- บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย
ตอนที่ 6 เสนอข้อตีความจากบทที่ 4 Transforming the Daily Grind : Infusing Passion into Practice
ข้อสรุปคือ จะปลดปล่อยพลังซ่อนเร้นออกมาได้ ต้องมีการฝึกเรื่องที่เรามุ่งมั่นอย่างเอาจริงเอาจังปนสนุก โดยมีตัวช่วย ‘ปีนที่สูง’ หรือนั่งร้าน (Scaffolding) ที่ผู้ช่วยให้นั่งร้านอาจเป็นโค้ช หรือเราสร้างนั่งร้านให้ตัวเอง
เอาชนะอุปสรรคด้วยนั่งร้าน
นั่งร้าน (Scaffold) เป็นโครงสร้างสำหรับปีนที่สูง เราเปรียบเทียบความพยายามฝึกเพื่อให้พลังซ่อนเร้นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งถูกปลดปล่อยออกมา ว่าเสมือนการปีนที่สูง จึงต้องการ ‘นั่งร้าน’ เป็นตัวช่วย โดยมีครูหรือโค้ชช่วยให้ ‘นั่งร้าน’ ให้ผู้ฝึกปีนเอง ไม่ใช่ครูช่วยอุ้ม จนในที่สุดผู้ฝึกจะปฏิบัติเรื่องนั้นได้ด้วยตัวเองไม่ต้องมี ‘นั่งร้าน’ ช่วย
นั่งร้านเป็นโครงสร้างชั่วคราวสำหรับช่วยให้กิจการใดกิจการหนึ่งสำเร็จ เมื่อสำเร็จแล้วนั่งร้านจะถูกเอาออกไป ดังกรณีนั่งร้านก่อสร้างอาคาร ‘นั่งร้าน’ สำหรับฝึกฝนทักษะหรือความสามารถพิเศษก็เช่นเดียวกัน เมื่อฝึกจนบังเกิดผลแล้ว ก็ไม่ต้องการนั่งร้านอีกต่อไป
‘นั่งร้าน’ สำหรับฝึกความสามารถพิเศษ มีลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ (1) มาจากผู้อื่น (2) ออกแบบพิเศษเพื่อเอาชนะอุปสรรคที่เผชิญ (3) การให้นั่งร้าน ต้องให้ ณ จุดหรือเวลาที่ต้องการเอาชนะอุปสรรค ไม่ใช่เตรียมไว้ก่อน หรือให้ภายหลัง (4) เป็นกิจกรรมชั่วคราว
ผมอดเถียงไม่ได้ ว่าคนเราให้ ‘นั่งร้าน’ แก่ตนเองได้ โดยมาจากประสบการณ์ของตัวผมเอง ที่เมื่อเผชิญอุปสรรคในชีวิตหรือหน้าที่การงาน ผมได้รับ ‘นั่งร้าน’ จากที่ไหนก็ไม่ทราบ ที่เมื่อมีคนถามผมจะตอบว่า “เทวดาช่วย” โดยในใจจริงๆ ผมคิดว่ามาจาก ‘ปัญญาญาณ’ (Intuition) ที่ทุกคนมีหากฝึกฝนตนเอง
เป้าหมายของครูในการให้ ‘นั่งร้าน’ สำหรับฝึกสมรรถนะแก่ศิษย์คือ เพื่อช่วยให้นักเรียนเรียนรู้สมรรถนะใหม่ได้ เชื่อมต่อจากสมรรถนะเดิมที่ตนมีอยู่แล้ว ‘นั่งร้าน’ ที่ครูจัดให้ศิษย์จึงคล้ายเป็น ‘สะพานเชื่อม’ ระหว่างสมรรถนะเดิมที่นักเรียนมีอยู่แล้ว กับสมรรถนะใหม่ที่นักเรียนต้องการเรียนรู้ ตามที่ระบุไว้ในหนังสือ การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างไร
เพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว ครูควรทำความเข้าใจหลักการ Zone of Proximal Development ที่อธิบายไว้ในหนังสือ เพื่อครูและนักเรียนเป็นนักพัฒนาตนเอง หน้า 89 – 105
หลักการสำหรับครูให้ ‘นั่งร้าน’ แก่ศิษย์ มีดังนี้ (1) ให้คำถาม เพื่อให้นักเรียนเชื่อมสมรรถนะเดิม กับสมรรถนะที่จะเรียนรู้ สู่การนำไปทดลองปฏิบัติเพื่อเรียนรู้ (2) ทำตัวเป็นตัวอย่างในเรื่องนั้นๆ (3) ค่อยๆ ถอยออก ให้นักเรียนปฏิบัติกันเอง (4) ประเมิน และให้คำแนะนำป้อนกลับแบบสร้างสรรค์ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจความก้าวหน้า และโอกาสปรับปรุงการเรียนรู้ของตน (5) ใช้เทคนิคในหนังสือ ปรับปรุงการสอนเล็กน้อย ได้ผลยิ่งใหญ่ และ สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน (6) ให้นักเรียนเรียนแบบร่วมมือกัน (7) ให้โอกาสฝึก ตามด้วยการสะท้อนคิดสู่หลักการ
ครูต้องมองการเรียนรู้ของศิษย์ว่าเป็นกิจกรรมที่คล้ายศิษย์ต้อง ‘ปีนที่สูง’ มีความยากลำบาก ครูมีหน้าที่จัด ‘นั่งร้านตามปกติ’ ในกระบวนการเรียนรู้ของเด็กทุกคน และให้ ‘นั่งร้านพิเศษและจำเพาะ’ แก่เด็กบางคนที่ต้องการ แล้วครูจะรู้สึกชื่นใจ ที่ได้เห็นพัฒนาการของศิษย์
ปฏิบัติ หรือฝึกซ้อม อย่างมุ่งมั่น
เขายกประวัติของ Dame Evelyn Glennie นักดนตรีด้าน Percussion ชั้นยอดของโลก ที่หูหนวก แต่มีความมุ่งมั่นมานะพยายาม และได้ครูฝึกดี แต่เมื่อไปสมัครเข้าเรียนที่ Royal Academy of Music, London ครั้งแรกได้รับการปฏิเสธ เพราะกรรมการไม่เชื่อว่าคนหูหนวกจะเป็นนักดนตรีชั้นเลิศได้ แต่เมื่อ เอเวอร์ลีน เกล็นนี่ กลับไปฝึกซ้อมเพิ่มเติม และกลับไปสมัครใหม่ ผลงานของเธอทำให้คณะกรรมการแก้กฎของการตัดสินรับนักเรียนว่า ไม่พิจารณาที่ปัจจัยทางกาย แต่พิจารณาจากผลงาน และรับเธอเข้าเรียน นำทางเธอสู่การเป็นนักดนตรีด้านการเคาะชั้นยอดของโลก
อ่านเรื่องราวจากในหนังสือ Hidden Potential และในวิกิพีเดียแล้ว ผมตีความว่า เอเวอร์ลีน เกล็นนี่ ต้องฝึกซ้อมตนเองใน 2 ด้านไปพร้อมๆ กัน คือด้านเล่นดนตรี กับด้านการรับเสียงจากทั่วร่างกาย เพราะหูของเธอรับเสียงไม่ได้ และตั้งข้อสงสัยว่า การฝึกเข้มข้น 2 ด้านพร้อมกัน ก่อผลเสริมหรือสนธิพลัง (Synergy) กัน (Synergy) หรือไม่ อย่างไร
เคล็ดลับของ เอเวอร์ลีน เกล็นนี่ คือการฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นเรื่องเดียวกันกับความสนุก งานกับเล่นเป็นเรื่องเดียวกัน Adam Grant ใช้คำว่า เป็นการเปลี่ยนความคร่ำเคร่งประจำวัน (Daily Grind) เป็นความสนุกสนานประจำวัน (Daily Joy)
การฝึกซ้อมเพื่อบรรลุทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งในระดับที่เป็นเลิศ ต้องการการฝึกซ้อมซ้ำๆ ที่มีผู้บอกว่าใช้เวลา 10,000 ชั่วโมง เพื่อบอกว่าหากต้องการเป็นเลิศ ต้องไม่กลัวและไม่เบื่อการฝึกซ้ำๆ อย่างยาวนาน แต่เวลาฝึกซ้อมที่ยาวนานยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีการพิเคราะห์พิจารณาเพื่อหาทางปับปรุงพัฒนา การฝึกซ้อมที่จะนำสู่ความเป็นเลิศ จึงเป็น ‘การฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น’ (Deliberate Practice)
การปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นเป็นเวลายาวนานไม่ใช่เรื่องง่าย เสี่ยงต่อการเกิดอาการ ‘หมดไฟ’ (Burn Out) และ ‘เบื่อ’ (Boreout) หากเป็นการฝึกซ้ำๆ อย่างเดิม ที่เขาเล่าว่า แม้แต่ Mozart ก็มีอาการทั้งสอง
จึงต้องมีวิธีทำให้การฝึกซ้ำๆ นั้น ไม่เป็นการทำแบบเดิมซ้ำๆ แต่มีการทดลองปรับรายละเอียดบางจุด ที่เป็นลักษณะของ ‘การฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น’ (Deliberate Practice) การมีโค้ชคอยให้คำแนะนำป้อนกลับเชิง ‘นั่งร้าน’ จึงช่วยได้มาก
‘การฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น’ (Deliberate Practice) ที่นำสู่ความสุขสนุกสนานในการฝึกซ้อม ที่สภาพจิตของผู้ฝึกอยู่ในสภาพ Flow คือตัวตนของผู้ฝึกเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งหรือเรื่องที่ฝึก และโลกโดยรอบละลายหายไป เวลาผ่านไปคล้ายโลกหยุดหมุน ที่ผมเคยเขียนไว้ว่า เกิดความสุขดั่งบรรลุนิพพาน ‘การฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น’ จึงไม่ใช่กิจกรรมที่เข้ามาบงการชีวิต แต่เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนั้น เกิดจากพลังของ การมีฉันทะ (Passion) ที่นำสู่วิริยะ (Persistence) ส่งผลต่อการบรรลุผลงาน (Performance) ที่เป็นเลิศ ที่ผมขอเพิ่มเติมว่า เกิดจากใส่จิตตะ และวิมังสา จนครบวงจร Kolb’s Experiential Learning Cycle
เล่นอย่างมุ่งมั่น
เล่นอย่างมุ่งมั่น (Deliberate Play) ช่วยให้การฝึกอย่างมุ่งมั่นเป็นเรื่องสนุกหรือให้ความสุข เล่นอย่างมุ่งมั่นเป็นการผสมผสานสององค์ประกอบคือ ฝึกอย่างมุ่งมั่น กับเล่นอิสระ (Free Play) โดยมีโครงสร้างเพื่อบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ในระดับสูง (Mastery) ผ่านการฝึกร่วมกับการพักผ่อนหย่อนใจ มีการออกแบบการฝึกงานที่ซับซ้อนออกเป็นงานที่ง่ายกว่าเป็นช่วงๆ เพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ยากขึ้นทีละขั้น
เป็นการนำเอาความแปลกใหม่ กับความแตกต่างหลากหลาย เข้าสู่การฝึก เมื่อ เอเวอร์ลีน เกล็นนี่ ฝึกเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งจนเหนื่อยหรือเบื่อ เธอเปลี่ยนเครื่องดนตรี ทำให้ผมย้อนคิดถึงตัวเองสมัยอายุสิบห้าสิบหกปี ต้องการเรียนให้ได้ผลดีเลิศ จึงฝึกซ้อมการเรียนและการสอบในทำนอง ‘เล่นอย่างมุ่งมั่น’ นี้ เมื่อเรียนวิชาหนึ่งจนล้า ก็สลับไปอีกวิชาหนึ่ง รู้สึกสมองแล่นขึ้นมาทันที หากสมองตื้อจริงๆ ก็ไปอาบน้ำ ใช้เวลา 5 นาทีกลับมาเรียนใหม่ สมองโปร่งโล่งขึ้นทันที
เคล็ดลับของการเล่นอย่างมุ่งมั่นคือ การเล่นแข่งกับตนเอง โดยกำหนดเป้าหมายผลงานที่บรรลุยาก แล้วหาทางทำให้ได้ เมื่อบรรลุก็ตั้งเป้าที่ยากยิ่งขึ้น ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ โอกาสบรรลุเป้าหมายที่เป็นเลิศก็ง่ายขึ้น นี่คือการเล่นเกมกับตนเอง แข่งกับตนเองในอดีต เพื่อสร้างตนเองในอนาคตที่ต้องการ
เขาแนะนำ การฝึกแบบแทรกสลับ (Interleaving) ที่จะช่วยลดความรู้สึกเบื่อหรือจำเจ โดยไม่ฝึกทักษะเดียวหรือเรื่องเดียวตะลุยไป มีการสลับกับทักษะอื่นเป็นช่วงๆ หรือเอาทักษะที่เคยทำได้ดีแล้วเอามาฝึกใหม่เป็นบางช่วง จะช่วยให้พัฒนาได้เร็วกว่า หนังสือ ปรับปรุงการสอนเล็กน้อย ได้ผลยิ่งใหญ่ หน้า 34 – 48 เสนอวิธีจัดการเรียนการสอนที่ใช้เทคนิกนี้นี้ไว้อย่างละเอียด
การฝึกปนเล่น และเล่นอย่างมุ่งมั่น จะได้ผลดี ต้องมีการพัก
พลังของการพัก
การฝึกอย่างมุ่งมั่น แม้จะฝึกปนเล่นเป็นเล่นอย่างมุ่งมั่น หาก ‘ฝึกมากเกิน’ (Over-Practice) ก็ก่อผลร้าย ต้องมีการพักผ่อนบ้าง จะเห็นว่า ไม่ว่าเรื่องอะไร ต้องการความพอดี หรือทางสายกลางเสมอ
การพักเป็นช่วงๆ ช่วยให้ประโยชน์อย่างน้อย 3 ประการคือ (1) ช่วยให้ธำรงพลังขับดันหรือฉันทะไว้อย่างต่อเนื่อง (2) การพักช่วยให้เกิดไอเดียใหม่ๆ (3) ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ระดับลึก
จึงเกิดวิธีฝึกหรือเรียนแบบที่เรียกว่า แบบ ‘ซ้ำเป็นช่วงๆ’ (Space Repetition) เช่นแทนที่จะฝึกรวดเดียว 60 นาที ก็แบ่งเป็นฝึก 15 นาที 4 รอบ สลับกับพักครั้งละ 5 นาที จะได้ผลสูงกว่ามาก ดังระบุไว้ในหนังสือ ปรับปรุงการสอนเล็กน้อย ได้ผลยิ่งใหญ่ หน้า 82
การพักไม่ใช่การเสียเวลาเปล่า แต่เป็นช่วงเวลาเติมพลัง ที่ผมมีความเห็นว่า น่าจะใช้เป็นช่วงเวลาของการใคร่ครวญสะท้อนคิด ด้วย Kolb’s Experiential Learning Cycle เพื่อทำความเข้าใจหลักการใหม่ๆ หรือแนวทางใหม่ๆ ที่ได้จากประสบการณ์การฝึกช่วงที่แล้ว ไม่ทราบว่าแนวคิดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่
ประยุกต์ใช้การฝึกอย่างมุ่งมั่น และการเล่นอย่างมุ่งมั่นในระบบการศึกษา
Generative AI แนะนำผมว่า สามารถประยุกต์ใช้วิธีการที่เสนอในตอนที่ 6 นี้ คือการฝึกอย่างมุ่งมั่นและการเล่นอย่างมุ่งมั่นในระบบการศึกษาที่เป็นทางการได้เป็นอย่างดี โดย
- ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจน (SMART : S = Specific, M = Measurable, A = Achievable, R = Relevant, T = Time-Bound) มีความหมาย และน่าสนใจสำหรับนักเรียน
- ส่งเสริมให้นักเรียนฝึกอย่างจริงจังและมุ่งมั่น ในทักษะหรือประเด็นที่เลือกแล้ว
- จัดบรรยากาศการเรียนรู้ที่มีความร่าเริงสนุกสนาน เอาจริงปนเล่น (Playful) สร้างพื้นที่ที่เด็กสามารถสำรวจ ทดลอง และเรียนรู้ ผ่านการเล่น
- จัดสมดุลระหว่างการฝึกอย่างมุ่งมั่นและการเล่นอย่างมุ่งมั่น
- จัดระบบให้คำแนะนำป้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้นักเรียนได้รับทราบสิ่งที่ตนควรปรับปรุง
- ส่งเสริมให้นักเรียนสะท้อนคิดกับตัวเอง เพื่อทำความเข้าใจความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น และหาจุดที่จะต้องเรียนรู้และปรับปรุงต่อไป
คำแนะนำนี้สอดคล้องกับสภาพในโรงเรียนของประเทศเดนมาร์กที่ผมไปดูงานระหว่างวันที่ 12 – 17 สิงหาคม 2567 การศึกษาของเดนมาร์กเน้น Play-Based Learning ที่เน้นกระบวนการเรียน มากกว่าที่ผลลัพธ์ แต่คุณภาพการศึกษาของเขากลับสูงเด่น ที่ผมตีความว่า เพราะเขามีเป้าหมายของการศึกษาที่ถูกต้อง คือเน้นพัฒนาองค์รวม และมีวิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง คือเรียนรู้เชิงรุกผ่านการปฏิบัติแล้วสะท้อนคิด
สาระในบทนี้ของหนังสือ Hidden Potential เน้นการฝึกนักกีฬาให้เป็นดารา การนำหลักการในบทนี้มาประยุกต์ต่อระบบการศึกษา ต้องแยกแยะการประยุกต์ใช้ออกเป็น 2 เป้าหมาย คือ (1) การใช้ดึงศักยภาพในการเรียนรู้ทุกด้าน ของเด็กทุกคน เพื่อให้ทุกคนบรรลุผลการเรียนรู้ระดับ Mastery Learning (2) การใช้หนุนนักเรียนบางคนที่ใฝ่ฝันการบรรลุความเป็นเลิศในด้านที่เขาต้องการ ส่วนใหญ่ของสาระในบทนี้เน้นเป้าหมายที่ 2 แต่ผมได้พยายามเสริมประเด็นที่นำไปใช้ในเป้าหมายที่ 1 โดยเฉพาะหัวข้อย่อยสุดท้าย เขียนเพื่อเสนอแนะต่อวงการศึกษาไทยโดยเฉพาะ
สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP5 ได้ที่นี่
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