Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Learning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trend
  • Life
    Healing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroom
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
Transformative learning
13 October 2025

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP9: โรงเรียนปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียน

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย

ตอนที่ 9 เสนอข้อตีความจากบทที่ 7 Every Child Gets Ahead : Designing Schools to Bring Out the Best in Students

สรุปอย่างสั้นที่สุดได้ว่า ในตัวนักเรียนทุกคนมีเด็กอัจฉริยะซ่อนตัวอยู่ รอให้การศึกษาช่วยปลดปล่อยออกมากระทำการ บทนี้เสนอหลากหลายเคล็ดลับที่ครูช่วยหนุนให้นักเรียนทุกคนปลดปล่อยพลังที่ซ่อนเร้นของตนออกมากระทำการ และยกระดับสมรรถนะของตนเองได้

สาระของบทนี้ เดินเรื่องด้วยการศึกษาของฟินแลนด์ ที่การทดสอบ PISA ที่จัดโดย OECD ทุกๆ 3 ปี เริ่มปี ค.ศ. 2000 ฟินแลนด์มาที่ 1 ของโลก 3 ครั้งซ้อน แล้วแผ่วลง แต่ Adam Grant จะชี้ให้เห็นว่า คุณภาพการศึกษาของฟินแลนด์ไม่ได้ด้อยลงในระยะหลัง

มหัศจรรย์การศึกษาฟินแลนด์

PISA ทดสอบสมรรถนะของเด็กอายุ 15 ปี ด้านคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์ เริ่มในปี ค.ศ. 2000 ตามด้วยปี 2003, 2006 ที่คะแนนของเด็กฟินแลนด์เป็นที่ 1 ของโลก สะท้อนคุณภาพการศึกษาที่เป็นเยี่ยม นอกจากนั้นคะแนนของเด็กฟินแลนด์ยังมีการกระจายตัวน้อย สะท้อนความเสมอภาคทางการศึกษา ที่เป็นนโยบายของประเทศมาก่อนหน้านั้น 20 ปี เขามีกราฟเปรียบเทียบคุณภาพการศึกษาระหว่างประเทศ ที่เห็นได้ชัดว่าในระหว่างปี 1980 – 2000 คุณภาพการศึกษาของฟินแลนด์ผงาดขึ้นกว่าประเทศใดในโลก เป็นที่พิศวงกันว่า ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลเช่นนั้น

คำตอบคือ ปัจจัยหลักมาจากวัฒนธรรมที่วงการศึกษาฟินแลนด์สร้างขึ้น บนฐานความเชื่อต่อศักยภาพของเด็กทุกคน ไม่ใช่เน้นหนุนเด็กเรียนเก่ง ระบบการศึกษาของฟินแลนด์ไม่มุ่งเฟ้นหาเด็กสมองดี เอามาสนับสนุนเป็นพิเศษ แต่มุ่งหนุนให้เด็กทุกคนมีโอกาสพัฒนา

ส่งผลให้ช่องว่างของคะแนน PISA ของเด็กฟินแลนด์ ระหว่างโรงเรียนและระหว่างตัวเด็ก ต่ำที่สุดในโลก สัดส่วนของเด็กที่คะแนน PISA สูงลิ่ว สูงที่สุดในโลก และสัดส่วนของเด็กที่คะแนนต่ำเตี้ย ก็ต่ำที่สุดในโลก เด็กที่มีปัญหาการเรียน ได้รับการช่วยเหลืออย่างดี อย่างเป็นระบบ ในช่วงเวลา 9 ปีของการศึกษาภาคบังคับ ร้อยละ 30 ของนักเรียนได้รับการช่วยเหลือจากระบบช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหา เป็นการช่วยให้หลุดพ้นจากสภาพปัญหา และเรียนร่วมกับเพื่อนๆ ได้ตามปกติ

ระบบส่งเสริมการปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียนฟินแลนด์ ไม่เลือกสนับสนุนเด็กที่ฉายแวว แต่มุ่งสนับสนุนเด็กทุกคน โดยไม่แยกแยะความสามารถในการเรียน      

โรงเรียนฟินแลนด์เป็นดินแดนมหัศจรรย์

หลักจิตวิทยาองค์กร (Organization Psychology) ระบุว่า วัฒนธรรม ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ การปฏิบัติ หรือพฤติกรรม (Practice), ค่านิยม (Values) และสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลัง (Underlying Assumptions) พฤติกรรม เป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำทุกวัน สะท้อน และส่งเสริมค่านิยม ค่านิยม เป็นหลักการที่ยึดถือร่วมกันว่าอะไรสำคัญและต้องการให้เกิดขึ้น อะไรควรได้รับรางวัล อะไรควรได้รับโทษ สมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังเป็นความเชื่อที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ว่าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นและดำเนินการไปอย่างไร และมักไม่ได้รับการเอาใจใส่

สมมติฐานที่อยู่เบื้องหลัง มีอิทธิพลต่อค่านิยมของเรา และค่านิยมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม

ระบบการศึกษาไทย รับวัฒนธรรมมาจากสหรัฐ ในลักษณะที่ผู้ชนะรับผลประโยชน์ทั้งหมด (Winners take all.) ภายใต้ความเชื่อและพฤติกรรมหาเด็กที่ฉายแววฉลาด หรือฉายแววความสามารถพิเศษบางด้าน เอามาส่งเสริมเป็นพิเศษ ส่วนเด็กที่เรียนช้า จะถูกตีตรา ส่งผลร้ายต่อการพัฒนาความมั่นใจในตนเอง (Self-Esteem) ของเด็กผู้นั้น

โรงเรียนคุณภาพสูง จะคัดเด็กเรียนเก่งเข้าเรียน ปล่อยให้เด็กเรียนช้าหรือไม่เอาใจใส่การเรียน ให้ไปเข้าโรงเรียนคุณภาพต่ำ เกิดช่องว่างสูงในผลการเรียนระหว่างโรงเรียน และระหว่างเด็กจากครอบครัวฐานะดี กับเด็กจากครอบครัวยากจน นั่นคือสภาพของระบบการศึกษาไทย ซึ่งฟินแลนด์แตกต่างโดยสิ้นเชิง

วัฒนธรรมการศึกษาของฟินแลนด์คือ ‘โอกาสของทุกคน’ (Opportunity for all) ภายใต้ความเชื่อว่าความฉลาดมีหลายแบบ และเด็กทุกคนมีศักยภาพที่จะพัฒนา นำสู่ค่านิยมด้านความเสมอภาคทางการศึกษา และนำสู่วิถีปฏิบัติที่ช่วยหนุนให้เด็กทุกคนเรียนรู้และก้าวหน้า เป็นวิถีปฏิบัติที่จัดครูที่มีความสามารถให้แก่นักเรียนทุกคน โดยนักเรียนมีแผนการเรียนและพัฒนาเป็นรายบุคคล (Personalized) โดยเน้นส่งเสริมตามความสนใจของเด็ก

นักเรียนที่เรียนล้าหลังเพื่อนจะได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ด้วยการช่วยเหลือพิเศษเป็นรายคน เพื่อให้เรียนทันเพื่อน ไม่มีการปล่อยให้ตกซ้ำชั้น

ค่านิยมด้านการศึกษาของฟินแลนด์ดังกล่าว ไม่เพียงส่งผลให้ทุกโรงเรียนมีคุณภาพสูงเท่านั้น ยังส่งผลต่อสังคมฟินแลนด์ในวงกว้าง สังคมไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ทั้งปัจจัยด้านการฝึกหัดครูที่เข้มข้น และปัจจัยด้านการปฏิบัติงานที่เอาใจใส่นักเรียน วิชาชีพครูในฟินแลนด์จึงเป็นวิชาชีพที่ได้รับการยกย่องสูง

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ฟินแลนด์เริ่มพัฒนาค่านิยมหลักว่า ‘การศึกษาในฐานะเครื่องมือสร้างชาติ’ และเริ่มพัฒนาระบบฝึกหัดครูคุณภาพสูง โดยหาทางดึงเยาวชนที่มีแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายในชีวิต เข้ามาเรียนเป็นครู โดยวิถีปฏิบัติหน้าที่ครูมีลักษณะ อิงข้อมูลหลักฐาน (Evidence-Based Practice) รวมทั้งให้เงินเดือนครูในระดับสูง

เส้นทางพัฒนาวัฒนธรรมการศึกษาของฟินแลนด์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ในช่วงทศวรรษ 1990 เกิดการเคลื่อนไหวสู่สมมติฐานใหม่ว่า ‘ครูเป็นวิชาชีพที่ได้รับความไว้วางใจ’ (Trusted Professionals) โดยให้อิสระและความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงานของครู ภายใต้ข้อตกลงว่า ครูต้องรับผิดชอบ ส่งผลให้ในปัจจุบัน ครูของฟินแลนด์ มีอิสระในการทำงานสูงมาก เพื่อให้ดูแลนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพสูง ภายใต้ความรู้ที่พัฒนาขึ้นจากการวิจัยชั้นเรียนอย่างต่อเนื่อง และจากการเรียนรู้ร่วมกันของครู ในลักษณะ ‘ครูเป็นพี่เลี้ยงให้แก่กันและกัน’ (Peer Mentoring) ในการปฏิบัติหน้าที่ครู โดยมีเป้าหมายคือ นักเรียนทุกคนเรียนรู้และพัฒนาได้สูงกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยมีการออกแบบการเรียนสำหรับนักเรียนเป็นรายคน สำหรับชั้นเรียนที่มีนักเรียนประมาณ 20 คน   

เป็นการทำงานภายใต้ ‘วัฒนธรรมแห่งโอกาส’ (Culture of Opportunity) โดยส่งเสริมให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์แบบเฉพาะบุคคล (Individualized Relationship) ได้รับการสนับสนุนเป็นการเฉพาะบุคคล (Individualized Support) และพัฒนาความสนใจที่จำเพาะของตนเอง (Individualized Interest) ที่ผมตีความว่า ช่วยหนุนให้นักเรียนพัฒนาตัวตน หรือพัฒนาอัตลักษณ์ ตามแนวทางของ Chickering’s Seven Vectors of Identity Development

ตามนักเรียนไปหลายชั้น

ผลงานวิจัยการศึกษาบอกว่า หากครูตามไปสอนนักเรียนกลุ่มเดิมสองหรือหลายๆ ปี ที่เรียกว่า Looping จะช่วยให้ผลการเรียนของนักเรียนดีขึ้น จากการที่ครูกับนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันแบบเฉพาะบุคคล (Individualized Relationship) คือรู้จักกันดี รู้นิสัยกัน ช่วยด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์

ฟินแลนด์ใช้หลักการนี้มาก ในบางกรณีครูตามนักเรียนไปถึง 6 ปี ซึ่งหมายความว่า แทนที่ครูจะเป็นครูเชี่ยวชาญเฉพาะวิชา กลับเชี่ยวชาญต่อตัวนักเรียน ช่วยหนุนการเรียนของนักเรียนได้ดีขึ้น เปลี่ยนจากการเป็นครูสอนวิชา ไปเป็นครูโค้ช หรือเป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ให้แก่นักเรียน แทนที่ครูจะเน้นที่วิชา กลับเน้นที่ตัวนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยหนุนให้นักเรียนฟันฝ่าความท้าทายเชิงอารมณ์และสังคมได้สำเร็จ

ครูที่ตามนักเรียนไปหลายชั้นจะช่วยเหลือนักเรียนได้มากกว่า เพราะรู้จักนักเรียนดี แต่เมื่อนักเรียนมีปัญหาการเรียนที่เกินกำลังครูประจำชั้น โรงเรียนฟินแลนด์ทุกแห่งมีระบบช่วยเหลือนักเรียน

ขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัว ที่ได้รับประโยชน์จากการที่ครูของผมสมัยเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัดชุมพร คือครูพิเชษฐ์ บัวลอย (ผู้ล่วงลับ) เป็นครูประจำชั้นของพวกผมชั้น ม. 4 แล้วตามไปชั้น ม. 5 ทำให้ครูรู้จักนักเรียนแต่ละคนดี เมื่อจะจบ ม. 5 เพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ในตัวเมืองก็คุยกันโขมงว่าเมื่อจบ ม. 6 แล้วจะไปเรียนต่ออะไรที่กรุงเทพ แล้วหันมาถามผมว่า “ไอ้จารณ์ มึงจะไปเรียนอะไร” ผมตกใจมาก เพราะไม่เคยคิดเรื่องเรียนต่อที่กรุงเทพเลย ก็ตอบเพื่อนไปว่า ไม่เห็นพ่อแม่ว่าอะไร คงอยู่บ้านช่วยงานที่บ้านมั้ง เพื่อนๆ ไปฟ้องครูพิเชษฐ์ ว่าไอ้จารณ์จะไม่ได้เรียนหนังสือต่อ ครูพิเชษฐ์ตามหาตัวพ่อผมจนพบ แล้วบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ส่งเรียนต่อน่าเสียดาย เพราะเรียนเป็นหมอได้ แต่ต้องไม่เข้ากรุงเทพตอนจบ ม. 6 เพราะจะไม่คล่องแคล่วในการช่วยตัวเอง ควรส่งไปเรียน ม. 6 ที่กรุงเทพ แล้วสอบเข้าโรงเรียนเตรียมฯ ต่อด้วยจุฬาฯ และเรียนแพทย์ต่อ ซึ่งผมทำได้ตามที่ครูพิเชษฐ์ทำนาย

ผมได้รับประโยชน์จากการที่ครูพิเชษฐ์ทำ Looping ที่สมัยนั้นเป็นเรื่องแปลก และครูต้องทำงานเหนื่อยกว่าเดิม

ครูจะอยู่เคียงข้างเธอ

เป็นเรื่องราวของครูใหญ่ฟินแลนด์ ที่ทำหน้าที่แตกต่างจากครูใหญ่อเมริกันและไทยอย่างสิ้นเชิง โดยครูใหญ่ฟินแลนด์มีหน้าที่รับผิดชอบผลการเรียน และสุขภาวะ (Well-Being) ของนักเรียนเป็นรายคน รวมทั้งต้องเข้าสอนในชั้นเรียนด้วย การที่เขาเรียกครูใหญ่ แต่เราเรียนผู้อำนวยการ บอกนัยยะลึกๆ ของวัฒนธรรมการศึกษาไทย

โรงเรียนของครูใหญ่ฟินแลนด์ที่เขายกมาเป็นตัวอย่าง รับนักเรียนที่เป็นลูกผู้ลี้ภัยชาวอัลบาเนีย หนีสงครามโคโซโว ไปอยู่ในฟินแลนด์ ลูกเรียน ป. 6 โดยไม่รู้ภาษาฟินนิชเลย ครูใหญ่จัดประชุมปรึกษาครูที่เกี่ยวข้องแล้วตัดสินใจให้เรียนลดชั้นลงไป 1 ชั้น ให้อยู่ในความดูแลของ Special Need Teacher และรับนักเรียนไว้ในความดูแลของครูใหญ่เอง นี่คือมาตรการช่วยเหลือแบบ Early Intervention ครูใหญ่บอกว่าเป็นการทำหน้าที่ตามปกติ … เตรียมนักเรียนเข้าสู่ชีวิตที่ดี

โปรดสังเกตอุดมการณ์ของครูฟินแลนด์ … เตรียมนักเรียนเข้าสู่ชีวิตที่ดี ไม่ใช่แค่เรียนแล้วสอบผ่านทีละชั้น

ในแต่ละสัปดาห์ ครูใหญ่มีชั่วโมงสอนชั้น ป. 3 ครูใหญ่พานักเรียนอัลบาเนียเข้าเรียนในห้องด้วย โดยให้ฝึกอ่าน ระหว่างที่นักเรียน ป. 3 ทำกิจกรรมอื่นๆ และให้นักเรียนอัลบาเนียช่วยเหลือน้อง ป. 3 เพื่อให้เขาได้รับการเรียนรู้จาก Tutor Effect ก่อนจบปีนักเรียนคนนี้ก็เรียนภาษาฟินนิชได้ เรียนวิชาทันเพื่อน ป. 6 และฉายแววของตน

ปีต่อไปนักเรียนคนนี้ย้ายโรงเรียน ครูใหญ่ยังคงติดต่อถามข่าวคราวนักเรียนจากครูโรงเรียนใหม่เป็นระยะๆ หลังจากนั้นหลายปี นักเรียนคนนี้ไปหาครูใหญ่ เอาบรั่นดีไปให้ในงานคริสต์มาสที่บ้าน เขาอายุ 20 ปี เป็นเจ้าของกิจการสองบริษัท คืออู่ซ่อมรถยนต์ กับบริษัททำความสะอาด

ทุกโรงเรียนในฟินแลนด์มีระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน (Student Welfare Team) ประกอบด้วย นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาล ครูการศึกษาพิเศษ และครูใหญ่ เป็นระบบจัดการปัญหาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ (Early Intervention) ไม่ปล่อยให้ปัญหาลุกลาม ได้กล่าวแล้วว่า นักเรียนฟินแลนด์ประมาณ 1 ใน 3 ได้ใช้บริการนี้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี

เล่นเพื่อเรียน

นักเรียนอนุบาลฟินแลนด์เรียนน้อยมาก ส่วนใหญ่เล่น เป็นการเล่นเพื่อเรียน เพื่อให้เรียนสนุก สร้างนิสัยรักเรียน เมื่อเด็กมีนิสัยรักเรียนแล้ว การเรียนวิชาและฝึกพัฒนาสมรรถนะใส่ตัวก็เป็นเรื่องสนุกและทำได้ไม่ยาก

นักเรียนอนุบาลเรียนวิชา (อ่าน เขียน คณิตศาสตร์) เพียงสัปดาห์ละวันเดียว และเรียนคาบละ 45 นาที แล้วพัก 15 นาที เขามีผลงานวิจัยบอกว่าการให้นักเรียนพักเป็นระยะๆ ให้ผลการเรียนรู้ดีกว่า ซึ่งเป็นจริงสำหรับผู้ใหญ่ด้วย

วันอื่นๆ ครูพาเด็กไปเรียนรู้ที่ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หรือศูนย์ชุมชน หรือชวนเด็กเล่นเกม เล่นสร้างเขื่อน ร้องเพลง เต้นรำ เล่นละคร สร้างชิ้นงานศิลปะ ฯลฯ ทั้งหมดนั้นเพื่อให้เด็กเรียนรู้จากการเล่น โรงเรียนอนุบาลและประถมในฟินแลนด์เน้นเรียนรู้จากการเล่น (Play-Based Learning) เพื่อให้เด็กรู้สึกสนุกและรักเรียน

มีผลงานวิจัยจากอังกฤษ พบว่าเด็กที่รักเรียน ชอบไปโรงเรียนเมื่ออายุ 6 ขวบ เมื่อโตขึ้นอายุ 16 ปี จะมีผลการเรียนสูงกว่าเด็กที่ไม่ชอบไปโรงเรียนตอนอายุ 6 ขวบอย่างชัดเจน

มีผลงานวิจัยมากมายที่ให้ผลว่า การเรียนผ่านการเล่นอย่างจริงจัง (Deliberate Play) ให้ผลพัฒนาทักษะการคิด และทักษะเชิงบุคลิก (เช่น ความมีวินัย ความมุ่งมั่น) สูงกว่าการเรียนแบบบอกสอน อย่างเทียบกันไม่ติด และที่เด็กฟินแลนด์สอบ PISA ได้คะแนนสูงมาจากคุณลักษณะอดทนมุ่งมั่น (Persistence) ของเด็กฟินแลนด์สูงกว่าเด็กชาติใดๆ

ไม่ตั้งใจสอบ หรือไม่ตั้งใจเรียน

 ต่อมา ในการสอบ PISA 2009 คะแนนของเด็กฟินแลนด์ตกต่ำลงทั้ง 3 วิชา และตกลงเรื่อยๆ ใน PISA 2012, 2015, 2018 โดยมีประเทศในเอเซียขึ้นมาแซง และในปี 2018 เอสโทเนีย มีคะแนนเป็นที่ 1 ของยุโรป สร้างความกังวลให้ทั้งพ่อแม่ คนในวงการศึกษา และนักการเมืองของฟินแลนด์ แต่จริงๆ แล้ว ฟินแลนด์ยังคงมีผลสอบ PISA ติด Top Ten ของโลกตลอดมา

ในที่สุด ฟินแลนด์ก็ค้นพบสาเหตุที่คะแนน PISA ตก เด็กฟินแลนด์ที่เข้าสอบ PISA ร้อยละ 70 บอกว่า ตนไม่ได้ตั้งใจทำข้อสอบอย่างจริงจัง

นอกจากนั้น ยังพบว่าแรงจูงใจต่อการเรียนของเด็กฟินแลนด์ตกต่ำลง

หนุนให้รักการเรียน

นักการศึกษาฟินแลนด์ไม่ได้พยายามเพิ่มคะแนนสอบ PISA แต่ทำลึกกว่านั้น โดยหาทางแก้ที่ Root Cause คือหาวิธีเพิ่มแรงจูงใจต่อการเรียน

วิธีการหนึ่งสำหรับเพิ่มแรงจูงใจต่อการเรียน คือหนุนให้นักเรียนเป็นผู้กระทำการ (Agency) เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ (Learning Experience) ให้แก่ตนเอง โดยให้นักเรียน ป. 6 ทำโครงการ Me & MyCity ที่ผมตีความว่าเป็นการออกแบบการเรียนรู้เลียนประสบการณ์จริง นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) ด้านการเป็นผู้ประกอบการ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม

เมืองใหญ่ๆ ของฟินแลนด์มีการสร้างเมืองจำลอง สำหรับให้นักเรียนเดินทางไปใช้เวลา 1 วันทำกิจกรรมทางธุรกิจและทางสังคมที่นั่น ในลักษณะที่คล้ายจริงมาก นักเรียนทำกิจกรรมอย่างเอาจริงเอาจัง และเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ จากกิจกรรม Me & MyCity ได้เกิดโครงการ JA Finland (JA = Junior Achievement) ทำหน้าที่สนับสนุนการเรียนรู้จากประสบการณ์แก่เยาวชน และให้คำปรึกษาแก่ครู

วิธีสร้างแรงจูงใจต่อการเรียนอีกวิธีหนึ่งคือ ส่งเสริมการอ่าน

สวรรค์น้อยๆ สำหรับอ่าน สู่นิสัยรักการเรียน 

หากอ่านไม่คล่อง ไม่รู้ความหมาย ก็เรียนวิชาอื่นๆ ได้ยาก การอ่านจึงเป็นประตูสู่การเรียนรู้

นิสัยรักการอ่าน มักเริ่มที่บ้าน โดยพ่อแม่ชวนลูกอ่านอย่างสนุกสนาน และเอาเรื่องที่อ่านมาคุยกัน หรือเอามาสะท้อนคิดกัน ที่โรงเรียน มีวิธีส่งเสริมการอ่านมากมาย เช่นพาไปห้องสมุด หาสถานที่ที่เด็กชอบสำหรับอ่านหนังสือ อ่านแล้วให้นำมาเล่าหรือวิจารณ์หนังสือให้เพื่อนๆ ฟัง ช่วยให้การอ่านเป็นเรื่องสนุก และที่สำคัญอย่างยิ่ง ต้องให้เด็กเลือกหนังสือเอง

จุดแข็งของการศึกษาฟินแลนด์คือ เขาไม่แลกระหว่างผลการสอบที่ดี กับการพัฒนาทักษะเชิงบุคลิก (Character Skills) และสุขภาวะทางสังคมอารมณ์ของเด็ก เด็กทุกคนต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม

ขอย้ำว่า ในระบบการศึกษาของฟินแลนด์ เด็กทุกคนได้รับการปลุกพลังซ่อนเร้นออกมาพัฒนาตนเอง การศึกษาไทยเป็นอย่างไร?

สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP8 ได้ที่นี่

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง

Tags:

PISAปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์หนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023)ทักษะเชิงลักษณะนิสัย (Character Skills)การศึกษาฟินแลนด์Play-Based Learningศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel