- การสื่อสารไม่ใช่แค่คำพูด แต่รวมถึงการสัมผัส สายตา ท่าทาง และการรับฟังอย่างตั้งใจ พ่อแม่ควรเริ่มต้นสื่อสารกับลูกตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่อให้ลูกกล้าพูดคุยและรู้สึกปลอดภัยเมื่อต้องเผชิญปัญหาในอนาคต
- ความหมายของคำหรือพฤติกรรม อาจตีความต่างกันระหว่างพ่อแม่กับลูกวัยรุ่น พ่อแม่ควรเปิดใจ ไม่รีบตัดสิน รับฟังจนจบ และสื่อสารด้วยความเข้าใจ โดยใช้ภาษากายและคำพูดที่ชัดเจน ซื่อตรง และอ่อนโยน
- ในวันที่ลูกยังพูดคุยกับเรา ขอให้เราดีใจ เพราะลูกรักและนึกถึงเราเสมอ และในวันที่ลูกมีปัญหา แล้วเขามาเล่าให้เราฟังเป็นคนแรก ขอให้เราภูมิใจ เพราะสำหรับลูก เราเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเขา
‘การสื่อสารที่ส่งสารไปไม่ถึง’
ยุคปัจจุบันมีเครื่องมือสื่อสารเข้ามาแทรกแซงคั่นกลางระหว่างบุคคลกับบุคคล โดยเฉพาะระหว่างคนในครอบครัว พ่อแม่ลูกที่ใช้เครื่องมือเหล่านี้สื่อสารแทนการเข้ามาพูดคุยกันจริงๆ ตัวต่อตัว สายตาที่มองผ่านจอนั้นต่างกับการได้มองตากันในชีวิตจริง น้ำเสียงที่ส่งผ่านเครื่องมือเหล่านั้น บางครั้งไม่อาจส่งต่อความรู้สึกไปถึงอีกฝ่ายได้ ทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อน สารบางอย่างถูกมองข้ามไป โดยเฉพาะสารที่แทรกความรู้สึกภายในใจเข้าไป
ยกตัวอย่างการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนระหว่างวัย
อีโมจิต่างๆ ไม่อาจจะส่งต่อความหมายที่แท้จริง เพราะพ่อแม่ลูกเข้าใจคนละแบบ
- ‘อีโมจิหน้ายิ้ม’ สำหรับพ่อแม่อาจจะหมายถึง ‘ยิ้ม’ อย่างมีความสุข แต่สำหรับลูกวัยรุ่นอาจจะหมายถึง ‘การฝืนยิ้ม’ และเป็นยิ้มที่ไม่จริงใจเอาเสียเลย
คำที่ถูกย่อกระชับจนไม่อาจแปลความหมายได้ตรง และคำแปลกๆ ที่ถูกนำมาใช้แทนที่คำปกติที่ใช้กัน
- เสียงหัวเราะจาก ‘5555’ ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็น ‘555971835’ เพราะลูกวัยรุ่นมองว่าการหัวเราะที่ใช้เลขห้าล้วนๆ ดูไม่ใช่การหัวเราะอย่างแท้จริง ดูฝืนหัวเราะเกินไป
- เหล่าคำย่อที่คาดไม่ถึง ‘คถ.’ ที่มาจากคำว่า ‘คิดถึง และ ‘มปร.’ ที่มาจากคำว่า ‘ไม่เป็นไร’
และการใช้สติกเกอร์แทนความรู้สึก และอีกมากมายที่พ่อแม่ต้องใช้เวลาปรับตัวเรียนรู้ลูกวัยรุ่น
แต่สุดท้ายแม้จะมีการพูดคุยกันซึ่งๆ หน้า บางครั้งพ่อแม่เองก็ไม่กล้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริง หรือพูดไม่ตรงกับใจ เพราะอาจจะเคยชินกับการเก็บความรู้สึก เมื่อต้องพูดความรู้สึกออกไป กลับไม่สามารถพูดตรงไปตรงมาได้
ยกตัวอย่างการเก็บความรู้สึกของพ่อแม่
- อยากบอกรักลูก แต่ใช้คำถามหรือคำพูดอื่นแทน เช่น “หิวยัง มากินข้าวสิ แม่ทำกับข้าวไว้” “นอนให้มันเร็วๆ หน่อย”
- เมื่อลูกบอกรักและพยายามเข้ามากอด กลับตอบลูกกลับด้วยการพยักหน้า หรือ ทำตัวแข็งแล้วเดินหนีด้วยความเขินอาย ทั้งๆ ที่ก็อยากกอดและบอกรักกลับ
- เมื่อลูกทำอะไรให้ กลับไม่กล้า ‘ขอบคุณ’ เพราะคิดว่าลูกเด็กกว่า การขอบคุณจะทำให้เสียการควบคุม
- เมื่อลูกทำได้ดี กลับไม่กล้า ‘ชม’ เพราะเคยได้รับการสอนมาว่า ‘ชมมากเดี๋ยวลูกจะเหลิง’
- เมื่อทำผิดต่อลูก กลับไม่กล้า ‘ขอโทษ’ แล้วใช้การง้อด้วยวิธีเบี่ยงความสนใจแทน เช่น “กินข้าวยัง” “นอนยัง” และอื่นๆ
ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้เราสื่อสารถึงกันอย่างเข้าใจกัน ไม่ใช่แค่เพียงแค่ลูกที่ต้องปรับตัว แต่พ่อแม่เองก็ต้องปรับตัวเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างปรับเข้าหามาเจอกันตรงกลาง
การสื่อสารควรเริ่มต้นตั้งแต่ลูกยังเด็ก
พ่อแม่คือบุคคลแรกที่ลูกสื่อสารด้วย และเขาควรกล้าสื่อสารกับพ่อแม่ตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อที่เขาจะกล้าสื่อสารในวันที่เติบโตเป็นวัยรุ่น และเป็นผู้ใหญ่ต่อไป
ในวันที่ลูกอยู่ในท้อง และยังพูดไม่ได้ พ่อแม่เป็นฝ่ายสื่อสารกับเขาก่อน คุยกับเขา เล่านิทาน ร้องเพลง และโอบกอด การสื่อสารไม่ได้จำกัดไว้เพียงแค่ ‘คำพูด’ แต่ ‘ท่าทาง’ ก็เป็นภาษากายที่ทำให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่กำลังสื่อสารกับเขา
ในวันที่ลูกเริ่มพูดสื่อสารได้ ขอให้พ่อแม่รับฟังลูกไม่ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ เพราะลูกจะรับรู้ว่าพ่อแม่รับฟังเขาไหม จากวันนี้ที่เขาคุยกับเราแล้วเรายังรับฟังเขา
ภาษากายที่สามารถช่วยให้พ่อแม่จะสื่อสารให้เข้าถึงหัวใจของลูก
(1) การวางทุกอย่างตรงหน้าลงเพื่อสื่อสารกับลูกเพื่อให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย
การทำเช่นนั้นทำให้ลูกรับรู้ว่าพ่อแม่พร้อมที่จะตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด และสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพ่อแม่
รับฟังเสียงของลูกที่เปล่งออกมาและเสียงที่อยู่ข้างใน
มองเข้าไปในตาของเขารับรู้ความรู้สึกและสิ่งที่เขาต้องการจะบอก
ในกรณีที่เราไม่สามารถหยุดที่สิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าได้ทันที
ควรบอกลูกให้ชัดเจนว่า “ขอเวลา….นาทีแล้วจะฟังลูก ลูกช่วยรอก่อนนะ พ่อแม่อยากฟังลูกมากจริง”
ลูกรับรู้ว่าพ่อแม่ให้ความสำคัญกับเขาไหม จากการที่เราใส่ใจมากพอที่จะรับฟังและจดจำเรื่องที่เขาคุยกับเราได้
‘เมื่อเราให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากพอ เราจะสามารถหาเวลาให้กับสิ่งนั้นได้เอง’
(2) การสัมผัสเพื่อสื่อสารความรู้สึกเพื่อให้ความรักส่งถึงกัน
เมื่อต้องการบอกรักลูกหรือให้กำลังใจเขา การสัมผัสที่ตัวเด็กโดยตรง อย่างการกอดแน่นๆ ลูบหัว บีบที่ไหล่เบาๆ อาจจะทำให้เด็กรับรู้ถึงความรู้สึกได้ดีกว่าการแค่พูดบอกเขา
ยกตัวอย่างเช่น
- การกอดแน่นๆ เพื่อส่งกำลังใจให้ลูกก่อนส่งเข้านอน ไปโรงเรียน หรือ ไปแข่งขัน
- เวลาทำสัญญาอะไรกับลูกหากเราลองใช้การเกี่ยวก้อยสัญญา ลูกจะรู้สึกว่า ‘เราให้ความสำคัญกับ
สิ่งที่เราสัญญามากจริงๆ’ แม้นั่นจะเป็นแค่สัญลักษณ์เท่านั้น แต่สำหรับลูกคำสัญญาที่เกี่ยวก้อยกันนั้นมีความพิเศษมาก เพราะนั่นคือความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับเขา
นอกจากนี้การชื่นชมลูกก็สามารถใช้ภาษากายง่ายๆ เช่น ‘Hi-five (แปะมือ)’ ‘ชูนิ้วโมงเพื่อบอกลูกว่า เยี่ยมมาก’ หรือ ‘การปรบมือให้ลูกเมื่อทำได้ดี’
(3) การย่อตัวลงมาเพื่อให้สายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกันกับสายตาของเด็ก เพื่อให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่กดดันหรือควบคุม
เมื่อเราอยู่ในระดับเดียวกับลูก เขาจะไม่รู้สึกถูกกดดันและรู้สึกปลอดภัย เพราะเวลาที่เราอยู่ในระดับเดียวกัน การพูดคุยกันจะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า ไม่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นเรื่องแบบไหนก็ตาม ที่สำคัญการทำเช่นนั้นเป็นการให้เกียรติลูก เมื่อลูกได้เรียนรู้ว่าพ่อแม่ให้เกียรติเขาเป็นเช่นไร เขาจะให้เกียรติเช่นนั้นกลับมาหาเรา และแผ่ขยายไปสู่การให้เกียรติผู้อื่นอีกด้วย
(4) การมองหน้าสบตากันเพื่อให้ความรู้สึกส่งถึงอีกฝ่าย
เมื่อเราต้องการสื่อสารสิ่งสำคัญกับลูก เราควรมองตาเขา แล้วพูดกับเขาให้ชัดเจน เพราะการมองตา ทำให้ลูกเข้าใจว่าเราต้องการคุยกับเขาและสิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เขาควรตั้งใจฟัง ในทางกลับกันเมื่อลูกพยายามสื่อสารกับเรา ให้เรามองเข้าไปในตาเขา เพราะแววตาที่แสดงออกมา มักจะสื่อความรู้สึกของผู้พูดออกมากด้วย
แววตามักไม่เคยโกหกใคร ด้วยเหตุนี้การที่เรามองตากัน ทำให้เราสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ดีขึ้น พ่อแม่จะเข้าใจลูกมากขึ้นว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เรากำลังพูดกับเขา
(5) การสัมผัสตัวเพื่อให้การสอนและทำให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างแท้จริงว่าต้องทำอย่างไร
เวลาที่เราจะสอนสิ่งใหม่ๆ ให้กับลูก โดยเฉพาะลูกปฐมวัย การสัมผัสร่างกายและพาร่างกายของเขาเคลื่อนไหวไปตามเรา ร่างกายของลูกจะเรียนรู้และจดจำการเคลื่อนไหวนั้น แรงและน้ำหนักที่ใช้ก็กะได้ดีขึ้น ทำให้การทำตามได้ง่ายขึ้น
ในขณะเดียวกันเวลาที่ลูกทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม การพูดห้ามหรือเตือนอย่างเดียว อาจจะไม่สามารถหยุดลูกได้ ดังนั้นเราควรเข้าไปห้ามเขาด้วยการเข้าถึงตัว จับมือเขา พร้อมมองหน้าสบตา และบอกชัดเจนว่า ‘ไม่ทำ’ ก่อนที่จะสอนเขาว่าอะไรควรทำและทำอย่างไรต่อไป
เมื่อสื่อสารกับลูกโดยใช้ภาษากายเหล่านี้ร่วมด้วย ลูกจะกล้าพูดคุยกับเราทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่เขาลำบากใจมากขึ้น เพราะเมื่อเขารู้สึกว่า พ่อแม่รับฟัง และเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับเขา การสื่อสารกับพ่อแม่จึงเป็นเรื่องทำได้ง่ายขึ้น
การสื่อสารกับลูกวัยรุ่นเริ่มต้นจาก พูดให้ชัด บ่นให้น้อย และรับฟังให้มาก
การรับฟังที่ดีไม่ใช่เพียงแค่หูได้ยินเสียง แต่หมายถึงการนั่งลงข้างๆ ลูก แล้วหันไปมองให้เห็นนัยน์ตาของเขา จากนั้นเปิดใจรับฟังให้ได้ยินเสียงหัวใจของลูกด้วย ซึ่งการรับฟังที่ดีประกอบไปด้วย
(1) ‘รับฟังด้วยใจที่เป็นกลาง’
อย่าเพิ่งตัดสินเขา บางครั้งเราอาจจะรู้จักลูกระดับหนึ่ง ทำให้เราใช้ความคุ้นเคยนั้นมาตัดสินตัวเขาในวันนี้
(2) ‘รับฟังจนจบ’
รับฟังสิ่งที่ลูกกำลังจะเล่า และอย่าเพิ่งรีบสอนหรือตัดสินเขา เพราะถ้าเราทำเช่นนั้น ลูกจะหยุดเล่าทันที และครั้งต่อไปเราอาจจะไม่ได้มีโอกาสรับฟังเขาอีก
(3) ‘รับฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่แท้จริง’
แม้ว่าเราจะอยากจะไปสู่บทสรุปและลงมือแก้ปัญหาให้ลูกมากเพียงใด แต่บ่อยครั้งการแก้ปัญหาทันที อาจจะทำให้เราพลาดบางสิ่งที่สำคัญไป และบางครั้งปัญหาที่เรานึกว่าแก้ได้แล้ว อาจจะไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงด้วยซ้ำ
บางครั้งลูกแค่ต้องการระบายความในใจและปรึกษาถึงแนวทางแก้ปัญหาของเขา ลูกมีวิธีในใจอยู่แล้ว และการที่พ่อแม่พยายามบอกวิธีแก้ปัญหาให้ ลูกอาจจะลำบากใจ หรือรู้สึกไม่ได้รับการรับฟังมากกว่า แต่ถ้าพ่อแม่คิดว่าวิธีของลูกดูไม่เหมาะสม เราสามารถให้ความเห็นโดยไม่ตัดสินลูกได้ ผ่านการตั้งคำถามและพูดในมุมของเราได้
เช่น “ถ้าลูกทำแบบนั้น ลูกคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง แล้วจะรับมืออย่างไร” และ “ถ้าเป็นพ่อแม่จะทำแบบไหน”
(4) ‘รับฟังสิ่งที่ซ่อนอยู่’
สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดของลูกคือ ‘ความรู้สึก’ ที่เขาไม่สามารถบอกออกมาได้ แต่ถ้าหากเราใช้เวลาอยู่กับเขามากพอเราจะมองเห็นความรู้สึกเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ‘ความกลัว’ ‘ความเศร้า’ ‘ความกังวล’ ‘ความโกรธ’ และความรู้สึกที่เขาไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ชัดเจน แต่เราสามารถรับรู้ได้หากเรารับฟังลูกจากใจจริง
(5) ‘รับฟังเพื่อรับฟัง’
พ่อแม่คือบุคคลแรกที่สามารถเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับลูกได้ผ่านการเป็นผู้ฟังที่ดี และเปิดรับลูกด้วยหัวใจ เมื่อลูกรับรู้ว่าตัวเองได้รับการรับฟัง เขารู้สึกเป็นที่รักและเป็นที่ต้องการ การเยียวยาจิตใจได้เกิดขึ้นแล้ว แม้ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขทันทีก็ตาม
เมื่อลูกมีพลังใจที่ดีจากพ่อแม่ เขาจะมีแรงไปเผชิญปัญหาต่อไป ขอให้เรารับฟังลูกในวันนั้น วันที่เขาต้องการเรามากที่สุด
หากวันนี้ที่ลูกเริ่มกลายเป็น ‘วัยรุ่น’ มีภาษาแปลกๆ มากมายที่สื่อสารมาถึงเรา ขอให้พ่อแม่อย่าลืมว่า ‘ไม่ว่าลูกจะสื่อสารกับเราแบบใด ภาษารักเรียบง่ายและเข้าใจง่ายเสมอ’ การพูดสื่อสารตรงไปตรงมาที่ง่ายที่สุด
- เมื่อรู้สึกอย่างไรก็สื่อไปเช่นนั้น ‘บอกรัก’ ‘ขอบคุณ’ ‘ขอโทษ’ ‘คิดถึง’ และ ‘ไม่เป็นไร’
- เมื่อสงสัยอะไรให้เราถามออกไป “เป็นอะไรหรือเปล่า” “อยากให้ช่วยอะไรไหม”
- เมื่อโกรธและไม่พอใจ เราสามารถบอกได้เช่นกัน “รู้สึกโกรธที่ลูกทำแบบนี้” “เสียใจนะ” จากนั้นให้บอกลูกด้วยว่าต้องการอะไรจากเขา ‘อยากให้ลูกเข้าใจและปรับยังไง’
- เมื่อต้องการสอนอะไร งดการบ่น ประชัดประชัน และสอนตรงไปตรงมา “ลูกควรทำแบบนี้” สั้นๆ กระชับ และถ้าลูกทำไม่ได้ให้เราสอนเขาด้วย
สุดท้าย หากไม่พร้อมรับฟังกันและกัน หรือพูดดีๆ ต่อกัน ให้ ‘ขอเวลานอก’ เพื่อสงบอารมณ์และทบทวนตัวเอง ก่อนจะกลับมาสื่อสารกันใหม่
ในวันที่ลูกยังพูดคุยกับเรา เล่าเรื่องราวมากมาย จนเราแทบจะทนฟังไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ขอให้เราดีใจ เพราะลูกรักและนึกถึงเราเสมอ และในวันที่ลูกมีปัญหา แล้วเขามาเล่าให้เราฟังเป็นคนแรก ขอให้เราภูมิใจ เพราะสำหรับลูก เราเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเขา
การสื่อสารที่ส่งความรักไปถึงลูกที่ง่ายที่สุดคือ ‘กอดแน่น บอกรัก และรับฟัง’