- การนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในห้องเรียน ช่วยให้ครูติดตามความก้าวหน้าการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นรายบุคคล และผู้เรียนสามารถบริหารจัดการการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ครูกรกันต์ นำแพลตฟอร์ม LEAD Education มาออกแบบกระบวนการเรียนการสอนในลักษณะของ ‘Flip Classroom’ ให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองมาก่อนแล้วมาทำกิจกรรมในห้องเรียนสร้างการเรียนรู้เชิงรุกที่เด็กได้ลงมือทำ
- “ข้อดีของการนำแพลตฟอร์ม AI มาใช้ คือการกระตุ้นให้เด็กอยากออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเองมากขึ้น เป็นการปลูกฝัง ‘กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต’ ซึ่งสำคัญมาก เพราะการเรียนรู้อยู่รอบตัวเรา ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน”
ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง การใช้ประโยชน์จาก AI ขยายขอบเขตไปในทุกวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการการศึกษา ที่นอกจากจะใช้งาน AI Chatbot กันอย่างแพร่หลาย ยังมีการออกแบบแพลตฟอร์มที่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นรายบุคคลอย่าง LEAD Education (LEarning analytics of ADaptive Education) ซึ่งเริ่มทดลองนำร่องใช้จริงในโรงเรียนสังกัด สพฐ. โดยตั้งเป้าเข้าถึงโรงเรียน 750 แห่ง คุณครูประมาณ 1,400 คน และนักเรียนไม่น้อยกว่า 140,000 คน ทั่วประเทศ
ครูกรกันต์ ดิตถ์อัศวณิช โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว หนึ่งในคุณครูที่ได้นำแพลตฟอร์ม LEAD Education มาใช้ติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน เล่าว่าที่ผ่านมาการเรียนการสอนส่วนใหญ่เป็นลักษณะของการบรรยาย แม้จะพยายามนำกิจกรรมที่เป็น Active Learning เข้ามาเสริม แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะติดตามและประเมินความเข้าใจของทุกคนได้อย่างทั่วถึง หรือเป็นรายบุคคล เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนเป็นแบบเดียวกันทั้งชั้น ขณะที่แต่ละคนมีความเร็วในการเรียนรู้ต่างกัน ส่งผลให้เด็กอาจเรียนไม่ทันกัน
“บางคนเรียนรู้เร็ว ไปได้ไว อาจทำให้รู้สึกเบื่อ ก็ต้องส่งเสริมเพิ่มเนื้อหาและโจทย์ที่ท้าทายให้เกิดการพัฒนาต่อ ขณะที่บางคนเรียนรู้ช้า ก็อาจจะกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้ายกมือถาม ทำให้พัฒนาการในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน จึงทำให้มีเด็กตกหล่นในจุดนี้ไปบ้าง ซึ่งกว่าที่ครูจะรู้ว่าเด็กแต่ละคนเข้าใจและเข้าถึงเนื้อหาการเรียนการสอนระดับไหน ต้องรอวัดผลจากการสอบ ซึ่งบางทีอาจจะช้าเกินไป เพราะไม่สามารถพัฒนาในระดับชั้นเรียนนั้นได้อีก หรือบางรายวิชาก็เกินเวลาที่จะย้อนกลับมาได้แล้ว”

ใช้เทคโนโลยี AI เสริมพลังครู สร้างการเรียนรู้แบบรายบุคคล
LEAD Education คือแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยครูติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านระบบออนไลน์ หรือ E-Learning
ครูกรกันต์เล่าว่าได้นำ LEAD Education เข้ามาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนวิชาจริยธรรมและความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ AI พร้อมทั้งออกแบบกระบวนการเรียนการสอนใหม่ในลักษณะของ ‘ห้องเรียนกลับด้าน หรือ Flip Classroom’ เปลี่ยนจากการเรียนในห้องเรียนแล้วทำการบ้านที่บ้าน มาเป็นการเรียนด้วยตนเองที่บ้านแล้วมาทำกิจกรรมในห้องเรียน เช่น การทำโจทย์ อภิปรายระดมความคิดเห็น เล่นเกม ออกแบบการทดลอง หรือการเรียนรู้ที่เน้นการแก้ปัญหา
แพลตฟอร์ม LEAD Education มีเทคโนโลยีติดตามกระบวนการเรียนรู้ผ่าน E-Learning ที่พร้อมให้บริการแล้ว 4 เทคโนโลยี ได้แก่
1. BookRoll ช่วยติดตามการอ่านเอกสารสื่อการเรียนรู้ที่เป็นไฟล์ PDF เพื่อระบุว่าผู้เรียนใช้เวลาอ่านเนื้อหาส่วนไหนมากเป็นพิเศษ การเน้นข้อความสำคัญ
2. VIOLA ติดตามการเรียนรู้ผ่านสื่อวิดีโอ เช่น ระยะเวลาที่ใช้ดูวิดีโอ อัตราการดูซ้ำ หรือคะแนนจากแบบทดสอบในวิดีโอ
3. Abdul for Education ติดตามการตอบคำถามในระบบแชตบอตเพื่อวัดความเข้าใจ
4. KidBright Simulator ติดตามการเรียนรู้ทักษะโค้ดดิง (coding) ผ่านการฝึกเขียนโค้ดในรูปแบบบล็อก (Blockly)
“ในการนำแพลตฟอร์มมาใช้งาน จะเริ่มจากมอบหมายให้นักเรียนเข้าไปล็อกอินเรียนรู้หลักสูตร E-Learning ซึ่งรูปแบบการเรียนจะมีหลากหลายทั้งวิดีโอที่บรรยายโดยอาจารย์ระดับมหาลัย มีบทเรียนให้อ่านในรูปแบบ PDF ดังนั้นนักเรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามความถนัดหรือความสนใจ ถ้านักเรียนคนไหนชอบฟังก็ใช้การดูวิดีโอ แต่ถ้านักเรียนคนไหนชอบอ่าน ก็เลือกอ่านในไฟล์ PDF ได้เลย ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามจังหวะของตนเอง เช่น ความเร็ว-ช้า การหยุด ดูซ้ำ หรือเร่งได้ตามต้องการ ถือว่าเป็นรูปแบบการเรียนที่ตอบโจทย์กับนักเรียนแต่ละบุคคล”
นอกจากการปรับรูปแบบการเรียนรู้ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นแล้ว แพลตฟอร์มยังมีจุดเด่นสำคัญ คือ การพัฒนา AI ให้ทำหน้าที่เสมือน ‘ครูผู้ช่วยส่วนตัว’ ที่คอยติดตามเก็บข้อมูลพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น เวลาในการเรียน ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ การทำแบบทดสอบ การให้คำแนะนำ และการเก็บคะแนนวัดผล
“หลังจากที่นักเรียนเรียนจบในแต่ละหลักสูตรจะมีแบบทดสอบให้ทำ ซึ่งการทดสอบจะไม่ใช่ข้อสอบที่มีตัวเลือกแบบ A B C D แต่เป็นการทดสอบในลักษณะการพูดคุยกับแชตบอตเพื่อวัดความเข้าใจของเนื้อหา หากนักเรียนตอบถูก แชตบอตจะให้กำลังใจและปรับระดับคำถามต่อไปให้ท้าทายขึ้น แต่ถ้านักเรียนตอบผิดแชตบอตจะช่วยให้คำอธิบาย และให้คำแนะนำว่านักเรียนควรไปทบทวนในหัวข้อใดบ้าง ซึ่งจะช่วยให้เด็กพัฒนาตนเองได้ตรงจุดทันที”

AI ช่วยลดภาระงานครู เพิ่มเวลาพัฒนาการเรียนรู้เชิงรุก
การนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในห้องเรียน นอกจากช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจและพัฒนาศักยภาพได้อย่างเหมาะสมแล้ว ครูก็ยังสามารถใช้ AI เป็นผู้ช่วยติดตามความก้าวหน้าการเรียนรู้และการประเมินผล ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระ และทำให้มีเวลาพัฒนาการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมากขึ้น
ครูกรกันต์เล่าว่า พอสลับให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองนอกเวลาเรียนมาก่อน เราก็สามารถเปลี่ยนห้องเรียนที่เน้นการบรรยายไปสู่การทำกิจกรรมเชิงรุก เพื่อให้เด็กได้ลงมือทำ ได้ฝึกการทำงานเป็นทีม ฝึกการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นทักษะที่ยากจะเกิดขึ้นจากการฟังครูบรรยายอย่างเดียว
