- หากเราคาดหวังว่าในอนาคตลูกกับเราจะยังสามารถพูดคุยกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน เพื่อมีเวลาดีๆ ร่วมกันได้ พ่อแม่ต้องเริ่มต้นสร้างสายสัมพันธ์แบบนั้นตั้งแต่วันนี้ วันที่ลูกยังเป็นเด็กน้อย และต้องการเรามากที่สุด
- เด็กที่สื่อสารได้ไม่ดี มักจะมีปัญหาทางอารมณ์ผนวกมาด้วย เนื่องจากตนเองไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้ หรือ ตัวเองก็ไม่เข้าใจความต้องการของผู้อื่นเช่นกัน
- พ่อแม่เป็นคนเลือกว่าเราจะสร้างสัมพันธ์กับลูกแบบใดในวัยเยาว์ของเขา สายสัมพันธ์นั้นจะเป็นฐานทางใจของลูกไปตลอดชีวิตของเขา เด็กๆ โตเร็วกว่าที่เราคิด และช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ขอให้เราอยู่ตรงนั้นทั้งตัวและหัวใจ
‘โลกที่เคยกว้าง กลับใกล้แค่ปลายนิ้ว แต่ครอบครัวและคนรอบข้างกลับห่างไกล’
ยุคปัจจุบัน ทุกอย่างขับเคลื่อนภายใต้ปลายนิ้ว อินเตอร์เน็ตทำให้เด็กๆ ท่องโลกกว้างเพียงแค่เปิดหน้าจอค้นหาด้วยปลายนิ้วสัมผัส สังคมออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว เราต่างอาศัยในโลกส่วนตัวหลายใบ โดยที่ไม่จำเป็นต้องออกจากห้องนอนของตัวเอง แต่ในทางกลับกันคนในครอบครัวที่อยู่ในบ้านเดียวกัน กลับไม่รู้จักกันเลย ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวที่ถูกหลงลืม ทำให้เด็กขาดคนเข้าใจและสนับสนุน แต่ตัวเขาเองก็อาจจะสร้างกำแพงสูงขึ้นมาจากความไม่เข้าใจกันภายในครอบครัว
อวัยวะที่ 37
เด็กที่เกิดหลังยุคโทรศัพท์มือถือที่มีอินเตอร์เน็ตในตัวถูกเลี้ยงดูโดยมีสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตราวกับเป็นอวัยวะที่ 37 ที่ขาดเสียไม่ได้ พ่อแม่บันทึกชีวิตลูกตั้งแต่วินาทีที่ลูกลืมตาดูโลก บางครอบครัวถึงขั้นบันทึกทุกช่วงเวลา ทุกอิริยาบถของลูกผ่านโทรศัพธ์มือถือ และแชร์ (Share) สิ่งเหล่านี้ผ่านสังคมออนไลน์ เพราะไม่อยากพลาดโอกาสในการเก็บช่วงเวลานั้นไว้ แต่พ่อแม่อาจจะลืมว่า ‘การบันทึกความทรงจำที่ดีที่สุดสำหรับเราและลูกคือการใช้เวลาร่วมกันโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น เพื่อจะได้รับรู้ความรู้สึกของกันและกันอย่างเต็มที่ และทำสิ่งต่างๆ โดยไม่ต้องกังวลถึงเรื่องใดๆ’
สายสัมพันธ์วันนี้กับลูก กำหนดสายสัมพันธ์ในอนาคตของลูกกับเรา
หากเราคาดหวังว่าในอนาคตลูกกับเราจะยังสามารถพูดคุยกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน เพื่อมีเวลาดีๆ ร่วมกันได้ พ่อแม่ต้องเริ่มต้นสร้างสายสัมพันธ์แบบนั้นตั้งแต่วันนี้ วันที่ลูกยังเป็นเด็กน้อย และต้องการเรามากที่สุด
ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนที่พ่อแม่ของลูกได้’
พ่อแม่ทุกคนควรจดจำไว้ว่า…
- ช่วงเวลา 5 ขวบปีแรกเป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อการพัฒนาหลายๆ ด้านในชีวิตของเด็กคนหนึ่ง การพัฒนาเริ่มตั้งแต่วินาทีที่ลูกอยู่ในท้องของแม่และพัฒนาต่อเนื่องอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้
- ช่วง 5 ขวบปีแรกของชีวิตมนุษย์มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สมองของมนุษย์พัฒนาได้อย่างรวดเร็วและดีที่สุด
สมองของเด็กทารกพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว
- สมองของเด็ก 1 ขวบ มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของสมองของเด็กแรกเกิด
- สมองของเด็ก 5 ขวบมีขนาดใหญ่เกือบ 90% ของขนาดสมองผู้ใหญ่
เพราะสมองของเด็กช่วง 5 ขวบปีแรกสามารถพัฒนาได้เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาอื่นๆ ในชีวิตของมนุษย์
สมองสามารถสร้างการเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทเป็นจำนวนมากในทุกวินาที
- สมองของเด็กจะพัฒนาได้ดีที่สุด เมื่อพ่อแม่หรือผู้ใหญ่สร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กผ่านการตอบสนอง ให้นม อุ้ม กอด อ่านนิทาน ร้องเพลงกล่อม คุยเล่น มองหน้า สบตา ยิ้มให้ และอื่นๆ ซึ่งพ่อแม่ควรมอบให้ลูกอย่างเร็วที่สุดและบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘สายสัมพันธ์คือทุกสิ่ง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง’
จุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์ตลอดชีวิตเริ่มต้นที่บ้าน
ซึ่งวัยเยาว์ของลูกคือโอกาสทองในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีที่สุด ช่วงเวลาที่พ่อแม่อยู่กับลูกเล็ก ขอให้เราอยู่ตรงนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงตัวเราอยู่ตรงนั้นกับเขา แต่ทั้ง ‘หัวใจ’ และ ‘สายตา’ ของเราควรมอบให้กับลูกด้วยการ ‘วางหน้าจอลง’ ‘มองตาลูก’ ‘ยิ้มให้เขา’ ‘หัวเราะไปกับเขา’ และ ‘อยู่กับเขา’ อย่างแท้จริง
ทุกครั้งที่พ่อแม่เล่นกับลูก คุยกับลูก ทำให้เขาหัวเราะ ไม่ได้สร้างแค่เพียง ‘ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง’ และ ‘สุขภาพจิตที่ดี’ แต่สิ่งเหล่านี้ได้สอนทักษะชีวิตพื้นฐานให้กับลูกด้วย
ไม่ว่าจะเป็น ‘การปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน’ ‘การทำข้อสอบในวัยเรียน’ ‘การทำงานในวัยผู้ใหญ่’ และสักวันหนึ่ง ‘การมีครอบครัวเป็นของตัวเอง’
‘ยิ่งสร้างความสัมพันธ์กับลูก
ยิ่งเร็ว ยิ่งดี
ยิ่งสม่ำเสมอ ยิ่งยั่งยืน’
เพราะลูกจะรับรู้ได้ว่าพ่อแม่มีอยู่จริง และจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดชีวิตแม้จะเป็นวัยรุ่นที่จากกันไกล ลูกยังรับรู้ได้ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับตัวเขาได้เสมอ เพราะสายสัมพันธ์ที่ดีจะนำพาใจของลูกที่โตแล้วกลับบ้านมาหาพ่อแม่เสมอ
3 วิธีที่พ่อแม่ควรทำโดยปราศจากหน้าจอเพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารและสร้างสายสัมพันธ์กับลูก
(1) เล่นกับลูกโดยใช้ร่างกายและเสียงของเรา
เช่น การเล่นเกมจ๊ะเอ๋ (Peek-a-boo) การอุ้มกอด การเล่นเกมตบแปะ การให้ลูกปีนป่ายไปบนตัวเรา การเล่นเครื่องบิน (เราเป็นเครื่องบินพาลูกบินสูง) การเล่นเกมแมงมุม-ปูไต่ และอื่นๆ
การเล่นรูปแบบนี้ช่วยส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ขั้นสูงทางร่างกายและอารมณ์ ลูกสามารถรับรู้สีหน้า ท่าทางซึ่งเป็นภาษากายของพ่อแม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ลูกพัฒนาการรับรู้ทางอารมณ์ และการเข้าใจผู้อื่น ซึ่งเป็นพัฒนาการที่สำคัญในการสื่อสารเพื่อเข้าสังคมในอนาคต และสำรับพ่อแม่ ตัวเราได้รับรู้อารมณ์ของลูก ซึ่งช่วยสร้างความรู้สึกร่วมกัน เกิดเป็นความทรงจำที่มีคุณค่าต่อเราและลูก
นอกจากการเล่นโดยใช้ร่างกาย การเล่นในรูปแบบเสียง ในที่นี้หมายรวมถึงการร้องเพลง การอ่านนิทานให้ลูกฟัง เด็กทารกรับรู้และจดจำเสียงของพ่อแม่ตั้งแต่พวกเขายังอยู่ในครรภ์ของเรา เสียงเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความทรงจำเกิดเป็นความผูกพัน แม้ว่าในอนาคตลูกจะจำได้เลือนลาง แต่เสียงเป็นความทรงจำที่ทรงพลังและย้ำเตือนช่วงเวลาที่แสนสุขได้ดีที่สุด ผู้ใหญ่บางคนเมื่อได้ฟังเพลงที่เคยได้ฟังครั้งเป็นเด็ก ก็สามารถจดจำถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวัยนั้นของเราได้ ดังนั้นยิ่งเราเป็นเจ้าของเสียง เล่านิทานให้ลูกฟัง ร้องเพลงกล่อมลูกนอน ลูกจะจดจำเสียงของเราได้อย่างแม่นยำ ทำให้เขามีความทรงจำที่แสนอบอุ่นให้นึกถึงเมื่อเติบโตไป
(2) ทำกิจกรรมที่มีจุดสนใจร่วมกัน
เช่น การอ่านหนังสือนิทานด้วยกัน ไปเดินเล่นในสวนด้วยกัน ดูแลสัตว์เลี้ยงด้วยกัน
การที่พ่อแม่ทำกิจกรรมที่มีจุดสนใจร่วมกับลูกช่วยให้เราแบ่งปันประสบการณ์และความทรงจำร่วมกัน ทุกครั้งที่นึกถึงช่วงเวลานั้น เราจะนึกถึงกันและกันด้วย
นอกจากนี้ในด้านการสื่อสาร เมื่อเราทำกิจกรรมร่วมกับลูก เรามีความสนใจเดียวกัน ทำให้สื่อสารเรื่องเดียวกัน ลูกได้พัฒนาการคงความสนใจระยะยาวขึ้น ส่งผลให้เขามีสมาธิที่ดี เมื่อเติบโตไปสู่วัยถัดไป เขาจะสามารถคงความสนใจกับสิ่งที่สำคัญตรงหน้าร่วมกับผู้อื่นได้ เช่น เมื่อลูกไปโรงเรียน เขาสามารถสนใจสิ่งต่างๆ ร่วมกับเพื่อนและคุณครู ทำให้เขาไม่พลาดที่จะฟังและเรียนรู้สิ่งสำคัญ
สำหรับทักษะทางสังคมเด็กที่มีความสนใจร่วมกับผู้อื่น และแบ่งปันความสนใจของเขาให้กับผู้อื่นได้ จะสามารถเข้าใจความต้องการของตัวเองและผู้อื่นได้ชัดเจน ซึ่งความสามารถนี้จะพัฒนาไปสู่การมีความเห็นอกเห็นใจ
(3) รับฟังและตอบสนอง
การสื่อสารเริ่มต้นจากการรับฟังเพื่อรับรู้ ซึ่งนำไปสู่การตอบสนอง เมื่อพ่อแม่ให้ความสนใจกับลูก โดยไม่มีหน้าจอมาขวางกั้น เราสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกลูกได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเราได้มองเข้าไปในตาของลูกชัดๆ ความเข้าใจนำไปสู่การตอบสนองที่เหมาะสม
เด็กที่ได้รับการรับฟังและการตอบสนองอยู่เสมอ เขาจะได้รับความสนใจอย่างเพียงพอและรับรู้ว่าตัวเองเป็นที่รักของพ่อแม่ ซึ่งทำให้เขาได้รับการเติมเต็มทางใจขั้นพื้นฐานในชีวิต นั่นคือการได้รับความรักและรับรู้ว่าตัวเองมีคุณค่าสำหรับใครสักคน
เมื่อก้าวออกไปสู่สังคม เด็กจะสามารถเรียนรู้ที่เปิดรับสิ่งใหม่ และผู้คน เขาได้เรียนรู้การเป็นผู้ฟังที่ดีจากพ่อแม่ และเรียนรู้ที่จะตอบสนองอย่างเหมาะสมจากประสบการณ์ที่เขาได้รับตลอดมา
ในทางกลับกัน ‘เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูด้วยหน้าจอ’ เขาอาจจะพลาดโอกาสเหล่านี้ไป
(1) โอกาสที่จะได้ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ ขาดการสื่อสารและความเข้าใจด้านอารมณ์
เมื่อไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ เพราะมีหน้าจอมาขวางกั้น เด็กจะไม่ได้เรียนรู้สีหน้า ท่าทาง อารมณ์ และการตอบสนองในชีวิตจริง ส่งผลให้เมื่อเข้าสู่สังคม เขาจะไม่แน่ใจว่าควรทำตัวและตอบสนองอย่างไรดี
ยิ่งไปกว่านั้นการที่ไม่ได้รับการรับฟังและการพูดโต้ตอบในวัยก่อน 3 ขวบ เด็กอาจจะไม่สามารถพัฒนาการสื่อสารได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เขามีพัฒนาการทางภาษาที่ล่าช้ากว่าวัย เช่น เด็กควรพูดเป็นประโยคได้ แต่กลับพูดเป็นคำๆ และบางคนอาจจะใช้ภาษาจากในสื่อ ภาษาการ์ตูน หรือ ภาษาต่างดาวที่เราคุ้นเคยกันดี มาใช้พูดคุย ทำให้ไม่มีใครเข้าใจเขา และตัวเขาเองก็ไม่สามารถสื่อสารบอกความต้องการได้อย่างเต็มที่
เด็กที่สื่อสารได้ไม่ดี มักจะมีปัญหาทางอารมณ์ผนวกมาด้วย เนื่องจากตนเองไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้ หรือ ตัวเองก็ไม่เข้าใจความต้องการของผู้อื่นเช่นกัน
(2) โอกาสที่จะได้เป็นเด็กและพัฒนาตามวัย
เด็กที่เติบโตมากับหน้าจอ มักจะขาดโอกาสให้การเล่นเคลื่อนไหว และ การช่วยเหลือตัวเองตามวัย เช่น แทนที่จะได้ฝึกหยิบจับอุปกรณ์กินข้าวเอง ก็มีคนป้อนให้ ขณะที่ตัวเองก็ดูหน้าจอไป หรือ แทนที่เขาจะได้วิ่งเล่น ขี่จักรยาน ปีนป่าย เขากลับอยู่แต่ในบ้าน และดูหน้าจอแทนการไปเล่น
เมื่อเด็กไม่ได้เล่น เขาไม่ได้มีวัยเด็กที่ควรจะเป็น การเล่นเป็นพัฒนาการขั้นหนึ่งที่จะนำไปสู่การเข้าสังคม การเล่นทำให้เด็กเรียนรู้การคิด การสื่อสาร การรอคอย การแก้ปัญหา และการจัดการอารมณ์ เด็กที่ไม่ได้เล่นจึงไม่รู้ว่าต้องสร้างความสนุกด้วยตัวเองอย่างไรดี หรือ จะต้องเข้าไปสื่อสารกับคนอื่นก่อนได้อย่างไร ทำให้เมื่อเข้าสู่วัยเข้าโรงเรียนมักจะมีปัญหาตามมา
(3) โอกาสที่จะได้เรียนรู้ และสมาธิที่หายไป
หากอ้างอิงตามทฤษฎีทางสติปัญญา (Cognitive Developmental Theory) ของ Jean Piaget (นักจิตวิทยา) ได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้น ซึ่งในเด็กวัย 0-2 ปี อยู่ในขั้นแรกที่เรียกว่า ‘ขั้นใช้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ (The Sensorimotor Stage)’ ในขั้นนี้ เด็กเรียนรู้โลกผ่านการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างง่าย ได้แก่ ดูด จับ ดู และมอง ผนวกกับการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรับรส และการสัมผัสทางกาย ดังนั้น หากเราได้พาเด็กๆ ออกไปเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง นั้นย่อมเป็นผลดีกับเขามากกว่าการเรียนรู้ผ่านสื่อการสอนหรือผ่านหน้าจอ
การให้เด็กวัยนี้นั่งนิ่งๆ ผ่านการดูหน้าจอ อาจจะส่งผลต่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ล่าช้ากว่าปกติ เพราะแม้หน้าจอจะทำให้เด็กนิ่งได้ แต่อย่าลืมว่าภาพที่ปรากฎบนหน้าจอต่อเวลาหนึ่งวินาทีนั้นมีจำนวนหลายภาพเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ภาพนิ่งอย่างที่เราเข้าใจ ดังนั้นการดูหน้าจอระยะเวลานานส่งผลต่อสมาธิของเด็กได้โดยตรง
คำถาม ‘เทคโนโลยีหรือหน้าจอควรถูกกำจัดออกไปไหม’ คำตอบ ‘ไม่จำเป็นต้องกำจัดหน้าจอ แต่ให้สร้างความสมดุลในชีวิต’
‘คำแนะนำในการใช้เทคโนโลยี’
ถ้าหากเด็กปฐมวัยมีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จริงๆ (ดูหน้าจอ) อ้างอิงจาก The American Academy of Pediatrics (AAP) แนะนำไว้ ดังนี้
ข้อที่ 1 เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 เดือนไม่ควรดูหน้าจอใดๆ เลย มากที่สุดที่เด็กวัยนี้สามารถเข้าถึงหน้าจอ คือ อาจจะแค่เป็น video call เพื่อให้คนไกลได้เห็นลูกหลานของตัวเองเท่านั้น ในกรณีอื่นควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด
ข้อที่ 2 เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 18 เดือน ถึง 2 ปี ถ้าหากมีความจำเป็น (จำเป็นมากๆ ไม่ใช่ดูเพื่อเป็นการผ่อนคลายหรือเล่นสำหรับเด็ก) เป็นต้องดูหน้าจอจริงๆ ไฟล์นั้น (วิดีโอนั้น) ต้องมีคุณภาพความละเอียดสูง และมีผู้ใหญ่คอยควบคุมกำกับดูแลตลอดเวลา ระยะเวลาในการดูแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 5 นาที ในหนึ่งวันไม่ควรเกิน 1 ครั้ง
ข้อที่ 3 เด็กที่มีอายุ 2-5 ปีถ้าหากจำเป็นจริงๆ ที่ต้องดูหน้าจอ ผู้ใหญ่ควรให้การกำกับดูแลตลอดเวลา และระยะเวลาในการดู คือ ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมงต่อ 1 วัน และรายการหรือ application นั่นควรมีเนื้อหาเหมาะสมกับวัยของเด็ก
ข้อที่ 4 เด็กที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไปควรได้รับการจำกัดเวลา ตามตารางกิจกรรมต่อวันที่เหมาะสมของเด็ก (เด็กๆ ควรทำกิจวัตรประจำวันที่สำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเขาก่อนการมาดูหน้าจอ เช่น การกินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน เก็บที่นอน ทำงานบ้าน ทำการบ้าน หน้าจอ
ส่วนเด็กวัยรุ่นไปจนถึงผู้ใหญ่ ให้เราพิจารณาจากตารางชีวิตในแต่ละวัน เราควรสร้างข้อตกลงกับตัวเอง เพื่อให้เรายังมีสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตครอบครัวได้อยู่
ตัวอย่างกิจกรรมที่ควรทำในตารางเวลาชีวิต เรียงลำดับจากสิ่งที่สำคัญ (สิ่งที่จำเป็น) ที่สุดไปสู่สิ่งที่อยากทำ
- กิจวัตรประจำวัน ได้แก่ กินข้าว นอน อาบน้ำ-แปรงฟัน ออกกำลังกาย
- งานหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบ ได้แก่ การเรียน การบ้าน งานที่ทำงาน
- พักผ่อนอิสระ ได้แก่ การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก เล่นเกม
หน้าจอจะไม่เป็นอุปสรรคของสายสัมพันธ์ หากพ่อแม่สร้างสายสัมพันธ์นั้นตั้งแต่วัยเยาว์
เด็กทุกคนเมื่อถึงวัยรุ่น อาจจะมีบ้างที่เขาติดเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ และให้ความสำคัญกับสังคมออนไลน์เหมือนเพื่อนๆ ของเขา แต่ถ้าพ่อแม่สร้างพื้นฐานของสายสัมพันธ์ไว้อย่างแข็งแกร่งในช่วงวัย 0-12 ปี เด็กจะระลึกถึงสายสัมพันธ์นั้น และไม่ถลำลึกไปสู่สังคมออนไลน์นั้น หรือ สิ่งที่ไม่ดีที่เรากลัว
การสร้างสัมพันธ์ในวัยเยาว์เริ่มต้นจาก…
- พ่อแม่ที่มีอยู่จริง
การมีเวลาให้ลูก ใช้เวลานั้นร่วมกับเขา เล่น อ่านนิทาน ทำงานบ้าน ทำสิ่งต่างๆ มีกันและกันในช่วงวัยเยาว์ของลูก โดยที่ไม่ใช่การรักลูกแบบตามใจ พ่อแม่ใจดี แต่ไม่ใจอ่อน - สอนสิ่งต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ การช่วยเหลือตัวเองตามวัย ไม่ตามใจในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ลงโทษรุนแรงจนลูกหวาดกลัวเมื่อลูกทำผิด แต่เราจะสอนและให้เขารับผิดชอบทุกครั้งที่ทำผิด
- เคียงข้างร่วมทุกข์ร่วมสุข เมื่อลูกมีปัญหา เราแนะนำ เคียงข้าง และให้การสนับสนุนในสิ่งที่ลูกเลือก
การรักษาสายสัมพันธ์ในวัยรุ่น หัวใจสำคัญอยู่ที่การสื่อสารและการเป็นบ้านที่อบอุ่น
- รับฟังให้มาก พูดบ่นให้น้อย งดตำหนิและซ้ำเติม แต่ไม่ได้แปลว่าเราห้ามพูดอะไรเลย ถ้าหากเราอยากให้วัยรุ่นรับฟัง เราจำเป็นต้องฟังเขาพูดให้จบก่อน และเมื่อถึงคราเราพูด ขอให้พูดสิ่งสำคัญที่จำเป็นก่อน ไม่ใช้อารมณ์และคำเสียดสี ประชดประชัน
- สนับสนุน เคียงข้าง ไม่กดดัน วัยรุ่นไม่ต้องการอะไรมากมาย เขาต้องการคนสนับสนุนและเชื่อในตัวเขา แต่ในยามที่เขาผิดพลาด เราแนะนำได้ แต่ต้องให้เขาแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเอง เพื่อที่วัยรุ่นจะเติบโตขึ้น
- ปล่อยวางให้เป็น หากลูกไม่ได้ทำให้ตัวเขาหรือใครเดือดร้อน แค่เพียงสิ่งนั้นไม่ถูกใจพ่อแม่อย่างเรา เช่น การเลือกแต่งตัว สีผม การเลือกเพื่อนของเขา พ่อแม่ที่ลูกวัยรุ่นจะเปิดใจด้วย คือพ่อแม่ที่เป็นนักสังเกต แต่ไม่ใช่นักจับผิด สังเกตเพื่อทำความรู้จักลูก และทำความเข้าใจ หากสิ่งใดไม่ถูกใจ แต่ไม่ได้ผิดอะไร เราต้องปล่อยวาง แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แนะนำชวนวัยรุ่นตั้งคำถาม หรือ ลองเล่าประสบการณ์ตรงที่เราผิดพลาดให้ลูกฟัง เขาจะรับฟังมากกว่าการที่เราจะสั่งเขาและตำหนิเขาโดยตรง
การสร้างนั้นยาก แต่การรักษาเอาไว้นั้นยากกว่า โดยเฉพาะช่วงที่ลูกเป็นวัยรุ่น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญเราจะได้ทดสอบสิ่งที่เราสร้างมา หากเรามั่นใจว่าเราสร้างไว้ดีพอ เราจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้
ในปัจจุบัน เราหลีกเลี่ยงเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้เทคโนโลยีเหล่านั้นไม่ใช่คนหลักที่ลูกจะนึกถึงและปรึกษา แต่เป็นเราที่ลูกนึกถึง และอยากให้เราเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา
ทั้งนี้พ่อแม่เป็นคนเลือกว่าเราจะสร้างสัมพันธ์กับลูกแบบใดในวัยเยาว์ของเขา สายสัมพันธ์นั้นจะเป็นฐานทางใจของลูกไปตลอดชีวิตของเขา เด็กๆ โตเร็วกว่าที่เราคิด และช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ขอให้เราอยู่ตรงนั้นทั้งตัวและหัวใจ
อ้างอิง
Piaget, J. (1964). Part I: Cognitive development in children: Piaget development and learning. Journal of research in science teaching, 2(3), 176-186.
AAP.org. (n.d.). Retrieved June 23, 2025, from https://www.aap.org/en-us/Pages/Default.aspx