Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
Early childhoodFamily Psychology
10 April 2025

เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.3’ในวันที่โลกเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เรากลับเห็นอกเห็นใจกันน้อยลง’

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ทุกวันนี้โลกเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่บางสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์กลับไม่ได้โตตามไป  และความสัมพันธ์ของผู้คนกลับเปราะบางลง โดยเฉพาะ ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ กลายเป็นว่าเด็กๆ ขาดความใส่ใจและความเข้าใจในกันและกัน
  • บางครั้งผู้ใหญ่มักจะมองไปไกลถึงปลายทางที่อยากให้เกิดในตัวเด็กๆ จนลืมไปว่าต้นทางที่ดีจะนำไปสู่ปลายทางที่ดี  ‘ต้นทาง’ ของความเห็นอกเห็นใจคือ ‘การใส่ใจสิ่งเล็กๆ รอบตัว’ ที่เรามักหลงลืมและมองข้ามไป
  • เด็กที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมักจะเป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตัวเองและมองเห็นคุณค่าในตัวเขาและผู้อื่น แม้จะอ่อนโยน แต่ไม่ได้อ่อนแอ และพร้อมจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ยอมรับเคารพความแตกต่างหลากหลาย ที่สำคัญเขาเคารพตัวเขาเองและรักตัวเองเป็น

‘โลกเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่บางสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์กลับไม่ได้โตตามไป’

ในขณะที่สิ่งปลูกสร้าง เทคโนโลยี นวัตกรรมต่างๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้สังคมให้ความสำคัญกับความสามารถและทักษะที่ต้องนำมาใช้งานและควบคุมสิ่งเหล่านี้ เช่น ทักษะการสื่อสาร ภาษาที่สอง สาม ไปจนถึงภาษาโค้ดดิ้ง และความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เด็กๆ ถูกคาดหวังให้เรียนรู้ ปรับตัว และเติบโตอย่างรวดเร็วตามสิ่งเหล่านี้ไป แต่ความสามารถหนึ่งที่อาจถูกมองข้าม ไม่ได้เติบโตไปพร้อมกับเด็กๆ และสังคม สิ่งเล็กๆ ที่ทำให้หัวใจของเรามองเห็นกัน ความสามารถนั้นก็คือ ‘ความเห็นอกเห็นใจ’

‘สังคมที่ขาดความเห็นอกเห็นใจ เพราะมองไม่เห็นกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนก็จะเปราะบาง หัวใจของเราต่างก็อ่อนแอ’

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ความสัมพันธ์ก็เช่นกัน เจอกันผ่านสังคมออนไลน์ พูดคุยแลกเปลี่ยนสร้างความสัมพันธ์ผ่านหน้าจอ ทุกอย่างที่รวดเร็วและง่ายดาย กลับกลายเป็นดาบสองคมในเวลาเดียวกัน เรากลับไม่เห็นความสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งหรือแม้แต่จะพยายามประคับประคองและรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ อีกทั้งการแสดงออกทางความคิดเห็นและการแสดงอารมณ์โดยไม่กลั่นกรองทำได้รวดเร็ว ทำให้เราต่างไม่ระวังและทำร้ายจิตใจกันง่ายขึ้น ส่งผลให้ความสัมพันธ์จบลงอย่างง่ายดายไม่แพ้กัน

‘ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความเห็นอกเห็นใจ‘

ความเห็นอกเห็นใจจำเป็นต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ เพราะหัวใจของเด็กเปิดรับได้ง่ายที่สุด อีกทั้งการสร้างฐานทางใจตั้งแต่วัยเยาว์จะแข็งแรงและเติบโตได้ดี

‘ก่อนที่เด็กๆ จะมีความเห็นอกเห็นใจ เด็กๆ ต้องมองเห็นตัวเองเสียก่อน จากนั้นจึงจะแผ่ขยายและพัฒนาไปสู่การมองเห็นผู้อื่น’

จุดเริ่มต้นของ ‘การมองเห็นตัวเอง’ 

บางครั้งผู้ใหญ่มักจะมองไปไกลถึงปลายทางที่อยากให้เกิดในตัวเด็กๆ จนลืมไปว่าต้นทางที่ดีจะนำไปสู่ปลายทางที่ดี  ‘ต้นทาง’ ของความเห็นอกเห็นใจคือ ‘การใส่ใจสิ่งเล็กๆ รอบตัว’ ที่เรามักหลงลืมและมองข้ามไป

ขั้นที่ 1 มองเห็นตัวเอง ดูแลตัวเอง

สิ่งเล็กๆ ที่มือน้อยๆ สามารถทำได้นั่นก็คือ ‘การดูแลร่างกายตัวเอง’

นี่คือจุดเริ่มต้นของความใส่ใจ เด็กๆ จะรู้จักใส่ใจผู้อื่น เขาต้องเริ่มจากการใส่ใจตัวเองเสียก่อน

– ตื่นเช้ามาล้างหน้าส่องกระจก

– เอ๊ะมีขี้ตาต้องแคะให้หมด

– มีคราบน้ำลาย น้ำมูก ล้างและเช็ดให้สะอาด

– อาบน้ำ ถูสบู่ ล้างจนหมดฟอง

– เช็ดตัวให้แห้ง แล้วแต่งตัว

– ติดกระดุมเรียงไปจากบนลงล่าง

– ใส่ถุงเท้าใส่ใจ มองข้างรองเท้าซ้าย-ขวา

จากร่างกายค่อยๆ พัฒนาไปสู่การแต่งตัวภายนอก จากส่องกระจกมองเห็นตัวเอง สายตาของเขาจะค่อยๆ มองออกไปนอกตัว

ขั้นที่ 2 มองเห็นสิ่งของ ดูแลสิ่งของ

เมื่อดูแลร่างกายได้ดี สิ่งของรอบตัวคือด่านแรกก่อนไปสู่ผู้คน เด็กๆ ที่ใส่ใจสิ่งของจะพัฒนาไปสู่การดูแลสิ่งที่ละเอียดมากขึ้น

– ให้เด็กๆ ดูแลสิ่งของอย่างไร เริ่มจาก ‘รื้อแล้วเก็บเข้าที่ตามเดิม’

• เล่นแล้วเก็บ

• หยิบมาใช้แล้วเอาไปคืน

– ให้เด็กๆ ดูแลรับผิดชอบสิ่งนั้นด้วยตัวเอง

• กระเป๋านักเรียนของเขา ให้เขาถือเอง

• กระติกน้ำของเขา ให้เขาล้างเอง

• ถุงเท้า-รองเท้าของเขา ให้เขาซักเอง

– อะไรที่ทำไม่เป็น เราสอนได้

แม้จะชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเราได้ทำเองอาจจะเหนื่อยลำบาก แต่เพราะเหนื่อยและลำบาก เด็กๆ จึงเห็น

คุณค่าของการดูแลสิ่งนั้น และภูมิใจเมื่อทำได้ด้วยตัวเอง ในขั้นนี้เราจะเห็นเด็กที่ดูแลของตัวเองได้ จะ

พัฒนาทักษะอื่นๆ ที่จำเป็นยิ่งขึ้นมา ได้แก่

– การมีวินัยและรับผิดชอบ

เด็กที่ดูแลของของตัวเองจะไม่โทษคนอื่น เพราะเขาเป็นคนเตรียมและดูแลของนั้น

• ถ้าเขาทำของหาย เขาจะหาเองก่อน

• ถ้าเขาลืมของ เขาจะไม่โทษใคร

– ประเมินตัวเองได้และพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน

เด็กที่ช่วยเหลือตัวเองเยอะและทำอะไรๆ ด้วยตัวเอง เขาจะประเมินความสามารถตัวเองกับปัญหาที่เจอ ได้ ถ้าไม่ยากเกินไป และเคยทำมาก่อน เขาจะทำมันด้วยตัวเอง เช่น

• ใส่รองเท้าไม่ได้ เขาจะลองเองก่อน ถอดไม่ได้ เขาจะพยายามก่อน

• จัดระเบียบกล่องของเล่นและกระเป๋านักเรียน เขาจะทดลองจัดและเก็บ จดจำที่ของของได้เอง แต่ถ้ายากเกินไป เขาจะกล้าขอความช่วยเหลือ

ขั้นที่ 3 มองเห็นพื้นที่รอบตัว ดูแลพื้นที่รอบตัว

เด็กๆ ที่ดูแลร่างกายและสิ่งของของเขาได้จะพัฒนาไปสู่การดูแลพื้นที่รอบตัวที่เขาเข้าไปใช้งาน ในขั้นนี้มีหัวใจสำคัญที่แสนเรียบง่ายก็คือ ‘ใช้แล้วทำให้เหมือนเดิม’ และ ‘ถ้าทำสกปรกก็ทำความสะอาดให้เหมือนก่อนมาใช้งาน”

– ‘พื้นที่แรก’ ที่เด็กทุกคนควรดูแลคือบ้าน 

เช่น

• กินข้าวเสร็จก็เช็ดเก็บเศษอาหารที่หกเลอะเทอะ

• เข้าห้องน้ำเสร็จก็กดชักโครกและปิดไฟ

• ตื่นนอนมาเก็บที่นอนให้เรียบร้อย

• เล่นแล้วเก็บห้องให้เหมือนเดิม

เมื่อดูแลบ้านได้ดี เด็กๆ จะแผ่ขยายไปสู่การใส่ใจสิ่งแวดล้อมอื่นๆ

– ‘โรงเรียน’ ที่เด็กๆ ไปเรียน เด็กๆจะดูแลได้ดี 

เช่น

• ไม่ทิ้งขยะเกลื่อนกลาด

• กดน้ำเมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จ

• เลื่อนเก้าอี้เก็บ เมื่อใช้งานเสร็จ

ขั้นที่ 4 มองเห็นผู้อื่น เคารพผู้อื่น

จากขั้นที่ผ่านมาทำให้เด็กรู้จักตัวเองเป็นอย่างดี เด็กๆ รู้ว่า ‘ที่ตัวเองต้องการเป็นอย่างไร’ ดังนั้นจึงคิดได้ว่า ‘ผู้อื่นต้องการในสิ่งเดียวกันได้’ ทุกคนอยากอยู่ร่วมกับคนที่ทำให้ตัวเองสบายใจ

– การรู้หน้าที่

– การรักษาความสะอาด

– การไม่รบกวนกัน และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

สามข้อนี้คือ ‘กฎพื้นฐานง่ายๆ’ ของความใส่ใจ เด็กๆ เรียนรู้ที่จะเคารพกฎนี้

นอกจากนี้การสื่อสารขั้นพื้นฐานที่จะทำให้เด็กๆ รู้จักเข้าหาคนอื่นอย่างใส่ใจ ได้แก่ 

– การทักทายคนอื่นก่อน เช่น สวัสดี แนะนำตัวเอง ถาม-ตอบด้วยตัวเอง

– การขอบคุณ เมื่อมีใครทำอะไรดีๆ ให้กับเขา

– การขอโทษเมื่อเขาทำผิดต่อใคร

– การชื่นชมผู้อื่นด้วยตัวเองก่อน 

ขั้นที่ 5 ใส่ใจผู้อื่น เห็นอกเห็นใจผู้อื่น

ในขั้นก่อนหน้านี้เด็กๆ จะเรียนรู้การเคารพกติกา 

– เมื่อรู้ว่าสิ่งใดควรทำ เขาทำ

– เมื่อรู้ว่าสิ่งใดไม่ควรทำ เขาไม่ทำ

เด็กๆ  เขาสังเกตสิ่งแวดล้อมมากขึ้นว่าแต่ละที่เป็นอย่างไร เขาจึงจะสามารถทำให้ทุกอย่างเป็นตามกติกาหรือเก็บทุกอย่างเข้าที่เดิมได้ สิ่งง่ายๆ ค่อยๆ ทำให้เด็กพัฒนาไปสู่ความคิดที่ลึกซึ้งมากขึ้นนั่นคือ ‘การใส่ใจผู้อื่น’

เด็กที่ใส่ใจผู้อื่นไม่ได้หมายความว่าเขาต้องทำให้ผู้อื่นพึงพอใจ หรือ พยายามทำให้ผู้อื่นรู้สึกชอบเขา แต่ความใส่ใจในที่นี้หมายถึงการทำเพราะอยากทำและทำได้ เช่น

– เมื่อเห็นคุณแม่ถือของหนัก เด็กรับรู้และเข้าไปช่วยถือ

– เมื่อเห็นคนเดินต่อเขาเข้ามา เด็กช่วยเปิดประตูให้คนนั้นเข้ามาก่อน

– เมื่อเห็นคนต้องการความช่วยเหลือ ถ้าเขาช่วยไม่ได้ เขาจะพยายามขอความช่วยเหลือ

ทุกครั้งที่เด็กใส่ใจใครสักคน เขาได้รับการมองเห็นคุณค่าเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อเด็กทำสิ่งดีๆ ออกไป โดยไม่ได้รับการมองเห็นหรือชื่นชมจากผู้อื่น แต่คุณค่าในตัวเองที่เขารับรู้ได้งอกงามขึ้นในใจแล้ว

นอกจากนี้ ‘คำพูด’ ที่สื่อถึงความใส่ใจจะเกิดขึ้นด้วยตัวเอง ทั้งการขอบคุณ ขอโทษ และชื่นชมผู้อื่น เด็กๆ ที่ใส่ใจจะพูดคำเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย เพราะเขาจะมองเห็นและตอบสนองทันที

สุดท้าย ‘ความใส่ใจ’ ทำให้เด็กๆ ค่อยๆ มองเห็นผู้อื่น เมื่อใส่ใจมากพอ เขาจะมองเข้าถึงลึกถึงหัวใจอีกฝ่าย หรือ ที่เรียกว่า ‘ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น’

เด็กที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมักจะเป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตัวเองและมองเห็นคุณค่าในตัวเขาและผู้อื่น แม้จะอ่อนโยน แต่ไม่ได้อ่อนแอ และพร้อมจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ยอมรับเคารพความแตกต่างหลากหลาย ที่สำคัญเขาเคารพตัวเขาเองและรักตัวเองเป็น

สังคมจะเติบโตต่อไปไม่พังทลาย หากเราหันกลับมาใส่ใจ ‘จิตใจ’ กันมากขึ้น

สังคมที่น่าอยู่จึงไม่ใช่สังคมที่เต็มไปด้วยวัตถุล้ำสมัย แต่คือผู้คนที่มีหัวใจและมองเห็นซึ่งกันและกัน

Tags:

เด็กครอบครัวempathyความเห็นอกเห็นใจ

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Family PsychologyEarly childhood
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Book
    Sunny กับเด็กที่อยู่กับการขาดหาย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel