- ท้อหรือยังกับการสอบแบบท่องจำ ที่เปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นห้องติวสอบแสนเครียด
- ถ้าจัดสอบให้เป็นและถูกวิธี ความรู้ที่มีก็จะไม่ต้องถูกโยนทิ้งหน้าห้องสอบแต่จะอยู่ไปอย่างคงทนถาวร พร้อมใช้เสมอเมื่อต้องการ
- นั่นเพราะสมองมีความพิเศษเกินกว่าจะใช้งานแค่การสอบ
ไม่เฉพาะในประเทศไทยที่มีกระแสต่อต้านและตั้งคำถามกับ การสอบวัดความรู้ระดับชาติ ว่าเป็นตัวชี้วัดความรู้และศักยภาพการใช้ชีวิตของนักเรียนได้จริงหรือ ที่สหรัฐอเมริกากระแสต่อต้านในหมู่ผู้ปกครองและครูต่อเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังการตรากฎหมาย No Child Left Behind ปี ค.ศ. 2002 ที่บังคับให้นักเรียนเกรด 3 ถึงเกรด 8 (ป.3 ถึง ม.2) ต้องสอบวัดระดับอย่างเข้มข้นทุกปี จนเปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นห้องติวเตรียมการสอบ สร้างความเครียดและน่าเบื่อหน่ายมากกว่าสร้างแรงบันดาลใจในการค้นคว้าหาความรู้
นึกภาพแล้วก็ไม่ต่างจากสถานการณ์ในเมืองไทยที่สถาบันกวดวิชาหรือการติวเพื่อสอบต่างๆ ยังคงมีความสำคัญอยู่มาก… มากกว่าการเรียนในห้องเรียนด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม การสอบก็ไม่ได้เป็นเรื่องแย่เสียทีเดียว หากจัดสอบให้เป็นและถูกวิธีจะช่วยให้สมองดึงความรู้เดิมจาก ความจำระยะยาว (Longterm Memory) ออกมาสู่ ความจำใช้งาน (Working Memory) ในสถานการณ์ใหม่ เพื่อสร้างการเรียนรู้ระดับลึก (Deep Learning) ที่จะอยู่ไปอย่างคงทนถาวรมากกว่าการท่องจำได้
กระบวนการนี้ เรียกว่า ‘Transfer’ ที่เป็นเหมือนการกระตุ้นเตือนให้สมองรับรู้ว่า ความรู้ส่วนที่กำลังดึงออกมาใช้นี้มีความสำคัญ หลังจากนั้นสมองจะจดจำความรู้นั้นอย่างอัตโนมัติโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นเป็นเพราะสมองคนเรามีความพิเศษ มีกลไกช่วยเลือกทำงานเฉพาะเท่าที่จำเป็นหรือเลือกเฉพาะสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นในแง่ของการเรียนรู้ สมองจะเลือกจำความรู้ส่วนที่ดึงออกมาใช้งานบ่อยๆ งานวิจัยเรียกวิธีพัฒนาทักษะการเรียนรู้ (Learning Skills) แบบนี้ว่า การฝึกทบทวนความจำ (Retrieval Practice) ไม่ใช่การสอบ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อสอบวัดความรู้ระดับชาติทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นข้อสอบวัดความรู้จากการท่องจำ มากกว่าการวัดความเข้าใจระดับลึกด้วยคำถามที่เชิญชวนให้ต้องคิด การฝึกทบทวนความจำ (Retrieval Practice) คือ การใช้ข้อสอบที่ถามความรู้ลึกและถามแบบปลายเปิด ตามด้วยการเฉลยและให้คำแนะนำในทันทีที่สอบเสร็จ (Immediate Feedback) ซึ่งจะช่วยให้เกิดทักษะการทำความเข้าใจและพัฒนาวิธีการเรียนของตนเอง (Metacognition)
เมื่อฝึกฝนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ นักเรียนจะสามารถดึงความรู้มาใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว เนื่องจากสมองจะทำหน้าที่จัดความรู้เป็นชุดๆ (Schema) อย่างเหมาะสมต่อการดึงความรู้แต่ละชุดออกมาใช้งาน เมื่อถึงจุดนั้นนักเรียนจะมีความสามารถตรวจสอบกระบวนการเรียนรู้ของตนเองได้ และกลายเป็นคนที่กำกับการเรียนของตนเอง (Self-regulated Learner) ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเชื่อมโยงได้ในที่สุด
ตรงข้ามกับการสอบวัดระดับโดยทั่วไปในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันผู้สอบยังคงต้องตะบี้ตะบันท่องตำราเรียนเพื่อเข้าสอบแข่งขันอย่างดุเดือด ทำข้อสอบเสร็จให้ทันเวลา วางดินสอวางปากกา แล้วเดินออกจากห้องสอบโดยไม่ได้รับคำแนะนำป้อนกลับในทันทีที่สอบเสร็จ แถมยังต้องรอผลการสอบไปอีกหลายสัปดาห์ การสอบทุกวันนี้จึงเป็นเพียงการวัดความรู้ (Assessment) ที่ไม่ส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน
คำถามคือ นักเรียนไทยยังคงต้องอยู่ท่ามกลางสมรภูมิสอบที่ไม่ได้เสริมการเรียนรู้แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่…?