“การทำกิจกรรมในห้องเรียน ทุกครั้งผมจะแจ้งนักเรียนล่วงหน้าว่า ในครั้งถัดไปจะสอนหัวข้ออะไร เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนกลับไปศึกษาบทเรียนนั้นมาก่อน จากนั้นมาทำกิจกรรมเสริมในห้องเรียน เพื่อทบทวนและทดสอบความเข้าใจ ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจว่าเด็กได้เรียนรู้ในวิชานั้นจริงๆ”
ที่สำคัญแพลตฟอร์ม LEAD Education ยังมี Dashboard ที่คุณครูล็อกอินเข้าไปติดตามความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของนักเรียนได้ ระบบจะแสดงข้อมูลให้เห็นว่านักเรียนคนใดลงทะเบียนแล้ว หรือยังไม่ลงทะเบียน มีการเรียนคืบหน้ามากน้อยขนาดไหน รวมทั้งแสดงผลคะแนนทดสอบในแต่ละโมดูล
“ข้อมูล Dashboard หลังบ้าน จะช่วยให้เรารู้ว่านักเรียนแต่ละคนมีความเข้าใจเนื้อหาอยู่ในระดับใด นักเรียนคนไหนควรได้รับการดูแลช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือภาพรวมการเรียนรู้ของห้องเรียนแต่ละห้องอยู่ระดับใด เพื่อวางแผนการจัดการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพ
เช่น ห้อง A เรียนรู้ได้ไว ก็จะมีกิจกรรมที่ท้าทายการเรียนรู้ไปอีกระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นเกมเพื่อทดสอบความรู้ การระดมสมอง กิจกรรมทวนความรู้ แต่ห้อง B ที่อาจจะเรียนรู้ช้าหน่อย ก็ต้องส่งเสริมกิจกรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น การทำ Mind Mapping สรุปความรู้ การทำ Infographic สรุปความรู้สั้นๆ ในหนึ่งหน้า เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดศักยภาพในการเรียนรู้ที่เท่ากัน สำหรับรูปแบบกิจกรรมที่ใช้ก็ประยุกต์มาจากเวทีการอบรมต่างๆ และอาศัยการศึกษาและสืบค้นมาจากอินเทอร์เน็ต”
ห้องเรียนยุคใหม่ เด็กไทยต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Adaptive Education Platform กำลังเป็นเทรนด์การศึกษาที่หลายประเทศชั้นนำให้ความสนใจ และเริ่มนำมาใช้จริงในห้องเรียนเพื่อลดช่องว่างการเรียนรู้ ดังนั้นการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนของประเทศไทยจึงอาจไม่ใช่ ‘ทางเลือก’ แต่เป็น ‘ความจำเป็น’ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กไทยให้เท่าทันโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ครูกรกันต์ เล่าว่า ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยี AI กำลังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครูผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และตอบสนองความต้องการของผู้เรียนแต่ละบุคคลได้อย่างแท้จริง หากเด็กคนไหนทำกิจกรรมในห้องเรียนแล้วรู้สึกว่ายังมีความรู้ยังไม่เพียงพอหรือไม่เข้าใจในเนื้อหาส่วนไหน ก็สามารถกลับไปศึกษาเพิ่มเติมในคลิปวิดีโอหรือเอกสารประกอบการเรียนได้ตลอดเวลา ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ซ้ำที่เป็นประโยชน์ ไม่ต้องกังวล หรือกล้าๆ กลัวๆ ที่จะยกมือถามครูในห้องเรียนอีกต่อไป ขณะเดียวกันเนื้อหาที่นำมาใช้สอนก็เป็นเนื้อหาที่เข้าถึงง่ายและตรงกับยุคสมัย
อย่างไรก็ดี ประโยชน์สำคัญของ Adaptive Education Platform ที่มากไปกว่าการเติมเต็มช่องว่างการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน คือการเปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเองในทุกที่ทุกเวลาตามความสนใจ

“ข้อดีที่เห็นชัดเจนจากการนำแพลตฟอร์ม AI มาใช้สอนในห้องเรียน คือ นักเรียนสามารถบริหารจัดการกระบวนการเรียนรู้ของเด็กเองได้ ซึ่งในแง่หนึ่งเป็นการกระตุ้นให้เด็กอยากออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเองมากขึ้น เป็นการปลูกฝังให้เกิด ‘กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต’ ซึ่งผมมองว่าสำคัญมาก เพราะการเรียนรู้อยู่รอบตัวเรา ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน
หากนักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้และเข้าถึงความรู้ได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาหรืออาศัยเพียงแค่ในโรงเรียนอย่างเดียว จะช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ ปรับตัว และพัฒนาตนเองได้เสมอ เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพพร้อมรับมือกับความท้าทายในโลกอนาคต”
อย่างไรก็ตาม แม้ AI จะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือช่วยการเรียนการสอนที่ทรงพลัง แต่ครูหลายคนยังคง ‘ลังเล’ ที่จะนำมาประยุกต์ใช้ เพราะกังวลว่านักเรียนจะนำเทคโนโลยีไปใช้อย่างไม่เหมาะสม
ครูกรกันต์กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกตนเองก็มีความลังเลอยู่พอสมควรในการนำมาใช้ในห้องเรียน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจนำมาใช้สอน เพราะมองว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลก้าวไปเร็วมาก ทำให้เด็กต้องรู้และเข้าใจเพื่อที่จะมีศักยภาพในการปรับตัวให้พร้อมรองรับต่อสังคมรอบด้านให้ได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมเรื่องการใช้งานที่ถูกต้อง สร้างความตระหนักรู้ในประเด็นด้านจริยธรรมให้กับเด็กตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้เขารู้เท่าทันในการใช้เทคโนโลยี
“ตัวเราและเด็กเองต่างต้องอยู่กับเทคโนโลยีที่เข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องสอนเด็กให้รู้เท่าทัน เพราะไม่เช่นนั้นเทคโนโลยีจะกลืนกินเรา ผมพยายามพูดคุยกับเด็กและปลูกฝังเสมอว่า เราควรใช้เทคโนโลยีในบริบทใดให้เหมาะสม สิ่งสำคัญคืออย่านำมาใช้ด้อยคุณภาพของตัวเอง แต่ต้องใช้เพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเอง ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์และเพิ่มทักษะติดสปีดให้ตัวเราไปไกลมากกว่าคนอื่น”
สุดท้ายเมื่อถามถึงสิ่งที่อยากฝากไปถึงครูท่านอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างตัดสินใจนำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้ในชั้นเรียน
“ทุกวันนี้รูปแบบการเรียนการสอนแตกต่างไปจากเดิมมาก เด็กสามารถเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเข้าถึงความรู้ได้เยอะขึ้น ฉะนั้นเราในฐานะครูต้องพร้อมเรียนรู้และคอยเป็นโค้ชที่คอยชี้แนะหรือสนับสนุนเด็กในทุกทางที่เหมาะสม ก็อยากส่งกำลังใจให้กับครูทุกท่าน อยากให้เปิดใจลองนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ในการเรียนการสอน เพื่อที่จะช่วยกันพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของเด็กไทย และเปลี่ยนผ่านระบบการศึกษาไทยให้ไปได้ไกลกว่าเดิมครับ” ครูกรกันต์กล่าวทิ้งท้าย