Skip to content
ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์
Character building
23 March 2021

ชมเด็กอย่างไรให้ถูกทาง : Temporal Comparison ชมโดยเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวันก่อน และสอนว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การประกวด การแข่งขัน และรางวัล กลายเป็นส่วนหนึ่งในระบบการศึกษาของแทบจะทั่วโลก ผู้เปรียบเทียบย่อมต้องการให้เด็กๆ ที่มีผลงานดี เกิดความภาคภูมิใจ จนโน้มนำให้เกิดความพยายามทำผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ หรือกล้ายอมรับความท้าทาย ทำสิ่งที่ยากกว่าเดิม แต่การให้รางวัลทำนองนี้ ทำให้เกิด “ผู้ชนะ” จำนวนน้อยนิด แต่ “ผู้แพ้” จำนวนมาก
  • นักวิจัยเชื่อกันว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือ ชมแบบเปรียบเทียบตัวเด็กคนนั้นในตอนนี้กับก่อนหน้านี้ เรียกว่า Temporal Comparison โดยไม่ต้องไปใส่ใจกับผลที่คนอื่นทำได้ การเปรียบเทียบแบบนี้จึงเป็น “การแข่งขันกับตัวเอง” อย่างแท้จริง

เรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาสำหรับคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากคือ จะชมลูกอย่างไร แค่ไหนจึงจะพอดี คือทำให้เกิดความภาคภูมิใจ แต่ไม่เหลิงจนเสียคน หรือก่อปัญหาคาดไม่ถึงในภายหลัง? 

ไม่ง่ายเลยจริงๆ นะครับ

ผู้ปกครองมักจะถามพวกเด็กๆ ว่า “ได้เกรดเท่าไหร่?” ซึ่งก็มักจะตามด้วยคำถามต่อมาว่า “ใครได้คะแนนสูงสุดในห้อง?” การเปรียบเทียบทำนองนี้เกิดขึ้นทั่วโลกจนเป็นเรื่องสามัญมากๆ นะครับ การเปรียบเทียบลักษณะนี้ในทางวิชาการเรียกว่าเป็น การเปรียบเทียบเชิงสังคม (social comparison) ซึ่งมีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ว่า ส่งผลกระทบต่อความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของเด็กๆ ที่ได้รับการเปรียบเทียบแบบนี้เป็นอย่างมาก 

มีครูอาจารย์และโรงเรียนจำนวนมากที่ใช้วิธีประกาศ “นักเรียนดีเด่น” ทั้งแบบเรียนดีหรือกีฬาเด่น ทั้งแบบหน้าห้องเรียนหรือในหอประชุมท่ามกลางนักเรียนทั้งโรงเรียน พวกพ่อแม่ก็มักจะยกย่องลูกๆ ด้วยความปราบปลื้มใจเวลาผลการเรียนเหนือกว่าเพื่อนๆ ในชั้น 

การประกวด การแข่งขัน และรางวัล กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของการศึกษาในระบบการศึกษาของแทบจะทั่วทั้งโลกไปแล้ว บางครั้งรางวัลก็ใหญ่มาก อย่างเช่น การแข่งขันสะกดคำที่ชื่อ Scripps National Spelling Bee มีเงินรางวัลสูงถึง 50,000 เหรียญ (ราว 1.5 ล้านบาท) พร้อมถ้วยรางวัล

แน่นอนว่าการเปรียบเทียบแบบนี้ ผู้เปรียบเทียบย่อมมีจุดมุ่งหมายหรือความตั้งใจดี คือ ต้องการให้เด็กๆ ที่มีผลงานดี เกิดความภาคภูมิใจ จนโน้มนำให้เกิดความพยายามที่จะทำผลงานดีขึ้นไปเรื่อยๆ หรือกล้าจะยอมรับความท้าทาย ทำสิ่งที่ยากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆ 

แต่การให้รางวัลทำนองนี้ ทำให้เกิด “ผู้ชนะ” จำนวนน้อยนิด แต่ “ผู้แพ้” จำนวนมาก 

ข้อเสียสำคัญนอกเหนือจากเรื่องคนได้มีน้อย คนเสียมีเยอะแล้ว ยังวิจัยพบกันอีกด้วยว่า วิธีการแบบนี้ส่งผลเสียกับตัวเด็กที่ได้รับคำชมเชยได้ด้วยเช่นกัน คือไปกระตุ้นให้เกิดความคิดเชิงเปรียบเทียบกับคนอื่นรอบตัวตลอดเวลา จนเสพติดการแข่งขัน ราวกับติดอยู่ในกับดักที่เป็น “วงจรอุบาทว์” แบบหนึ่ง 

ผลกระทบอาจจะรุนแรงมากขึ้นไปอีกในกรณีที่เด็กเก่งมากๆ และแทบไม่เคยแพ้ใครเลย จนวันหนึ่งเกิดแพ้การแข่งขัน ก็อาจเป็นเรื่องยากในการยอมรับผลลัพธ์เช่นนั้น อาจถึงกับถอดใจหรือเลวร้ายกว่านั้นคือ ถึงกับฆ่าตัวตาย…ก็เคยมีมาแล้ว  

ทุกคนชนะ และทุกคนต้องได้รางวัล?

