- ดีไซเนอร์งานไม้ วัย 34 กับบทบาทใหม่ คือการเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูกคนเดียว และค้นพบว่าการเลี้ยงลูกโดยการปล่อยให้ธรรมชาติช่วยสอนคือวิธีที่ดีที่สุด
- แม้การไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ จะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า แต่ก็กลับมาตั้งหลักได้ใหม่เพราะ ‘ลูก’
- การที่พ่อแม่เลิกกัน อาจไม่ได้สร้างปมให้ลูก แต่กลับสร้างความเจ็บปวดให้พ่อแม่ เพราะรู้สึกผิดที่ไม่สามารถประคองครอบครัวให้อยู่ด้วยกันได้ อยู่ที่ว่าพ่อแม่จะมีวิธีไม่ส่งต่อปมนั้นให้ลูกได้อย่างไร
เรื่อง: รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา,ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
เอกชัย กล่อมเจริญ หรือ โรเบิร์ต ดีไซเนอร์งานไม้ วัย 34 ทุ่มเทกับการออกแบบและพัฒนาแบรนด์ Mink’s ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เน้นความมินิมอล เรียบง่าย ดึงเสน่ห์ของลายไม้ออกมาใช้ในทุกๆ ดีไซน์ จนทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง หากย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนแบรนด์ Mink’s ประสบความสำเร็จจากไลฟ์สไตล์โปรดัคท์ต่างๆ ทั้งโต๊ะไม้ โคมไฟ และเป็นเจ้าแรกๆ ที่ออกแบบและผลิตนาฬิกาหน้าปัดไม้
หลักฐานมากมายช่วยยืนยันความสำเร็จในการเป็นตัวจริงด้านงานไม้ของโรเบิร์ต แต่บทบาทต่อไปที่เขาพยายามอยู่และต้องทำให้ดีไม่แพ้กัน คือ การออกแบบชีวิตครอบครัวตัวเอง
‘คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว’ คือบทบาทใหม่ที่ท้าทายและโรเบิร์ตกำลังรับบทนี้ โดยมี น้องฮาวล์ หรือ ด.ช.รักสร้างสรรค์ กล่อมเจริญ วัย 4 ขวบ ลูกชายคนเดียวเป็นกำลังใจคนสนิท
“เพราะลูกไม่ใช่ลูก แต่ลูกคือเพื่อนที่เข้ามาในชีวิต” โรเบิร์ตบอกว่า แม้เขาจะเป็นคุณพ่อที่เลี้ยงลูกคนเดียวแต่เขาไม่ใช่คุณพ่อโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน
พ่อโรเบิร์ตในวัยเด็ก เป็นเด็กอย่างไร
ผมไม่ค่อยสนิทกับพ่อตัวเองเลย
เพราะธุรกิจที่บ้านทำเกี่ยวกับการค้าขายอะไหล่รถยนต์จากญี่ปุ่น ดังนั้นปีๆ หนึ่งคุณพ่อจะต้องเดินทางไปญี่ปุ่นทุกๆ 3 เดือน บวกกับเราเติบโตมาในครอบครัวที่พี่น้องเป็นผู้หญิงหมดเลย 2 คน ผมเป็นพี่ชายคนโต เมื่อพ่อไม่อยู่ ต้องไปทำงานไกลๆ เราก็ต้องขึ้นมาทำหน้าที่แทนโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าหาเลี้ยงคนในบ้าน แต่ต้องเป็นคนขึ้นมาจัดการงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านแทนพ่อทั้งหมด เช่น ซ่อมไฟ ท่อพัง น้ำไม่ไหล จะเป็นหน้าที่ผมหมดเลย
ครอบครัวเราไม่ได้สนิทกันมาก อยู่กันแบบธรรมดา ผมค่อนข้างเก็บตัว มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว
อาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่งเราเป็นผู้ชาย พอพ่อไม่อยู่ ทั้งบ้านก็เหลือแต่ผู้หญิง นิสัยส่วนตัวเป็นคนเงียบๆ เด็กๆ ถ้าพ่อไม่อยู่ ผมก็จะไม่ค่อยได้ออกไปไหน ไม่ได้ออกไปหาเพื่อน ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว เสาร์อาทิตย์วันหยุดก็อยู่กับครอบครัวเสียมากกว่า
แล้วชีวิตคู่ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
ย้อนกลับไปครอบครัวเราก็มีแค่ผมกับภรรยา ชีวิตเราสองคนเลี้ยงสุนัขเป็นลูก จนถึงเวลาหนึ่ง เราก็เริ่มรู้สึกอยากดูแลใครสักคน ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้แต่งงานกัน แต่คบแฟนอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานานจนมีน้อง สำหรับผม ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของเรามันเลยจุดแต่งงานมาแล้ว เพราะญาติของทุกฝ่ายรับรู้สถานะ ดังนั้นการแต่งงานก็เป็นแค่พิธีหนึ่งสำหรับเรา
ตอนนี้คุณเบิร์ตคือคนที่ดูแลลูกเป็นหลัก?
