- ทักษะที่ทำให้เด็กไปถึงฝั่งฝัน หรือ แม้จะไม่ถึงฝั่งฝันก็ยังเติบโตต่อไปได้โดยไม่แหลกสลายไปก่อนระหว่างทาง ทักษะนั้นก็คือ ‘การล้มแล้วลุก’ ซึ่งมาจากการมีความทนทานและความยืดหยุ่นทางจิตใจ หรือ ที่เราเรียกว่า ‘Resilience’
- เมื่อผิดหวังก็ต้องเรียนรู้ที่จะล้มแล้วลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง เพราะโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกครั้งที่พยายามจะสำเร็จ และก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะได้ดังหวัง
- Resilience คือภูมิคุ้มกันทางใจที่ช่วยให้เด็กๆ เติบโตเป็นตัวเองและยังคงคุณค่าภายในตัวเองไว้ได้ แม้ในวันที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับปัญหา ความท้าทาย ที่นำไปสู่ความผิดหวังอีกมากมายในชีวิต
‘ความฝัน’ จุดเริ่มต้นของการตั้งเป้าหมาย
เด็กทุกคนมีความฝัน แม้บางฝันอาจจะดูไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ทุกฝันก็มีค่าและมีความสำคัญกับเด็กๆ ทุกคน เพื่อที่พวกเขาจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีคุณค่าและมีจุดมุ่งหมาย
ฝันเล็กๆ ที่ทำได้แน่นอนในเร็ววัน เช่น
- อยากเป็นพี่ประถมเสียที จะได้ไม่ต้องนอนกลางวันอีกต่อไป
- อยากกินเผ็ดเป็น จะได้กินอาหารเหมือนพี่โตๆ และผู้ใหญ่
- อยากซื้อไอศกรีมเอง โดยไม่ต้องให้พ่อแม่ไปด้วย
- อยากปั่นจักรยานสองล้อได้ โดยไม่ล้ม และอยากลองปล่อยมือสองข้างขณะปั่นด้วย
ไปจนถึงฝันใหญ่ๆ ที่ต้องใช้ความพร้อม เวลายาวนาน แต่ก็ยังไม่แน่ไม่นอนว่าปลายทางจะสำเร็จไหม เช่น
- อยากเป็นหมอ เพื่อจะได้มารักษาทุกคน
- อยากเป็นนักบินอวกาศ ไปสำรวจดาวดวงใหม่
- อยากเป็นคนดัง ที่มีคนติดตามในโซเชียลเน็ตเวิร์กมากมาย
- อยากเป็นเศรษฐี มีบ้านหลังโต และรถคันใหญ่เป็นของตัวเอง
หลายความฝันเกิดจาก ‘ความต้องการ’ เพราะตอนนี้ยังไม่มี หรือ ยังทำไม่ได้ แต่ความฝันจะเป็นจริงไหมนั้น ต้องใช้ ‘ความอดทนพยายาม’ ‘ความมั่นคงทางกายใจ’ และ อีกหลายๆ ปัจจัยภายนอกที่เด็กๆ ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้ว่าฝันนั้นจะทำได้หรือไม่ จนกว่าจะได้ลองทำอย่างเต็มที่และพยายามอย่างสุดกำลัง จนไม่เหลือสิ่งที่เจ้าตัวสามารถทำได้แล้ว เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถปล่อยวางจากความฝันนั้นไปสู่ความฝันอื่นได้
‘กว่าฝันจะสำเร็จ’ ระหว่างทางต้องไม่แหลกสลายไปเสียก่อน
ระหว่างทางเด็กๆ ต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย บางอุปสรรคเหมือนกำแพงสูงหนาที่กั้นพวกเขาเอาไว้ และบางอุปสรรคอาจจะทำให้พวกเขาอาจจะล้มลุกคลุกคลานไปหลายๆ ต่อหลายหน เด็กบางคนข้ามผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ แต่เด็กบางคนไม่สามารถข้ามผ่านไปได้
ซึ่งทักษะที่ทำให้เด็กไปถึงฝั่งฝัน หรือ แม้จะไม่ถึงฝั่งฝันก็ยังเติบโตต่อไปได้โดยไม่แหลกสลายไปก่อนระหว่างทาง ทักษะนั้นก็คือ ‘การล้มแล้วลุก’ ซึ่งมาจากการมีความทนทานและความยืดหยุ่นทางจิตใจ หรือ ที่เราเรียกว่า ‘Resilience’ นั่นเอง
‘Resilience’ คือ ความสามารถในการฟื้นตัวหรือความยืดหยุ่นทางจิตใจ เมื่อเจออุปสรรคหรือความท้าทาย จะกล้าเผชิญและไม่ยอมแพ้ เมื่อล้มลงหรือพ่ายแพ้ จะลุกขึ้นมาใหม่และพร้อมที่จะเรียนรู้เพื่อเติบโตต่อไป โดยยังคงความเชื่อมั่นและคุณค่าภายในตนเองไว้ได้เสมอ
แนวทางสร้าง Resilience ให้เกิดขึ้นในตัวเด็กต้องเริ่มสร้างตั้งแต่วัยเยาว์
จุดเริ่มต้นของเด็กที่มีฐานกายใจที่แข็งแรงคือ ‘พ่อแม่ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับลูก’
ขั้นที่ 1 สร้างสายสัมพันธ์ที่ดีและแข็งแกร่งระหว่างพ่อแม่ลูก
สายสัมพันธ์เริ่มต้นสร้างได้ตั้งแต่วินาทีที่พ่อแม่รับรู้ว่าลูกอยู่ในท้องของเรา บทสนทนาระหว่างที่ยังไม่ลืมตาดูโลก การมอบความรักผ่านเสียงพูดคุย เล่านิทาน ร้องเพลงขับกล่อม และเฝ้ารอวันที่จะได้เติบโตไปด้วยกัน คือจุดเริ่มของสายสัมพันธ์ทางกายใจ
เมื่อลูกเกิดมา ช่วงระยะเวลา 0-3 ปี จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแรงให้กับลูก เพราะก่อนวัย 3 ปี เด็กต้องพึ่งพาพ่อแม่และผู้เลี้ยงดูแทบจะตลอดเวลา เกือบทุกงานและกิจกรรมต้องมีผู้ใหญ่อยู่กับเขา และสอนเขาทำสิ่งเหล่านั้น หากพ่อแม่อยู่ตรงนั้นเพื่อลูก สายสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขาจะค่อยๆ เติบโต
‘สายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง’ ต้องอาศัย 3 สิ่งสำคัญ ได้แก่
(1) ‘เวลาคุณภาพ’ ถ้าหากเราไม่มีเวลา เราจะไม่ได้อยู่กับลูกตรงนั้น เด็กเล็กๆ รับรู้ความรักก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา และใช้เวลาอยู่กับเขา อุ้ม กอด บอกรัก อ่านนิทาน พาเล่น พาทำกิจกรรม ไปโรงเรียน ไปเที่ยว ส่งเข้านอน ร่วมทุกข์และสุขในทุกคืนวัน
(2) ‘ความมั่นคงปลอดภัยทางกายใจ’ ลูกรับรู้ว่าอยู่กับพ่อแม่แล้วได้รับความรักและความมั่นคงทางใจ เพราะพ่อแม่พร้อมจะปกป้องเขาจากภัยอันตรายต่างๆ ที่สำคัญการพูดคำไหนคำนั้น พูดความจริง และรักษาสัญญาเสมอ การกระทำที่มั่นคง ชัดเจน และสม่ำเสมอ ทำให้ลูกเชื่อใจและวางใจในตัวพ่อแม่ เขาจะรู้สึกปลอดภัยในสายสัมพันธ์ระหว่างเรา
(3) ‘ใจดี แต่ไม่ใจอ่อน’ ลูกไม่ต้องการคนตามใจ แต่เขาต้องการคนที่สนใจ และพร้อมจะสอนเขาในสิ่งที่ไม่เหมาะสม พ่อแม่ที่กล้ายืนหยัดปกป้องลูกจากอันตราย ต้องกล้ายืนหยัดสอนลูกให้ทำสิ่งที่จำเป็นและถูกต้องด้วยเช่นกัน อะไรทำได้เราให้ทำ อะไรทำไม่ได้ เราบอกชัดเจนและเข้าไปหยุดทันที
เพราะถึงแม้ลูกจะไม่พอใจ เรายอมรับในความรู้สึกลูกที่เกิดขึ้น เข้าใจว่าเขาไม่พอใจ แต่จะไม่ใจอ่อน ยอมให้ลูกทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ซึ่งกฎที่ทุกครอบครัวควรมีคือ ‘กฎ 3 ข้อ’ ได้แก่ ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น และไม่ทำลายข้าวของ
เมื่อลูกรับรู้ว่าตัวเขามีสายสัมพันธ์ที่ดีทำให้เขากล้าออกไปเผชิญโลกภายนอก
‘พ่อแม่ต้องกล้าให้ลูกออกไปลงมือทำ’
ขั้นที่ 2 สร้างความไว้วางใจในตัวลูกด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกลงมือทำ
เด็กวัย 2-3 ปี ขึ้นไปจะเริ่มใช้ร่างกายของตัวเองออกไปสำรวจโลกภายนอก และเรียนรู้ว่าร่างกายของเขาทำอะไรได้บ้าง เด็กวัยนี้ไม่เคยลงมือทำอะไรมาก่อน ดังนั้นพวกเขาย่อมมีทั้งความกล้าและความหวั่นวิตก แต่ถ้าพ่อแม่ผู้ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางกายใจของเขาคอยให้กำลังใจและอนุญาตให้เขาเผชิญและลงมือทำมากที่สุด เด็กจะเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้มากมาย
พ่อแม่ต้องสร้างความไว้วางใจและการยอมรับในกันและกัน ผ่านการวางใจให้ลูกช่วยเหลือตัวเองตามวัย และได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองมากขึ้น แม้ลูกจะทำได้ไม่ได้คล่องแคล่วและช้าไปบ้าง ขอให้เราอดทนและมอบเปิดโอกาสให้เขาลงมือทำให้มากที่สุด โดยไม่คาดหวังผลลัพธ์เป็นสำคัญ
การสอนที่จะช่วยให้เด็กทำได้
- ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
- จับมือเขาทำหรือพาเขาทำสิ่งนั้น
- ทำด้วยกัน โดยที่ต่างคนต่างทำสิ่งนั้น
- ให้เขาทำเอง โดยมีเราอยู่เคียงข้าง
- ให้เขาทำเอง แม้เราจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นตลอดเวลา
ฝึกฝนซ้ำๆ จนสามารถทำได้เอง โดยที่เราไม่ต้องอยู่ตรงนั้นกับเขา
เมื่อเด็กลงมือทำมากพอ เขาจะช่วยเหลือและพึ่งพาตัวเองได้ตามวัย เมื่อนั้นเด็กจะแผ่ขยายความสามารถไปสู่การสร้างคุณค่าให้ตัวเองผ่านการช่วยเหลือผู้อื่น เริ่มจากภายในบ้านก่อนจะไปสู่โรงเรียนและสังคมต่อไป
‘พ่อแม่ต้องให้ลูกช่วยงาน จากงานง่ายๆ แต่มีคุณค่ามหาศาลอย่างงานบ้าน’
ขั้นที่ 3 สร้างการรับรู้คุณค่าภายในตนเอง (Self-value)
เด็กวัย 3-5 ปี สามารถสร้างการรับรู้คุณค่าภายในตนเองผ่านรูปธรรม กล่าวคือเมื่อเด็กลงมือทำบางอย่าง แล้วสิ่งนั้นมีคุณค่าต่อตัวเองและผู้อื่น พวกเขาจะค่อยๆ รับรู้ถึงคุณค่าที่เกิดขึ้นจากภายนอก เพื่อนำสู่คุณค่าภายในตนเอง
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกช่วยทำงานบางอย่างที่เป็นประโยชน์ พ่อแม่ให้การชื่นชมเขา ทำให้ลูกรับรู้ว่า สิ่งที่เขาทำนั้นมีคุณค่าต่อผู้อื่น โดยเฉพาะพ่อแม่ที่เขารัก แม้การชื่นชมจะเป็นการยืนยันจากบุคคลภายนอก
แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกมองเห็นคุณค่าภายในตัวเขาอย่างเป็นรูปธรรม
คุณค่าภายในตัวที่งอกงามเติบโตภายใน ระหว่างทางทักษะหนึ่งที่เด็กๆ ได้พัฒนาไปด้วยกันคือ “การควบคุมตัวเอง” เพราะต้องอดทนทำสิ่งต่างๆ ให้เสร็จก่อน ทั้งกิจวัตรประจำวัน (ช่วยเหลือตัวเอง) และงานบ้าน (งานส่วนรวม) จึงจะไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้ เด็กจึงพัฒนาทักษะนี้ไปโดยปริยาย
‘พ่อแม่ต้องแนะนำและช่วยให้เด็กเรียงลำดับความสำคัญ’
ขั้นที่ 4 สร้างการควบคุมตนเอง (Self-control)
เด็กวัย 5-6 ปีไปจนถึงวัยประถมตอนต้น พวกเขาเต็มไปด้วยพลังอันล้นเหลือ และพร้อมจะเรียนรู้ และทำสิ่งต่างๆ มากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้พวกเขาไปได้ถึงเป้าหมายโดยไม่ไขว้เขวไปเสียก่อน คือ ความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ หรือ การควบคุมตนเอง
ความสามารถในการควบคุมตนเอง สามารถเกิดขึ้นได้จากการปลูกฝังและฝึกฝนตั้งแต่เล็กๆ
(1) ‘ทำสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็นก่อนสิ่งที่อยากทำ’
แม้สิ่งนั้นจะไม่ชอบ ไม่อยากทำ หรือ ไม่เคยทำ แต่เด็กๆ ต้องฝึกฝนที่จะทำสิ่งนั้นจนเสร็จ ก่อนจะไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เพราะสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ส่งผลให้เด็กๆ มีคุณภาพชีวิตที่ดี หากไม่ทำจะส่งผลให้เขาเดือดร้อน และผู้อื่นเดือดร้อน เช่น
- ทำการบ้านก่อนไปดูการ์ตูน
- ทำงานบ้านก่อนออกไปเล่นกับเพื่อน
(2) ‘ฝึกการรอคอยตามวัย เพื่อให้ลูกมีความอดทนต่อสิ่งเร้า’
เพราะไม่ใช่ทุกอย่างที่จะได้ทันทีทันใจ และบางอย่างทุกคนก็อยากได้ ดังนั้นต้องรอคอยเพื่อให้ถึงตาของตัวเองก่อนได้มา เช่น
- อยากเล่นสไลเดอร์ แต่เพื่อนๆ มาก่อน เด็กต้องต่อแถวรอถึงตาตัวเองถึงจะได้เล่น
- อยากได้ของเล่น แต่ต้องเก็บเงินค่าขนมทีละน้อยเพื่อไปซื้อด้วยตนเอง
เมื่อเด็กได้ลงมือทำ ประสบการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ‘ความผิดหวัง’ เมื่อผิดหวังก็ต้องเรียนรู้ที่จะล้มแล้วลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง เพราะโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกครั้งที่พยายามจะสำเร็จ และก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะได้ดังหวัง
‘พ่อแม่ต้องไม่ปกป้องลูกจากความผิดหวัง ให้ลูกได้ล้มบ้าง และเคียงข้างให้เขาลุกด้วยตัวเอง’
ขั้นที่ 5 เปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้ประสบการณ์ ‘ล้มแล้วลุก’
พ่อแม่ต้องกล้าปล่อยมือให้ลูกได้ลงมือทำและเผชิญปัญหาตามวัยของเขา ยิ่งเด็กๆ ลงมือทำมาก ยิ่งเผชิญบ่อย เด็กๆ จะสามารถพัฒนาทักษะที่สำคัญในการสร้าง Resilience
ประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับอาจจะมีทั้งดีและไม่ดี ได้รับชัยชนะ สมดังหวัง และประสบความสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับความพ่ายแพ้ ผิดหวัง และทำไม่สำเร็จ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นประสบการณ์ที่สำคัญที่ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และฝึกฝน ‘ความยืดหยุ่นทางใจ’ ‘การปรับตัวกับสถานการณ์’ ‘การแก้ปัญหา’ และสุดท้ายเด็กๆ อาจจะต้องเรียนรู้ ‘การปล่อยวางเพื่อก้าวต่อไป’ เพราะไม่ใช่ทุกความฝันที่มุ่งไว้จะเป็นจริง หรือ ทุกปลายทางจะมีความสำเร็จที่รอเขาอยู่
หัวใจสำคัญ ‘พ่อแม่ให้การสนับสนุน โดยเฉพาะทางใจผ่านการเคียงข้างในยามที่ลูกต้องการ’
เมื่อผ่านประสบการณ์การล้มลงและผิดหวังผ่านไปได้เด็กๆ จะเกิดภูมิคุ้มกันทางใจที่นำไปสู่การเกิด Resilience ในอนาคตหากเขาล้มอีกครั้ง พวกเขาจะสามารถลุกขึ้นมาใหม่ และเรียนรู้ท่ีจะเติบโตต่อไปได้ด้วยตัวเขาเอง
เด็กๆ ที่ผ่านประสบการณ์การลงมือทำ เจออุปสรรค ล้มลงระหว่างทาง จนลุกขึ้นเดินต่อไปใหม่ พวกเขาจะกล้าทำสิ่งใหม่ๆ ต่อไปในอนาคต แต่สิ่งที่จะทำให้พวกเขาพัฒนาได้ไม่สิ้นสุดไม่ใช่เพียงความกล้าและความพยายาม แต่คือหัวใจที่เปิดรับประสบการณ์ การรับฟังคำแนะนำ และการสอนจากผู้มีประสบการณ์คือสิ่งที่เด็กๆ ต้องเรียนรู้
‘พ่อแม่สอนให้เด็กๆ ไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว’
ขั้นสุดท้าย ปลูกฝังความคิดที่เติบโตต่อไป ผ่านการรับฟัง เรียนรู้ และปรับเปลี่ยนตัวเองอยู่เสมอ
Resilience จะเติบโตภายในตัวเด็กๆ ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองอยู่เสมอ เพราะทุกๆ การเรียนรู้และประสบการณ์จะทำให้เด็กๆ เติบโตมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขามีวุฒิภาวะตามวัย ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ‘ความเก่ง’ หรือ ‘ความฉลาด’ ที่มากขึ้น แต่หมายถึง “การน้อมรับ รับฟังคำติชมโดยปราศจากอคติ” “การยอมรับความแตกต่างและปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้” สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กทนทานต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบใจของเขาได้เป็นอย่างดี เพราะสำหรับเขา “คำติชมจะทำให้เขาพัฒนาขึ้น” และ “ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งเข้าใจ เขายิ่งเติบโตขึ้น”
‘ฟ้าหลังฝนมีอยู่จริง และทำให้ต้นไม้เติบโตงอกงามเสมอ’
แม้ความผิดหวัง หรือ การไม่ได้ทำตามความฝันอาจจะเป็นเรื่องน่าเสียดายและทำให้เสียใจ แต่ทุกอย่างที่ทำไปไม่เคยเสียเปล่า เพราะสิ่งเหล่านั้นได้แปลเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ และทุกความรู้สึกที่เด็กๆ ผ่านมาได้กลายเป็นภูมิคุ้มกันทางใจชั้นเลิศ สิ่งสำคัญไม่ใช่การแพ้หรือชนะ สำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่คือทุกครั้งที่ทำแล้วผ่านไปได้ เด็กๆ จะเติบโตงอกงามเป็นตัวเขาที่แข็งแกร่งมากขึ้นเสมอ
พ่อแม่และผู้ใหญ่ไม่สามารถปกป้องเด็กๆ ไปได้ตลอดชีวิต แต่เราสามารถสร้างสายสัมพันธ์และสอนสิ่งสำคัญผ่านการให้เด็กๆ มีประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง ในขณะที่เรายังอยู่ตรงนั้นเพื่อเขาได้ สิ่งเหล่านี้จะติดตัวลูกไปตลอดชีวิตของเขา
Resilience คือภูมิคุ้มกันทางใจที่ช่วยให้เด็กๆ เติบโตเป็นตัวเองและยังคงคุณค่าภายในตัวเองไว้ได้ แม้ในวันที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับปัญหา ความท้าทาย ที่นำไปสู่ความผิดหวังอีกมากมายในชีวิต
อ้างอิง
American Psychological Association. (2020, August 26). Resilience Guide for Parents and Teachers. American Psychological Association. Retrieved Apr. 13, 2025, from https://www.apa.org/topics/resilience/guide-parents-teachers