วิธีการแบบหนึ่งที่ใช้แก้ไขผลเสียแบบนี้ และรู้จักกันอย่างกว้างขวางได้มาจากหนังสือเด็กเล่มโด่งดังที่ลูอิส แครอลล์ แต่งคือ การผจญภัยของอลิซในแดนมหัศจรรย์ (Alice’s Adventure in Wonderland) ที่ตัวโดโด้ นกยักษ์ กล่าวว่า “ทุกคนชนะ และทุกคนต้องได้รางวัล” 

อย่างไรก็ตาม แม้วิธีการนี้เองก็อาจไม่สามารถแก้ปัญหาแบบนี้ได้ทั้งหมด ต่อให้เด็กๆ ได้รับถ้วยรางวัลกันทุกวัน แต่ละคนก็ยังมีความรู้สึกที่ “ไว” พอจะรู้สึกเปรียบเทียบกันเองอยู่ดีว่า ใครทำได้ดีกว่าใครในกลุ่มเดียวกัน 

เด็กที่ทำได้ดีมากๆ จะรู้สึกว่า ไม่ยุติธรรมกับตัวเองที่ได้รับรางวัลเดียวกันกับเด็กที่ทำได้ไม่ดีเท่าหรือทำได้แย่กว่ามาก ในสถานที่ทำงาน คนที่ทุ่มเทมากๆ แต่ผลการประเมินได้แทบไม่ต่างจากคนอื่นในทีม จะห่อเหี่ยวจนอาจจะอยากเปลี่ยนที่ทำงานได้  

กลับมาที่เด็กๆ อีกที เด็กกลุ่มแรกมักจะมองเด็กกลุ่มหลังอย่างดูถูก และยังรู้สึกว่าตัวเองควรได้รับการยกย่องและชื่นชมมากกว่านั้น หนักยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ได้รับคำชมบ่อยๆ มีแนวโน้มจะเกิดอาการหลงตัวเองได้มาก จนบางคนเสพติดความคิดแบบนี้เลยทีเดียว 

คำถามสำคัญจึงเป็นว่า จะชมอย่างไรให้เด็กรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง กระตุ้นให้ก้าวหน้าไปอย่างดี แต่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียข้างเคียงต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น? 

Temporal Comparison ชมเพื่อให้แข่งขันกับตัวเอง

ปัจจุบันนักวิจัยเชื่อกันว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือ ชมแบบเปรียบเทียบตัวเด็กคนนั้นในตอนนี้กับก่อนหน้านี้ครับ (เรียกว่า temporal comparison) โดยไม่ต้องไปใส่ใจกับผลที่คนอื่นทำได้ การเปรียบเทียบแบบนี้จึงเป็น “การแข่งขันกับตัวเอง” อย่างแท้จริง

คณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม [1] ทดสอบวิธีการแบบนี้และพบว่า มีประสิทธิภาพดี  วิธีการที่พวกเขาทำก็คือ หาอาสาสมัครที่เป็นเด็กมาได้ 583 คน อายุเฉลี่ย 11.7 ปี โดยเป็นเด็กระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนต่างๆ  

เขานำเด็กๆ มาทดลองทำแบบฝึกหัดการอ่านและการเขียน โดยออกแบบมาเป็นพิเศษตามวัตถุประสงค์คือ จะใช้เปรียบเทียบเชิงสังคม ใช้เปรียบเทียบกับตัวเองแบบก่อนและหลัง และไม่เปรียบเทียบใดๆ เลย โดยกลุ่มหลังสุดนี้ใช้เป็นกลุ่มควบคุม เอาไว้ช่วยแปลผล 

สิ่งที่พบจากการทดลองคือ พวกที่เปรียบเทียบกับคนอื่นหรือกับตัวเอง จะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ แต่เฉพาะพวกหลังเท่านั้นที่ไม่ไปไกลถึงขนาดทำให้รู้สึก “เหนือกว่าคนอื่น” ตามมา หากเปรียบเทียบกันแล้ว พวกที่เปรียบเทียบกับตัวเองจะเกิดความรู้สึกรับรู้เรื่องความก้าวหน้าของตนเองมากกว่า อันนี้ก็ตรงไปตรงมานะครับ 

แต่ที่น่าสนใจคือ ยังมีความคิดในลักษณะที่มองไปข้างหน้าหรือคิดถึงอนาคตมากกว่า 

ขอยกตัวอย่างที่พบในการทดลอง เช่น ในกรณีของการเปรียบเทียบเชิงสังคม มีเด็กผู้หญิงอายุ 9 ขวบคนหนึ่งเขียนว่า “หนูร้องเพลงเก่งกว่าเพื่อน หนูร้องเพลงได้ แต่คนอื่นร้องไม่ได้ หนูว่าหนูเป็นคนสำคัญมาก หนูชอบร้องเพลง หนูจะร้องเพลงไปเรื่อยๆ เพราะหนูเก่งที่สุด” 

ในทางตรงกันข้าม เด็กหญิงอายุ 13 ปีคนหนึ่งที่ใช้วิธีเปรียบเทียบกับตัวเองเขียนว่า “ตอนแรก หนูไม่มีเพื่อนมากนัก แต่ถึงจุดหนึ่ง หนูก็มีเพื่อนเยอะขึ้น หนูเริ่มจากไปนั่งข้างเพื่อนที่ไม่รู้จักสักคน แล้วสุดท้ายแต่ละคนก็จะกลายมาเป็นเพื่อนรักของหนู ตอนนี้หนูมีเพื่อนเยอะแยะเลย หนูรู้สึกดีและมีความมั่นใจ” 

กล่าวโดยสรุปแล้ว งานวิจัยนี้ชี้ว่าเด็กๆ ที่โตมากับการเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือเปรียบเทียบเฉพาะกับตัวเองในอดีต ต่างก็แสดงออกถึงความภาคภูมิใจในตัวเองเหมือนๆ กัน 

อย่างไรก็ตาม การได้รับคำชมแบบเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง อาจส่งผลเสียคือทำให้เกิดความต้องการจะทำตัวเหนือกว่าเพื่อนๆ ในขณะที่พวกที่เปรียบเทียบกับตัวเองในอดีต ไม่เกิดความต้องการทำนองนี้ เพราะจะขยับเป้าหมายไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยไม่เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น จึงไม่เกิดผลเสียข้างเคียงดังกล่าว

เรื่องนี้พ่อแม่ผู้ปกครองและครูอาจารย์น่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง? 

นักวิจัยเชื่อว่าทั้งพ่อแม่และครูอาจารย์สามารถชมเชยเด็กๆ ได้ เพื่อให้พวกเขาพัฒนาตนเองมากขึ้นไปเรื่อยๆ และเดินหน้าไปอย่างถูกทิศถูกทาง 

แต่ที่สำคัญคือ คุณครูอาจใช้เครื่องมือหรือเทคนิคที่คอยติดตามความก้าวหน้าหรือพัฒนาการในด้านต่างๆ ของเด็กแต่ละคนได้ และใช้ข้อมูลจากวิธีการดังกล่าวมาคอยกระตุ้นให้เด็กๆ ท้าทายตัวเอง โดยไม่เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น 

ความก้าวหน้าแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ควรค่าแก่การชมเชยในกรณีนี้ เพราะไม่มีผลข้างเคียงในทางลบใดๆ 

วิธีการนี้ไม่ใช่ “ยาครอบจักรวาล” และเราไม่ควรผลักดันเด็กๆ ให้เอาชนะตัวเองอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน เพราะการจะก้าวหน้าได้ ย่อมต้องเอาชนะความยากลำบากบางอย่างเสมอ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะล้มเหลวและไปต่อไม่ได้ อย่างน้อยก็ชั่วคราว  

การดูแลให้เด็กๆ มีแนวคิดว่า “ความล้มเหลว” เป็นเรื่องปกติ จึงเป็นเรื่องดีและควรทำควบคู่ไปด้วยเสมอ คราวนี้ก็รู้แล้วนะครับว่า จะชมลูกหรือลูกศิษย์อย่างไรให้พอเหมาะ พอดี

เอกสารอ้างอิง

1. Gürel, Ç., Brummelman, E., Sedikides, C., & Overbeek, G. (2020). Better than my past self: Temporal comparison raises children’s pride without triggering superiority goals. Journal of Experimental Psychology: General, 149(8), 1554–1566. https://doi.org/10.1037/xge0000733

Tags:

Temporal Comparisonคำชื่นชมการเปรียบเทียบเชิงสังคม

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Self-Discipline-nologo
    Character buildingBook
    ‘วินัย’ ที่ใช้กำลังบังคับคือวินัยที่ไร้ความหมาย: บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • School of future-building-2
    tranformative learning
    โรงเรียนต้องเป็น ‘โรงสร้าง’ ไม่ใช่ ‘โรงสอน’ สร้างนิเวศการเรียนรู้ หนุนเด็กปล่อยพลัง สร้างสมรรถนะใส่ตัว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ‘รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง’ จิตวิทยาเบื้องหลังความห้าวหรือบ้าบิ่นของบางคน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • brain-rot-nologo
    Adolescent Brain
    Brain Rot: ‘มีมตลก&คอนเทนต์โง่ๆ’ การเสพติดความสนุกชั่วคราวในโลกออนไลน์ที่เป็นภัยต่อสมองเด็ก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • teaching-nologo
    Learning Theory
    การสอนคือความยินดีที่จะมอบใจให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตของเรา

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel