- เด็กๆ มีความสามารถในการซึมซับและเลียนแบบผู้เลี้ยงดู ทั้งการกระทำแบบเฉพาะกรณี และนิสัยที่คนเลี้ยงดูใช้สอนและปฏิบัติต่อเด็กเอง นิสัยของเด็กจึงสะท้อนให้เห็นถึงนิสัยเอาแต่ใจของพ่อแม่และผู้เลี้ยง
- นิสัยและปฏิกิริยาการตอบสนองของเด็กคนใดคนหนึ่งขึ้นกับปัจจัยต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ลักษณะนิสัยส่วนตัว ความมั่นใจในตัวเอง ระดับความสนใจในเรื่องต่างๆ และความจำหรือความรู้ที่มีสะสมไว้ในตัว
- อยากให้เด็กทำตัวดี คนในครอบครัวก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างด้วย ต้องปลูกฝังนิสัยดีๆ ให้อยู่เป็นประจำ และตระหนักเสมอว่านิสัยเสียของลูกของคุณ บ่อยครั้งก็มีต้นตอมาจากตัวคุณ หรือคนในบ้าน
ถ้าคุณเป็นคนเมือง เรื่องที่คงต้องเคยพบเจอในสถานที่สาธารณะอย่างห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหารอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิตก็คือ การพบเห็นเด็กบางคนลงไปนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นพร้อมกับร้องไห้งอแงส่งเสียงดัง ร้องอยากได้อะไรสักอย่างหรือไม่พอใจอะไรสักอย่าง พร้อมๆ กันนั้นคุณก็จะได้ยินพ่อหรือแม่หรือญาติที่พาเด็กมาตะโกนโหวกเหวกบอกให้เด็กหยุดทำสิ่งเหล่านั้นเสีย โดยบ้างก็ขู่อะไรบางอย่าง บ้างที่ตั้งรางวัลเพื่อให้เลิกงอแงโยเยเสีย และอาจมีบางคนถึงกับทำท่าจะเดินหนีไปเสียจากตรงนั้นจริงๆ
ถึงตอนนี้คุณก็อาจรำคาญ บางคนอาจรำคาญมาก บางคนอาจรำคาญน้อย แต่ก็อาจมีบางคนนึกสงสัยว่า นิสัยของเด็กแบบนี้เกิดมาได้อย่างไร? และอันที่จริงแล้วอาจแก้ไขได้อย่างไร?
ปกติเด็กสักคนจะสามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องแม่ โดยจะมีความสามารถในการจดจำรูปแบบของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ สมองของเด็กจะแยกแยะข้อมูล จัดหมวดหมู่ และพยายามจะนำข้อมูลนี้มาประยุกต์ใช้ทำตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เผชิญอยู่
ในทางภาษาจิตวิทยาเรียกว่าเป็นการเรียนรู้แบบอุปนัย (inductive learning)
วิธีการเรียนรู้แบบนี้ช่วยให้เด็กเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าและสามารถรับมือกับเรื่องท้าทายต่างๆ ที่ไม่คุ้นเคยได้ ทารกทุกคนจะเรียนรู้แบบนี้ไปพร้อมๆ กับการที่สมองสร้างเซลล์สมองเพิ่มเติมและขนาดของสมองที่ใหญ่โตมโหฬารมากขึ้น ทำให้เรียนรู้เรื่องราวที่ซับซ้อนได้มากขึ้น
ปกติสมองของทารกจะเติบโตอย่างรวดเร็วมากในช่วงขวบปีแรกๆ หากได้รับอาหารอย่างเหมาะสม โดยจะมีขนาดสมองใหญ่ขึ้นราว 4 เท่าในช่วงอายุ 5 ปีแรกของชีวิตเทียบกับเมื่อแรกเกิด [1]
นับเป็นช่วงที่สมองเพิ่มทั้งขนาดและจำนวนเซลล์ประสาทอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
ทารกอายุน้อยจะมีความสามารถน้อยมากในการ ‘ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก’ เมื่อถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้า เด็กจึงจำเป็นต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการฝึกฝนนิสัยให้ตอบสนองเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม
การควบคุมตัวเองจึงเป็นพฤติกรรมที่ต้องการการฝึกฝนที่เหมาะสมในช่วงเวลาดังกล่าวนี้และความบกพร่องของพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูที่จะจัดการการอบรมบ่มนิสัยอย่างเหมาะสมในห้วงเวลาสำคัญนี้ก็จะมีส่วนในมุมกลับเป็นการปลูกฝังนิสัยเสียที่ยากจะแก้ให้เด็กไปอีกอย่างยาวนานเช่นกัน
ทีนี้มาดูกันว่าจะทำให้เด็ก ‘ควบคุมตัวเองได้’ ยังไง?
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีปัจจัยหลักอยู่ 3 อย่างที่จำเป็นในการสร้างความสามารถในการควบคุมตัวเองให้กับตัวเด็กประกอบด้วย ความทรงจำเพื่อใช้งาน (working memory) ความยับยั้งชั่งใจ (inhibition ability) และความยืดหยุ่นของการใส่ใจ (attentional flexibility) [1]
ความทรงจำเพื่อใช้งานคือ ความสามารถในการจดจำข้อมูลบ้างอย่างเพื่อนำมาใช้งานในขณะนั้นๆ ความยับยั้งชั่งใจคือ ความสามารถในการกดหรือยับยั้งความต้องการตามธรรมชาติ เอาชนะสัญชาตญาณหรือความต้องการตามธรรมชาติ เพื่อทำบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไป ส่วนความยืดหยุ่นของการใส่ใจคือ ความสามารถในการสลับสับเปลี่ยนความสนใจระหว่างสิ่งของ เรื่องราว หรือความคิดบางอย่างไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว
เมื่อรวมความสามารถทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันแล้ว เด็กน้อยก็จะสามารถควบคุมตัวเองและสามารถคิดหรือทำเรื่องที่จำเป็น จนสามารถเรียนรู้ วางแผน และเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องได้
ปกติความสามารถสองข้อหลังจะดีขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงอายุ 3-4 ขวบ [1] พูดอีกอย่างคือ หากไม่ปลูกฝังความสามารถเหล่านี้ในช่วงอายุนี้แล้ว หลังจากนั้นก็จะถือเป็นเรื่องยากขึ้นมาก
คำชมจากพ่อแม่และความประทับใจของเพื่อนๆ เป็นอีกแรงจูงใจสำคัญให้เด็กในวัยนี้อยากทำหรือมีนิสัยดีๆ ส่วนนิสัยแย่ๆ บางอย่างก็อาจมีฟังก์ชันของมัน ไม่ว่าจะเป็นการกัดเล็บ การม้วนผมเล่น หรือการเต้นเร่าๆ มักเป็นอาการที่เกิดจากความเครียด เบื่อ อึดอัด หรือเหลือทนกับสภาวการณ์ตรงหน้า เมื่อทำแล้วเด็กก็จะผ่อนคลายมากขึ้น หรือไม่ก็สะท้อนภาวะที่สมองประมวลข้อมูลจนทำอะไรไม่ถูก
หากเรื่องคับข้องใจน้อยลงหรือหมดไป อาการเหล่านี้ควรลดลงเรื่อยๆ ตามอายุเด็กที่เพิ่มมากขึ้น
แต่เด็กก็เหมือนลูกของสัตว์ต่างๆ ในแง่ที่ว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่มาจากการเรียนรู้และเลียนแบบ จากนั้นจึงนำมาใช้แบบลองผิดลองถูก หากวิธีการใดใช้ได้ผล เซลล์สมองก็จะสร้างเส้นทางสื่อกระแสประสาทให้วิ่งไปทางนั้น เด็กก็จะอยากทำอย่างนั้นเรื่อยๆ การเลียนแบบส่วนใหญ่อาจดูง่ายสำหรับผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กที่สมองยังไม่เติบโตดีนัก ถือว่าเป็นเรื่องยากทีเดียวที่จะทำท่าทำทางหรือส่งเสียงเลียนแบบ
‘ระบบเซลล์ประสาทแบบกระจกเงา (mirror neuron system)’ เป็นตัวควบคุมดูแลการกระทำแบบนี้ โดยพัฒนาทักษะการเลียนแบบทั้งการแสดงออกทางใบหน้าและคำพูด เด็กที่แสดงอาการเอาแต่ใจ ในแง่หนึ่งจึงระบบเซลล์ประสาทแบบกระจกเงาบกพร่อง
เด็กไม่สนใจและอาจไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร สอนอะไร แต่เรียนรู้และทำความเข้าใจจากสิ่งที่คุณทำ นิสัยของเด็กจึงสะท้อนให้เห็นถึงนิสัยเอาแต่ใจของพ่อหรือแม่ (หรือทั้งสองคน) และพี่เลี้ยง (ซึ่งอาจรวมถึงปู่ย่าตายยายลุงป้าน้าอาที่ช่วยเลี้ยงด้วย) นั่นเอง!
นิสัยและปฏิกิริยาการตอบสนองของเด็กคนใดคนหนึ่งจึงขึ้นกับปัจจัยต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ลักษณะนิสัยส่วนตัว (ซึ่งพันธุกรรมก็มีผล) ความมั่นใจในตัวเอง ระดับความสนใจในเรื่องต่างๆ และความจำหรือความรู้ที่มีสะสมไว้ในตัว
ข้อสุดท้ายนี้เองที่ส่งผลมาก เนื่องจากเด็กเล็กส่วนใหญ่ใช้เวลากับคนในครอบครัว สิ่งที่ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อนิสัยของเด็กจึงได้แก่ สไตล์การเลี้ยงดู (parental style) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเจ้ากี้เจ้าการ การถืออำนาจบาตรใหญ่ วิธีการตอบสนองคำสั่ง การผ่อนผันผ่อนปรนในเรื่องต่างๆ และความเจ้าอารมณ์
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กยังสนใจวิธีเลี้ยงดูตนเอง (parenting practices) ของผู้เลี้ยงดูอีกด้วย ทั้งการกระทำแบบเฉพาะกรณี และนิสัยที่คนเลี้ยงดูใช้สอนและปฏิบัติต่อเด็กเอง พูดง่ายๆ คือ นิสัยที่คนรอบตัวเด็กๆ ทำกันเป็นปกติ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวนั้น
พวกเด็กๆ มีความสามารถในการซึมซับและเลียนแบบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในตัว
มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบราวน์ที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 2014 ที่ระบุว่า เมื่อศึกษาในครอบครัวคนอเมริกันมากกว่า 46,000 ครอบครัว ทำให้รู้ว่านิสัยที่ทำกันอยู่เป็นกิจวัตรในครอบครัว ได้ฝังอยู่ในตัวเด็กตลอดเวลา และจะแก้ไขได้ยากหากเด็กอายุ 9 ปีไปแล้ว [2]
โดยดูจากงานบ้านที่มอบหมายให้เด็กๆ รับผิดชอบ และหากผ่านอายุนี้ไปแล้ว ก็หวังได้ยากว่าเด็กจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น (ในที่นี้คือทำงานบ้านที่ได้รับมอบหมาย)
การปลูกฝังนิสัยความรับผิดชอบให้กับเด็กจึงจำเป็นต้องค่อยๆ ให้เด็กได้เรียนรู้และทำตั้งแต่เด็กเริ่มรู้ความจนกลายเป็นปกติวิสัยของพวกเขาในที่สุด
ความยากที่สุดของเรื่องนี้คือ ในตอนต้นๆ ของการรับผิดชอบงาน เด็กๆ อาจทำได้ไม่ดีนัก เช่น ล้างจานไม่สะอาด หรือทำจานตกแตกบ้าง แต่ผู้ปกครองหรือคนดูแลเด็กต้องใจแข็ง ไม่เข้าไปแทรกแซง และให้เด็กค่อยๆ เรียนรู้ จนจัดการดีขึ้นเองในที่สุด
ดังนั้น อยากให้เด็กทำตัวดี คนในครอบครัวก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างด้วย ต้องปลูกฝังนิสัยดีๆ ให้อยู่เป็นประจำ และตระหนักเสมอว่านิสัยเสียของลูกของคุณ บ่อยครั้งก็มีต้นตอมาจากตัวคุณหรือสามี/ภรรยาหรือพี่เลี้ยงเด็กของคุณนั่นเอง
เอกสารอ้างอิง
[1] Understanding Habits: Discover How to Stop Your Worst Habit Now, 2003, 4th Edition.
[2] Pressman, R. M., Owens, J. A., Evans, A. S., & Nemon, M. L. (2014). Examining the Interface of Family and Personal Traits, Media, and Academic Imperatives Using the Learning Habit Study. The American Journal of Family Therapy, 42(5), 347–363. https://doi.org/10.1080/01926187.2014.935684