ใช่ครับ ผมแยกกันอยู่กับคุณแม่น้องฮาวล์หลังน้องเลิกนมได้ไม่นาน แต่ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน คุณแม่น้องฮาวล์เขากลับมาอยู่และใช้ชีวิตส่วนตัวที่กรุงเทพฯ
ผ่านช่วงเวลาแยกทางมาอย่างไร
มันก็หนักหนาอยู่เหมือนกัน ความรู้สึกมันเฟล ผมเชื่อว่าทุกคนก็อยากจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ทั้งนั้น มันเหมือนเป็นความผิดเราส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกต้องมีปัญหา แต่ทุกวันนี้เราก็ใช้ชีวิตกับคุณแม่อย่างปกติ พาน้องฮาวล์ไปเจอคุณแม่ทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และพยายามทำทุกอย่างให้ดีในฐานะที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้
ทำไมยังเชื่อว่าการที่ พ่อ-แม่ ไม่ได้อยู่ด้วยกันจะสร้างความเจ็บปวดให้ลูก
จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้ลูกมากหรอก เพราะเขายังเด็ก แต่มันสร้างความเจ็บปวดให้พ่อแม่เองมากกว่า มันสร้างความผิด ทำให้เรารู้สึกไม่ดีที่ไม่สามารถประคองครอบครัวให้อยู่ด้วยกันได้ อยู่ที่ว่าเราจะไม่ส่งต่อปมนั้นให้ลูกได้อย่างไร ซึ่งผมก็ไม่มีคำตอบเหมือนกัน แต่คงจะทำสิ่งที่ควรทำให้ดีที่สุด
ส่วนการรับรู้ของน้อง เขาจะรู้สึกไปเองตามวัยของเขา ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้บอกหรือดีลกับเขาตรงๆ
เด็กไม่รู้หรอกว่าการเลิกกันคืออะไร ถ้าเขาโตขึ้นเขาอาจจะรู้สึกได้มากขึ้น ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เรื่องจำเป็นเราใช้ชีวิตกันอย่างปกติ ปล่อยให้เวลาค่อยๆ บอกเขา ให้เขาได้เรียนรู้เองตามการเติบโตดีกว่า
การไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัว มันเป็นปมใหญ่ของเรา จนทำให้ต้องไปหาหมอ เรากลายเป็นคนที่มีชีวิตอีกแบบหนึ่ง เราซึมเศร้า เราผิดหวังที่มันไม่เพอร์เฟ็คท์ แต่ตอนนี้ค่อยๆ ดีขึ้น เพราะสิ่งที่โฟกัสคือลูก ลูกคือสิ่งที่ดีที่สุด เป็นสิ่งเดียวที่เรายึดเป็นเป้าหมาย เมื่อก่อนชีวิตเรามีอะไรต้องโฟกัสเยอะไปหมด พอตัดหลายๆ อย่างออกไปได้มันก็ดีขึ้นเอง
ลูกคือสิ่งที่ทำให้ผมไม่เครียด ไม่จม และเปลี่ยนความเศร้าตรงนั้นเป็นแรงผลักให้เราไปต่อ เวลามันช่วยทำให้เราลืมและตั้งหลักได้
ตอนนี้ผมเป็นคนอยู่กับลูกเป็นหลัก แต่อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีคุณตาคุณยายช่วยเลี้ยง เราเป็นฝ่ายเอนเตอร์เทน ออกแรงเล่นกับเขา พาเขาไปเที่ยว ทำกิจกรรม พยายามพาลูกไปเที่ยวในที่ต่างๆ นี่คือเรื่องที่เราโฟกัสเลย ซึ่งมันทำให้เราลืมเรื่องที่จะมาบั่นทอนเรา
ถึงแม้เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวมันจะยาก แต่โชคดีลูกเป็นเด็กผู้ชาย เวลาลูกเล่นหุ่นยนต์ เล่นเลโก้ มันก็เข้าทางเราพอดี ที่นี้ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่เลย
แสดงว่านอกจากคุณเบิร์ต ก็มีญาติๆ คนอื่นช่วยเลี้ยงน้อง
ใช่ครับ ตอนนี้ผมย้ายไปอยู่ที่จังหวัดระยอง เป็นบ้านของคุณตา-คุณยาย พ่อแม่ฝั่งคุณแม่น้องฮาวล์ ซึ่งผมก็ใช้พื้นที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนั้นเปิดเป็นช็อปไม้ของตัวเอง ในช่วงเวลากลางวันคุณตาคุณยายจะช่วยดูแลน้องเป็นหลัก เพราะผมไปทำงาน
ทางบ้านผมและคุณตาคุณยายฝั่งบ้านคุณแม่น้องฮาวล์ เคยมีหลานเป็นผู้หญิงกันหมด น้องฮาวล์คือหลานชายคนแรกของตระกูล ตอนแรกก็ดีใจกันมาก แต่พอเวลาผ่านไปสักพักทุกคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าซนมาก (หัวเราะ) ตามประสาเด็กผู้ชาย เขาแอคทีฟมาก เล่นซนทั้งวัน โลดโผน ปีนนู่นปีนนี่ ไม่รู้จักเหนื่อย บวกกับเคยเลี้ยงแต่หลานผู้หญิงมาด้วย ก็จะเล่นเงียบๆ เรียบร้อย
พ่อแบบคุณโรเบิร์ต เป็นอย่างไร
มันก็อธิบายยากเหมือนกันนะ ตั้งแต่ก่อนมีน้อง-ตอนเขาเกิด-หลังเขาเกิดมาแล้ว ทุกอย่างที่เคยคิดไว้มันก็ไม่เหมือนกันสักอย่าง ความรู้สึกแต่ละช่วงไม่เหมือนกันเลย ยกตัวอย่าง ผมเป็นคนชอบท่องเที่ยวมาก ก่อนน้องจะเกิด เราก็วาดฝันไว้ว่า ‘ชีวิตเราอยากไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ตามใจชอบ’ แต่พอน้องเกิดมา มันทำไม่ได้ ตอนเขายังเด็กๆ ผมเคยจองตั๋วจะไปเที่ยวต่างประเทศ แต่พอเอาเข้าจริงมันไปไม่ได้ ต้องยอมทิ้งตั๋ว ผมไม่กล้าทิ้งลูกไปเที่ยวหรือไปมีความสุข
เมื่อก่อนความสุขเกิดจากสิ่งที่เราทำคนเดียว คือการไปเที่ยว แต่ทุกวันนี้ความสุขของเรามันเกิดจากการพาลูกไปเที่ยว เพราะเห็นลูกมีความสุข นั่นคือความสุขของเรามากกว่า
ผมไม่ได้อยากไปเที่ยวเพราะอยากรู้สึกตื่นเต้นเวลาพิชิตยอดเขาสูงๆ หรือเห็นวิวสวยๆ แต่ผมอยากเห็นรอยยิ้มของลูกเวลาเขาไปกับผม กลายเป็นว่าจุดประสงค์ของผม นั่นคือการไปเที่ยวด้วยกัน พ่อ-ลูก มากกว่า
มองตัวเองเปลี่ยนไปแค่ไหนก่อนและหลังมีลูก
เปลี่ยนไปมากนะ ก่อนจะเป็นพ่อ ผมรู้เรื่องเด็กน้อยมาก แต่ก็คิดว่าการมีลูกต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ซึ่งมันก็จริง
แต่ถามว่าตัวเองเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ก่อนผมใช้ชีวิตลุยๆ ทำงานหนัก ผมทำงานไม้ โดยปกติจะมีการเปิดสอนเวิร์คช็อปในวันเสาร์อาทิตย์ แต่พอมีลูกก็ต้องคิดและแบ่งเวลาใหม่แล้ว จันทร์-ศุกร์ เขาไปโรงเรียน ถ้าเสาร์-อาทิตย์ เรายังทำงานอีก กลายเป็นว่าเราจะไม่มีเวลาอยู่กับลูกเข้าไปใหญ่ ก็ต้องจัดสรรเวลาทำงานใหม่
ส่วนเรื่องตัวตน ผมเป็นคนใจเย็นอยู่แล้ว พอมีลูกอยู่กับเด็กก็ไม่ได้มีปัญหาต้องปรับอะไรมาก
ในการเริ่มต้นเป็นพ่อ เรากังวลหรือคาดหวังอะไรบ้างในตัวเอง
ต้องบอกก่อนว่าเราบังเอิญมีน้อง แต่เราแฮปปี้มาก สิ่งที่ตามมาเราก็คาดหวังกับตัวเองว่าเราจะเป็นพ่อได้ดีไหม อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้สนิทกับพ่อ ไม่มีปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพ่อมาก่อน คิดไปต่างๆ ว่าเราจะเลี้ยงเขาได้ไหม เราจะทำเป็นไหม จะเลี้ยงแบบไหน ใช้ชีวิตกับลูกอย่างไร แต่พอมีลูกจริงๆ เราไม่โฟกัสกับความคาดหวังอะไรเลย ปล่อยให้ธรรมชาติสอนเราเอง
แล้วธรรมชาติสอนอะไรเราบ้าง
ธรรมชาติทำให้เราได้รู้ว่า ‘เราเลี้ยงลูกได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดตำราดู’ เราเลี้ยงเขาจากการดูว่าเขาเป็นเด็กอย่างไรโดยอาศัยเวลาจากการที่เราอยู่กับเขาบ่อยๆ เล่นกับเขา ใช้ชีวิตกับเขา จะทำให้เรารู้ว่าควรจะใช้วิธีอะไรสอนเขา
ผมมองว่าการเลี้ยงไม่ต่างอะไรจากการเล่นเกมเลย เราไม่สามารถบังคับเขาเหมือนตามตำราบอก เด็กแต่ละคนมีธรรมชาติต่างกัน การที่ลูกดื้อก็คือเกมหนึ่งเกมที่พ่อแม่จะต้องหาวิธีแก้ไปเรื่อยๆ อยู่ที่ว่าใครจะเจอวิธีแก้ที่เหมาะสมกับตัวเองได้เร็วกว่ากัน
สมมุติน้องฮาวล์ดื้ออยากได้ของเล่น ร้องไห้ ผมจะใช้วิธีบอกลูกไปเลยว่า ‘วันนี้พ่อไม่ได้เอากระเป๋าตังค์มา พ่อไม่มีตังค์ ซื้อให้ลูกไม่ได้’ ก็ใช้วิธีแบบนี้แก้เกมไป เขาดื้อตรงนี้ก็แก้ตรงนี้ โดยที่ไม่ต้องไปเปิดตำราดู ใช้ธรรมชาติของลูกสอนเราเป็นหลัก
พ่อแม่ส่วนใหญ่มักเลี่ยงไม่ได้กับการเปรียบเทียบตัวเอง เราเป็นอย่างนั้นไหม
ยอมรับว่าเรื่องนี้เรายังโฟกัสกับมันอยู่ ผมโตมากับครอบครัวที่ชอบเปรียบเทียบ เวลาเราไปเจอญาติๆ เจอพี่น้อง ได้ฟังว่าคนนู้นคนนี้สอบได้ที่นั่นที่นี่ ซึ่งผมไม่ค่อยโอเคกับสิ่งนี้สักเท่าไร พอสิ่งไหนเราไม่โอเค ก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับลูก ผมก็ไม่คาดหวัง หรื่อเร่งให้ลูกต้องทำแบบนั้นแบบนี้ให้ได้ มันไม่จำเป็น ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติมากกว่า เช่น การไปโรงเรียน ผมก็ไม่ได้เร่งรัดให้เขาต้องรีบอ่านหนังสือได้ หรือเน้นการท่องจำ อยากให้เขาได้ทำอย่างอื่นที่สร้างการเรียนรู้ไปด้วยมากกว่า อย่างการเล่นเลโก้ ปั้นดินน้ำมัน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เขาชอบ
เราเห็นพัฒนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเขาผ่านการเล่น ซึ่งโรงเรียนอาจให้ไม่ได้อย่างเต็มที่ เพราะต้องทำตามสิ่งที่ครูบอก ต้องเขียน ต้องคิดตามคำสั่ง น้องฮาวล์เลยเป็นเด็กที่หยุดเรียนบ่อยมาก ซึ่งผมนี่แหละที่เป็นคนให้เขาหยุด ผมอยากให้เขาเล่นมากกว่า แต่ถ้าความคิดโซนปู่ย่าตายายเขาก็จะมีความคิดอีกแบบหนึ่ง เราก็ต้องบาลานซ์ทั้งสองความคิดให้ได้
การเล่นของลูก เชื่อมโยงกับงานไม้ที่เราทำอย่างไร
ผมไม่ได้ตั้งใจหรือบังคับให้ลูกต้องมาเรียนรู้ผ่านสิ่งที่ผมทำ แต่ธรรมชาติของเด็ก เมื่อเขาอยู่ใกล้อะไร เขาก็จะเรียนรู้ได้เอง เป็นกลไกธรรมชาติที่เจ๋งมาก
เวลาอยู่ด้วยกันผมไม่ได้สอนหรือบอกให้เขาไปเจาะไม้ แต่เขากลับเดินไปหยิบเศษไม้ หยิบไขควงมาไขน็อตเอง เป็นเรื่องที่เราประหลาดใจเพราะไม่เคยสอนเขา แต่มันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องสมองเด็กที่ทำให้เขาซึมซับจากสิ่งที่พ่อทำ ผมจึงเชื่อว่าเด็กคนหนึ่ง ถ้าโตขึ้นมาในสังคมหรือครอบครัวที่ทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์ เด็กก็จะซึมซับไปได้เอง
น้องสนุกกับการทำอะไรที่สุดในวัยนี้
เขาดูจะเอ็นจอยกับการได้ทำอะไรไปเรื่อยๆ เช่น นั่งต่อเลโก้ ปั้นดินน้ำมัน คือปั้นได้ทั้งวัน ปั้นแล้วปั้นอีก โชคดีที่เขาจะมีสมาธิกับการเล่นอะไรนานๆ ผมไม่ค่อยให้เขาเล่นโทรศัพท์เท่าไร อย่างมากก็พาเขาดูทีวี ดูการ์ตูนยูทูบด้วยกัน
พอรู้ว่าน้องชอบอะไร ส่งเสริมหรือวางแผนอะไรต่อบ้าง
พวกอุปกรณ์หรือของเล่นที่เขาชอบเราก็ต้องสนับสนุน ซื้อให้เขาเล่น น้องฮาวล์ชอบเล่นหุ่นยนต์แปลงร่าง ตอนแรกผมไม่ได้สนใจเขาอยากเล่นก็ซื้อให้ แต่เริ่มสังเกตไปเรื่อยๆ เวลาเขาเล่นเขาจะเริ่มบิด เริ่มต่อ เริ่มพับ มันมีเรื่องของเมคานิค (mechanic) เข้ามาเกี่ยวข้องโดยที่เราไม่รู้ตัว บางครั้งตัวยากๆ ผมยังทำต่อไม่ได้เลยแต่เขากลับทำได้ อีกเรื่องหนึ่งคือการพยายามพาลูกเที่ยว
เพิ่งรู้ว่าการพาลูกไปเที่ยวถือเป็นการได้เรียนรู้ลูกอย่างหนึ่ง
ผมเริ่มพาลูกไปเที่ยวหลังจากที่แยกกับคุณแม่ เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกต้องอยู่คนเดียว เคยพาน้องไปน้ำตกซึ่งมันต้องเดินไกลมากกว่าจะได้เห็นต้นน้ำ ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเอาด้วย แต่พอถึงจุดนั้นแล้วเขาไม่งอแง เขาแฮปปี้ บางทีก็ทำให้เราคิดว่า ‘พ่อแม่ไม่ควรคิดแทนลูกหรือเด็ก’ บางทีสิ่งนั้นอาจเป็นสิ่งที่เขาต้องการหรืออยากไปเห็นได้ด้วยตัวเองมากกว่า
อีกอย่างเราได้เห็นพัฒนาการของลูกผ่านการเที่ยวด้วย
เมื่อคุณส่งลูกเรียนเปียโน แน่นอนว่าลูกก็ต้องเล่นเปียโนได้ แต่การเลี้ยงแบบพาไปเจอของจริง หรือปล่อยให้เขาเล่นไปเรื่อยๆ แล้วเขาทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้โดยที่เราไม่ต้องสอน นั่นคือว้าวโมเมนต์สำหรับผม
พาลูกเที่ยวที่ไหน แบบไหนบ้าง
ผมชอบพาไปที่เหนื่อยๆ (หัวเราะ) แต่สถานที่ที่ลูกชอบคือสวนสัตว์ ผมเลยกลายเป็นนักล่าสวนสัตว์ไปเลย ส่วนใหญ่จะพาไปตามสถานที่ธรรมชาติ พาเขาไปเจอของจริง เขาจะรู้จักสิ่งต่างๆ มากกว่าเห็นในหนังสือ นอกจากพาไปแล้วเราก็จะสนับสนุนข้อมูลเขาให้ได้มากที่สุด เช่น ไปดูวาฬ เราก็จะสอนว่านี่เป็นวาฬชนิดอะไร พันธุ์อะไร
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวของสองพ่อลูกได้ที่เพจ Daddy on the way
คาดหวังอะไรบ้างในตัวลูก
ตอนนี้ยังไม่ได้ให้คาดหวังอะไร ปล่อยให้เขาได้เล่น ให้เขาโตตามแบบที่เขาเป็น ตามธรรมชาติที่ติดตัวมา สิ่งหนึ่งผมสังเกตได้จากเล่นปั้นดินน้ำมันของเขา คือผมไม่รู้ว่าเด็กคนอื่นเล่นอย่างไร
น้องฮาวล์อยากได้กันดั้มมาก แต่พ่อไม่ซื้อให้ เขาใช้วิธีปั้นชิ้นส่วนเล็กๆ ค่อยมาประกอบกันเป็นหุ่นยนต์ ผมก็เออ ‘เฮ้ย ถ้าเป็นเราตอนเด็กก็คิดไม่ได้แบบนี้ อยากได้หุ่นยนต์ก็ปั้นเป็นตัวเลย’
แต่ถ้าถามว่าในอนาคตคงจะ Homeschool ไหม ก็คงไม่ เพราะเรายังไม่มีศักยภาพและความพร้อมมากพอ คงใช้วิธีส่งเสริมพัฒนาและพาเขาไปเที่ยวเล่นมากกว่า
ถ้าย้อนมองลูกตอนนี้กับชีวิตเราวัยเด็ก แตกต่างหรืออยากเพิ่มเติมอะไรบ้าง
คล้ายๆ กัน ชีวิตวัยเด็กของผมโตมากับครอบครัวเป็นหลัก แต่จะต่างกันที่ผมอยู่ในสังคมที่ผู้ใหญ่ตัดสินใจให้เราหมดเลย และห้ามเยอะ ห้ามทำนู่น ทำนี่ จนทุกวันนี้ก็รู้สึกว่าบางอย่างเราก็รู้สึกไปด้วย เช่น ห้ามไปเที่ยวกลางคืน ห้ามกลับดึก ซึ่งผมก็กลายเป็นคนไม่ชอบไปเที่ยวกลางคืนไปเลย แม้บางครั้งที่โตแล้ว ดูแลตัวเองได้ เราก็ไม่สนุกกับสิ่งนั้นอีกแล้ว ซึ่งถ้าผมจะมาสอนลูกต่อก็คงใช้วิธีบอกด้วยเหตุผลมากกว่าการห้าม บอกว่าเราเป็นห่วงเขา อะไรก็ว่าไป
ผมว่าการเลี้ยงลูกในยุคสมัยนี้ พ่อแม่ควรเอาบทเรียนในวัยเด็กมากางออกแล้วดูว่าอะไรที่เราไม่ชอบจากพ่อแม่ของเรา ก็ปรับอย่ามาส่งต่อให้ลูกของเรา เพราะเด็กที่มีความสุขไม่ได้แปลว่าต้องมีความสามารถพิเศษ ต้องเรียนไวโอลิน เป็นนักว่ายน้ำ หรือแข่งโอลิมปิก อีกต่อไปแล้ว
แค่เราเห็นลูกแฮปปี้กับสิ่งที่เราให้ แปลว่านั่นเรามาถูกทางแล้ว ต่อจากนี้ชีวิตพ่อลูกแบบเราก็คือการหาเรื่องเที่ยวกันต่อ (หัวเราะ)