก็อาจแสดงออกแบบบอดเวลาได้ด้วยเช่นกัน 

มีเรื่องเล่ากันว่า เพื่อที่จะอธิบายเกี่ยวกับ ‘การยืดออกของเวลา’ ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวในเชิงเทียบเคียงว่า “ลองเอามือคุณไปวางบนเตาสักนาทีก็อาจรู้สึกเหมือนกับนานเป็นชั่วโมง แต่ถ้าได้นั่งคุยกับสาวสวยสักชั่วโมง คุณก็อาจรู้สึกว่าเพิ่งผ่านไปแค่นาทีเดียว และนี่ก็คือสัมพัทธภาพของเวลา” 

แม้ว่าเรื่องนี้อาจไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีนักที่จะใช้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ (เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวอะไรกับทฤษฎีสัมพัทธภาพเลย) และอันที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็อาจไม่ได้เกิดขึ้นจริงด้วยซ้ำไป เป็นแค่เรื่องขำขันที่นักข่าวเขียนลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ปี 1929 แค่นั้น [1]  

แต่เรื่องนี้ก็ฮิตเหลือเกินจวบจนถึงยุคปัจจุบันและมีประโยชน์ในแง่ว่าทำให้เราฉุกคิดได้ถึง ‘การรับรู้เวลา’ ของเราว่า อาจผิดเพี้ยนได้ง่ายเพียงใด 

เรื่องหนึ่งที่ถือว่าไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่คนไทยจำนวนมากก็ทำหรือคุ้นเคยกันดีคือ การไม่ตรงเวลานัด จนบางทีต้องบอกนัดกันแบบ ‘เผื่อเวลา’ ซึ่งก็จะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญใจสำหรับ ‘คนตรงต่อเวลา’ เป็นอย่างมาก อาจทำให้เกิดความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ หรือนำไปสู่ความขัดแย้งบางอย่างได้อีกด้วย  

เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาการแบบนี้ที่วิทยาศาสตร์ช่วยบอกกับเราก็คือ บางคนที่มาสาย มาไม่ทันตลอดเวลา อาจไม่ใช่แค่ชาชินหรือติดนิสัยทำอะไรชักช้า หรือไม่เห็นคุณค่าของการตรงต่อเวลา (แม้บางรายจะใช่ก็ตาม) เพราะบางคนในจำนวนนั้นอาจป่วยเป็นโรคบางอย่าง เราจะกลับมาพูดถึงเรื่องโรคเหล่านี้อีกที  

นอกจากอาการมาสายเป็นประจำแล้ว ‘สัญญาณ’ อื่นๆ ที่อาจแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคน ‘บอดเวลา (time blindness)’ ได้แก่ มีความสามารถในการประเมินเวลาที่ใช้ทำงานอะไรสักอย่างต่ำ จนการประเมินนั้นผิดพลาดไปทำให้ต้องเร่งรีบในตอนท้ายเสมอเพื่อให้ทันเวลา บางคนก็อาจรู้สึกยากลำบากมากในการวางแผนและทำให้ได้ตามไทม์ไลน์ในแผนนั้นๆ นอกจากนี้ เมื่อลงมือทำอะไรสักอย่างไปแล้วก็มักจะหมกมุ่นจนลืมวันเวลาไปเลย และสุดท้ายคือ เป็นคนที่มีนิสัยผัดวันประกันพรุ่งอยู่เสมอ เพราะไม่อาจ ‘รับรู้’ ได้ถึงเดดไลน์ที่กำลังใกล้เข้ามา [2]    

สำหรับนักเรียนนักศึกษาที่เข้าสู่ฤดูสอบ ต้องสอบหลายวิชาติดต่อกันก็อาจเกิดอาการแปลกๆ เช่น ไม่อ่านวิชาที่จะสอบพรุ่งนี้ (เพราะเป็นวิชาที่ไม่ชอบหรือเรียนไม่เข้าใจ) แต่ดันไปหยิบเอาตำราวิชาที่จะสอบมะรืนนี้ขึ้นมาอ่านแทน ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาสอบ หรือหนักกว่านั้นคือหนีไปเล่นเกม จนเหลือเวลาอ่านน้อยนิดในช่วงท้ายสุดให้ใช้อ่านทบทวน นี่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของพฤติกรรมที่พบได้เช่นกัน  

แต่เดี๋ยวก่อน ต่อให้มีพฤติกรรมเป็นตามที่ว่ามาทุกข้อ ก็ยังอาจจะเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าคุณป่วยเป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีก และหากเป็นแค่เพียงพฤติกรรมหรือนิสัยจากความเคยชิน ก็อาจจะมีทางแก้ไขพฤติกรรมการไม่ตรงเวลาแบบนี้ได้เช่นเดียวกัน  

คราวนี้เราจะมาเจาะถึงสาเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากไม่ตรงเวลากันครับ 

ปกติสมองของเราจะสลับการทำงานในสองแบบอยู่ตลอดเวลา แบบหนึ่งคือ การจดจ่อแบบอัตโนมัติ (automatic attention) ส่วนอีกแบบเป็นการจดจ่อแบบที่ต้องตั้งใจบังคับสั่งการ (directed attention) [3] และอาการ ‘บอดเวลา’ นั้นอาจเกิดกับคนปกติได้เป็นครั้งคราว เวลาที่เราจดจ่อกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ

ปกติแล้วเครือข่ายประสาทในสมองของเราจะพยายามอยู่ในโหมดอัตโนมัติ ซึ่งจะเกิดขึ้นเวลาเรามีความสุขกับการทำอะไรสักอย่าง อาจเป็นงานอดิเรกหรือการพักผ่อนหลังจากทำงานหนักมา เรียกว่าสมองเรียกหาสภาวะแบบนี้ก็คงไม่ผิด ขณะที่งานบางอย่างที่เรา ‘จำเป็นต้องทำ’ แต่ในใจเรากลับ ‘ไม่รู้สึกอยากทำ’ เลย ตัวอย่างชัดๆ ก็คืองานบ้านหรือการบ้าน อาจรวมไปถึงการเข้าฟังในคลาสอาจารย์ที่สอนน่าเบื่อ การกรอกแบบฟอร์มบางอย่าง การทำรายละเอียดภาษี ฯลฯ

ในกรณีหลังนี้ต้องใช้ความพยายามมากเป็นอย่างยิ่งที่จะมีสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านหลุดไปคิดเรื่องสนุกๆ อื่นๆ ที่อยากทำ เพื่อทำให้สมองกลับไปอยู่โหมดอัตโนมัติให้เร็วที่สุด 

สำหรับคนที่เป็นโรคสมาธิสั้นหรือ ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) นั้น จะมีสภาวะทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อการทำงานของสมอง จนทำให้มีปัญหาเรื่องสมาธิ ดูภายนอกจะเห็นว่าเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ หากเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ก็จะรู้สึกว่าซนกว่าเด็กปกติทั่วไป 

นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการขาดการยับยั้งชั่งใจหรือทำอะไรแบบหุนหันพลันแล่นได้ ที่น่าสนใจคือคนเป็น ADHD แบบนี้มีแนวโน้มว่าระบบสมองแบบอัตโนมัติจะทำงานได้ดีผิดปกติเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากคนเหล่านี้ไปเจอสิ่งที่ตัวเองชอบ จะพุ่งความสนใจจดจ่อได้ดีเป็นพิเศษ (Hyperfocus) จนลืมสภาะรอบตัวไปหมด 

ในทางกลับกัน ผู้ป่วย ADHA จะประสบปัญหามากในการควบคุมสมองให้จดจ่อแบบที่ต้องตั้งใจบังคับสั่งการ จึงมักโดนแปะป้ายว่าเป็นพวกบอดเวลา 

ไม่แค่เพียงผู้ป่วยสมาธิสั้นเท่านั้น คนที่เป็นออทิสติกหรือมีปัญหาทางร่างกายที่เกิดจากความบกพร่องในการควบคุมการสร้างสารสื่อประสาทโดพามีน (Dopamine) ก็อาจแสดงออกแบบบอดเวลาได้ด้วยเช่นกัน 

ดังนั้น อาการบอดเวลาจึงอาจเป็นได้ทั้งจากนิสัยที่สั่งสมมาจนกลายเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา หรืออาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกายหรือป่วยเป็นโรคบางอย่างก็ได้เช่นกัน

มีวิธีการแก้ไขหรือมีตัวช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่สำหรับคนเหล่านี้?

วิธีการมาตรฐานที่มักแนะนำกันมีหลายวิธี [2-4] วิธีการแรกสุดคือใช้อุปกรณ์จับเวลาในการช่วยปรับพฤติกรรม อาจเป็นตัวจับเวลาเฉพาะหรือใช้เป็นแอปบนมือถือก็ได้ทั้งนั้น แบ่งเวลาตามความจำเป็นให้เหมาะสม และตั้งเวลาที่สอดคล้องกันให้เหมาะสม เพื่อเตือนว่าครบเวลาแล้วต้องขยับไปทำอย่างอื่นแล้ว  

อีกวิธีก็คืออาศัยการตั้ง ‘เวลากันชน’ เผื่อไว้สำหรับให้เปลี่ยนผ่านจากกิจกรรมหนึ่งไปยังอีกกิจกรรมหนึ่งก็อาจพอช่วยได้เช่นกัน สำหรับบางคนการใช้นาฬิกาแบบเข็มจะช่วยได้มากกว่านาฬิกาแบบตัวเลข เพราะทำให้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนกว่า

การจดบันทึกหรือไดอารีเพื่อให้เห็นว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง หรือมีอะไรที่ยังต้องทำบ้างภายในเวลาที่มีอยู่ก็ช่วยได้เช่นกัน หากจำเป็นก็แบ่งย่อยกิจกรรมนั้นๆ ลงไปให้ละเอียดมากขึ้นก็ช่วยได้มากขึ้นไปอีก 

การฝึกสติก็ช่วยให้มีสมาธิจดจ่อและทำตามแผนการที่วางไว้ให้ดีขึ้นได้ 

ฝึกหัดประเมินเวลาที่ใช้สำหรับรูปแบบกิจกรรมที่แตกต่างกัน อาจทำให้รับรู้ได้ว่ากิจกรรมบางอย่างจำเป็นต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษ ก็จะทำให้สามารถวางแผนแบบยืดหยุ่นและทำได้จริงมากขึ้น

บางคนก็ใช้เทคนิค ‘เงื่อนไข’ ในการตั้งเป้าหมายและทำให้สำเร็จ เช่น หากอ่านหนังสือจบหนึ่งบท ก็อนุญาตให้ตัวเองพักกินอะไรอร่อยๆ หรือพักดูซีรีส์ได้ 1 ตอน (เท่านั้น!)   

บางครั้งสมองที่ยุ่งวุ่นวายกับการแก้ปัญหาก็อาจทำงานดีขึ้นได้ หากเราได้หยุดพักให้สดชื่น อาจหย่อนใจไปเดินในสวนหรือบริเวณใกล้บ้านสัก 5-10 นาที ก่อนเริ่มทำงานชิ้นต่อไป 

คำแนะนำทั้งหลายข้างต้นสำหรับคนที่ ‘บอดเวลา’ นั้น จะใช้การได้ดีในกรณีของคนทั่วไป หากมีอาการป่วยหรือผิดปกติบางอย่าง การแก้ไขปัญหาอาจทำได้ลำบากมากขึ้นและต้องพึ่งพาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาต่อไป  

เอกสารอ้างอิง

[1] https://www.history.com/articles/here-are-6-things-albert-einstein-never-said เข้าถึงข้อมูลวันที่ 1 ก.ย. 2025

[2] https://www.psychologytoday.com/us/basics/time-blindness เข้าถึงข้อมูลวันที่ 1 ก.ย. 2025

[3] https://health.clevelandclinic.org/time-blindness เข้าถึงข้อมูลวันที่ 1 ก.ย. 2025

[4] Karen Evennett, 2024, Are You Time Blind? Psychology Now, vol. 9, 26-27

 

Tags:

Time Blindnessการไม่ตรงเวลานิสัยผัดวันประกันพรุ่งการจดจ่อสมาธิสั้น

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    Gamification EP1: ‘เกม’ กับ ‘การศึกษา’ เปลี่ยนความน่าเบื่อให้เป็นเรื่องสนุกท้าทาย โดยไม่ทำลายความรักเรียน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trendLearning Theory
    Overjustification Effect: เมื่อการศึกษาสนใจที่รางวัลภายนอกมากเกินไป จนทำลายความรักในการเรียนรู้ของเด็ก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้’ สัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD: Learning Disability) คุยกับ หมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Adolescent Brain
    สมองแบบติ๊กต่อก: จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเด็กเข้าไปอยู่ในร้านลูกกวาดที่กินเท่าไรก็ได้?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel