- การสอน ‘จริยธรรมเอไอ’ ต้องมองภาพใหญ่ เชื่อมโยงหลักการกับผลกระทบต่อชีวิตจริง ไม่ใช่สอนให้ท่องจำแบบแยกส่วน เช่น อคติ ความเสี่ยง และความเป็นส่วนตัว
- การสอนแบบก้าวหน้า เน้นประสบการณ์ตรง การลงมือทำ การถกเถียง และการวิเคราะห์กรณีศึกษา ทำเพื่อให้เด็กพัฒนาทักษะการให้เหตุผลทางจริยธรรม
- การประเมินผลต้องสอดคล้องกับกิจกรรม ควรประเมินระหว่างการเรียนรู้ (formative) มากกว่าหลังจบกิจกรรม เพื่อให้เด็กได้รับฟีดแบ็กและพัฒนาทักษะด้านจริยธรรมได้จริง
“อันตรายที่ใหญ่หลวงยิ่งของปัญญาประดิษฐ์ คือ การที่คนเราด่วนสรุปว่าเข้าใจมันอย่างถ่องแท้แล้ว” —เอลีเอเซอร์ ยุดเคาว์สกี (Eliezer Yudkowsky) นักวิจัยเอไอและนักเขียนเกี่ยวกับจริยธรรม
ในตอนที่ผ่านมาเราได้พูดถึงการใช้งานเอไอสำหรับครูและนักเรียนไปแล้ว อีกทั้งยังกล่าวถึงการออกแบบการบ้านให้สอดคล้องกับยุคสมัยของเอไอ ในตอนนี้เราอาจคิดว่าเรารู้ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการใช้งานเอไอแล้ว ซึ่งไม่ใช่เลย
สิ่งสำคัญอีกประการที่ขาดไม่ได้คือการเรียนรู้วิธีใช้งานเอไออย่างเหมาะสมและมีความรับผิดชอบ เรียกว่า การมี ‘จริยธรรมเอไอ’ (AI Ethics) แม้เราจะออกแบบระบบการบ้านได้อย่างยอดเยี่ยม แต่หากเด็กไม่ได้สนใจที่จะทำตามระบบนั้น ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย ดังนั้นการสอนให้เด็กใช้งานเอไออย่างมีจริยธรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญ
เราจะสอน ‘จริยธรรมเอไอ’ ให้กับเด็กได้อย่างไร?
ท่ามกลางการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีเอไอ ประเด็นเรื่อง ‘จริยธรรมเอไอ’ กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะจริยธรรมเอไอเปรียบเสมือนกฎเกณฑ์ที่คอยกำกับให้ผู้สร้างและผู้ใช้เอไอประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสม
ในปัจจุบันยังไม่มีนิยามเดียวที่เป็นสากลสำหรับคำว่า ‘จริยธรรมเอไอ’ แต่ทุกนิยามล้วนมีหัวใจสำคัญที่ว่า การสร้างและการใช้เอไอต้อง ‘คำนึงถึงมนุษย์เป็นศูนย์กลาง’ (Human-centered Considerations) กล่าวง่ายๆ คือ ก่อให้เกิดประโยชน์และไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น
เมื่อทุกคนเห็นพ้องว่าจริยธรรมเอไอเป็นเรื่องสำคัญ วงการศึกษาจึงมีความพยายามที่จะสร้างวิธีจัดการเรียนสอนเกี่ยวกับจริยธรรมเอไอ เรียกว่า ‘การศึกษาด้านจริยธรรมเอไอ’ (AI Ethics Education) ซึ่งเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและการใช้งานเอไออย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมกับทำความเข้าใจถึงประโยชน์และความเสี่ยงของเอไอ อีกทั้งยังติดตั้งความรู้และทักษะที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตและทำงานควบคู่ไปกับเอไอในยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม จริยธรรมเอไอก็มีความซับซ้อนและเนื้อหาที่หลากหลาย ทำให้ยากต่อการระบุอย่างชัดเจนว่าควรสอนอะไร สอนอย่างไร และประเมินประสิทธิภาพในการสอนได้อย่างไร ดังนั้นจึงมีงานวิจัยที่ได้รวบรวมการจัดการศึกษาด้านจริยธรรมเอไอจากหลายๆ แหล่งและสรุปเป็นแนวทางไว้แล้ว
งานวิจัยนี้มาจากวารสาร Computers and Education: Artificial Intelligence ปี 2025 โดยได้สำรวจและวิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับการศึกษาด้านจริยธรรมเอไออย่างละเอียดถึง 25 งาน จากการวิเคราะห์ทั้งหมดพบว่า การสอนจริยธรรมเอไอให้กับเด็กมี 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา เพื่อให้การสอนมีประสิทธิภาพมากที่สุด
- สอนเด็กให้เห็นความสำคัญของจริยธรรมเอไอด้วย ‘การมองภาพใหญ่’
ก่อนจะไปที่การมองภาพใหญ่ เราต้องพูดถึง ‘การมองภาพแคบ’ (Narrow View) เสียก่อน การสอนด้วยการมองภาพแคบจะเน้นไปที่หลักการหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ เพียงอย่างเดียว เช่น หลักการนี้มีนิยามว่าอย่างไร กฎนี้มีกี่ข้อ แต่ละข้อระบุว่าอย่างไร เป็นต้น การสอนเช่นนี้จะเน้นการท่องจำ ทำให้เด็กขาดการเชื่อมโยงกับหลักการข้ออื่นๆ และบริบทในชีวิตจริง
แต่การสอนด้วย ‘การมองภาพใหญ่’ (Holistic View) จะเน้นไปที่การเชื่อมโยงหลักการกับประเด็นต่างๆ กล่าวคือ เข้าใจหลักการและรับรู้ว่าหลักการนั้นๆ ส่งผลกระทบต่อมนุษย์และสังคมอย่างไร เช่น ตามหลักแล้วเอไอสามารถสร้างข้อมูลเท็จเพื่อเติมเต็มข้อมูลที่ไม่มีอยู่ในระบบได้ แล้วสิ่งนี้จะส่งผลต่อสังคมของเราอย่างไร
สรุปง่ายๆ คือ การมองภาพแคบคือการรู้ว่าหลักการและวิธีแก้ไขมีอะไรบ้าง แต่การมองภาพใหญ่คือการตั้งคำถามตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำและมองเห็นผลกระทบกับบริบทในภาพรวม ตัวอย่างเช่น อคติในเอไอ (Bias)
- สอนแบบภาพแคบ – อคติในเอไอคืออะไร มีอะไรบ้าง การลดอคติในเอไอทำอย่างไร
- สอนแบบภาพใหญ่ – อคติในเอไอคืออะไร ทำไมเอไอถึงมีอคติ อคติของเอไอส่งผลอย่างไรกับสังคมของเรา
ทั้งนี้ ในการศึกษาด้านจริยธรรมเอไอมีประเด็นจริยธรรมที่พบมากที่สุด ได้แก่ ความเสี่ยงของเอไอ อคติในเอไอ และความเป็นส่วนตัว
- ความเสี่ยงของเอไอ (Risk of AI) – กล่าวถึงอันตรายหรือผลเสียที่เป็นไปได้ต่อสังคม เช่น เผยแพร่ข้อมูลเท็จ ตัดสินใจผิดพลาด หรือลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น
- อคติในเอไอ (Bias) – ระบบเอไออาจปฏิบัติกับคนกลุ่มหนึ่งๆ อย่างไม่เท่าเทียม เนื่องจากได้รับการฝึกจากข้อมูลที่มีอคติหรือการเลือกปฏิบัติ
- ความเป็นส่วนตัว (Privacy) – การปกป้องข้อมูลส่วนตัวของตนจากการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยระบบเอไอ
- สอนเด็กให้เข้าใจจริยธรรมเอไอด้วย ‘การสอนแบบก้าวหน้า’
ในงานวิจัยกล่าวว่า ‘การสอนแบบดั้งเดิม’ ที่ครูบรรยายหน้าชั้นเรียนอย่างเดียวเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เด็กเข้าใจจริยธรรมเอไอ เพราะประเด็นจริยธรรมมีความเกี่ยวข้องกับหลายมิติ เช่น เทคโนโลยี สังคม และกฎหมาย อีกทั้งเอไอในปัจจุบันก็มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วทำให้ต้องปรับเปลี่ยนเนื้อหาการสอนอยู่ตลอดเวลา
การสอนที่เหมาะสมในกรณีนี้คือ ‘การสอนแบบก้าวหน้า’ (Progressive Pedagogy) ซึ่งเป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง การลงมือปฏิบัติ และการแก้ปัญหา มากกว่าการจดบันทึกและท่องจำ การสอนในลักษณะนี้มีความยืดหยุ่นสูงทำให้เราปรับเปลี่ยนเนื้อให้เข้ากับบริบทใหม่ๆ ในปัจจุบันได้
ตัวอย่างการสอนแบบก้าวหน้าที่พบได้ในการศึกษาด้านจริยธรรมเอไอมีดังนี้
- กิจกรรมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ (Hands-on Learning Activities) – เรียนรู้ผ่านการใช้เครื่องมือและชุดข้อมูลจริง เช่น แพลตฟอร์ม Moral Machine ของ MIT ที่จำลองสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจทางจริยธรรม (เช่น เมื่อรถขับเคลื่อนอัตโนมัติเสียการควบคุม เราจะเลือกชนใคร)
- การอภิปราย (Discussions) – ให้นักเรียนพูดคุย ถกเถียง แปลกเปลี่ยน และสะท้อนความคิดกัน เช่น ถกเถียงเกี่ยวกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก (Dilemma) ของการตัดสินใจในสถานการณ์ทางจริยธรรมหนึ่งๆ ว่าหากเลือกทางหนึ่งจะได้และเสียอะไร
- กิจกรรมศึกษากรณีตัวอย่าง (Case Study Activities) – วิเคราะห์เหตุการณ์ตัวอย่างหรือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง เช่น วิเคราะห์การใช้เอไอคัดเลือกคนสมัครงานว่าเหมาะสมหรือไม่ และอาจก่อให้เกิดความไม่เทียมได้อย่างไร
- โปรเจกต์กลุ่ม (Group Projects) – นำกิจกรรมการเรียนรู้ในข้างต้นมาทำเป็นงานกลุ่ม
โดยกิจกรรมเหล่านี้มีวัตถุประสงค์ที่พบมากที่สุดคือ การพัฒนาทักษะการให้เหตุผลทางจริยธรรม รองลงมาคือ การเรียนรู้ความรู้หรือทฤษฎีทางจริยธรรม, การส่งเสริมทักษะการสื่อสาร และการปลูกฝังสัญชาตญาณ (Intuition) เกี่ยวกับจริยธรรม
- ออกแบบ ‘การประเมินผล’ อย่างรอบคอบและสอดคล้องกับวิธีการสอน
งานวิจัยนี้ชี้ว่า การออกแบบการประเมินผลสำหรับการศึกษาด้านจริยธรรมเอไอในปัจจุบันยังไม่เหมาะสมนัก แม้การสอนจะใช้การมองภาพใหญ่และการสอนแบบก้าวหน้า แต่กลับใช้ ‘การประเมินหลังจากเสร็จสิ้นการเรียนรู้’ (Summative Assessment) ที่ไม่สอดคล้องกับกิจกรรมที่ใช้
เช่น ให้เด็กเรียนรู้จริยธรรมเอไอด้วยการเขียนเรื่องราวเชิงสร้างสรรค์ แต่การประเมินกลับใช้การวัดว่าเด็กมีความฉลาดรู้ทางเอไอ (AI Literacy) เพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าการเรียนรู้สิ่งใดก็ตามเกี่ยวกับเอไอย่อมทำให้เด็กมีความฉลาดรู้ทางเอไอที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงไม่มีนัยสำคัญมากนัก ซ้ำยังไม่สามารถวัดได้ว่าเด็กสามารถให้เหตุผลทางจริยธรรมหรือเข้าใจทฤษฎีทางจริยธรรมมากน้อยแค่ไหน
งานวิจัยนี้เสนอว่า เมื่อการศึกษาด้านจริยธรรมเอไอใช้การสอนแบบก้าวหน้า ‘การประเมินควรเกิดขึ้นในระหว่างการเรียนรู้’ (Formative Assessment) เนื่องจากนักเรียนจะได้รับฟีดแบ็กทันที ทำให้รับรู้ว่าตัวเองเข้าใจเนื้อหามากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาสิ่งที่ยังบกพร่องได้อย่างตรงจุด
ตัวอย่างเช่น จากกิจกรรมที่ได้กล่าวไปอย่างการเขียนเรื่องราวเชิงสร้างสรรค์ ครูสามารถใช้เรื่องราวที่เด็กเขียนในการประเมินว่าเด็กมีความเข้าจริยธรรมเอไอมากน้อยแค่ไหนและมีจุดไหนที่ต้องปรับปรุง ไม่จำเป็นต้องรอให้เสร็จสิ้นกิจกรรมแล้วจึงให้ทำแบบทดสอบเพื่อประเมินความเข้าใจ
กล่าวอีกนัยคือ ครูควรประเมินเด็กที่ ‘กระบวนการ’ การทำงาน เช่น ประเมินตั้งแต่การวิเคราะห์และการให้เหตุผลในการศึกษากรณีตัวอย่าง มากกว่าที่จะมุ่งเน้นผลลัพธ์สุดท้ายเพียงอย่างเดียว (อ่านเพิ่มเติมได้ใน EP3)
‘การประเมินหลังจากเสร็จสิ้นการเรียนรู้’ ทำให้ครูทราบได้ก็จริงว่าเด็กมีความเปลี่ยนแปลงจากก่อนและหลังเรียนอย่างไร แต่เด็กอาจไม่ได้นำผลลัพธ์นี้มาปรับใช้ได้มากนัก เพราะการเรียนได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ทั้งนี้ ‘การประเมินในระหว่างการเรียนรู้’ จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เด็กจะได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมและมีโอกาสได้นำไปปรับใช้ในการเรียนครั้งต่อๆ ไป ซึ่งก็จะมีครูคอยดูแลต่อไปอีกเช่นกัน
นอกจากนี้ การออกแบบการประเมินผลให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยวัตถุประสงค์ที่พบมากที่สุดในการเรียนจริยธรรมเอไอ คือ การส่งเสริมให้เด็กมีทักษะ ‘การให้เหตุผลทางจริยธรรม’ ผ่านการทำกิจกรรมที่เน้นการลงมือทำ
แม้วัตถุประสงค์การเรียนรู้จะชัดเจน แต่หากขาดการประเมินผลที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ครูก็ไม่สามารถทราบได้เลยว่าเด็กได้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ ซึ่งอาจนำไปสู่ความสูญเปล่าทางการศึกษา
ปัจจุบันการศึกษาด้านจริยธรรมเอไอกำลังพัฒนาแนวทางต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดประสิทธิผลมากที่สุด เช่น การสอนด้วยภาพใหญ่และใช้กิจกรรมที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ประเด็นทางจริยธรรมที่มีความซับซ้อนเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและเกิดความสนุกไปกับการเรียน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรปรับปรุงเพิ่มเติมคือการออกแบบการวัดผล ควรเน้นการวัดผลระหว่างการเรียนและให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกิจกรรม เพื่อที่ครูจะได้ทราบถึงพัฒนาการของเด็กได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังทำให้เด็กได้รับคำแนะนำที่สร้างสรรค์ ก่อให้เกิดการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป