- ‘ร่างกาย’ คือพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ พ่อแม่มักให้ความสำคัญกับพัฒนาการด้านการศึกษาและทักษะต่างๆ แต่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงคือร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งเป็นภาชนะที่พร้อมรับประสบการณ์ใหม่ๆ และช่วยให้เด็กพัฒนาไปได้อย่างเต็มศักยภาพ
- เด็กต้องพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ก่อนกล้ามเนื้อมัดเล็ก เพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวและควบคุมร่างกายได้ดี การฝึกฝนผ่านกิจกรรมชีวิตประจำวันจึงช่วยให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองในเรื่องพื้นฐานได้
- ร่างกายที่แข็งแรงทนทานคือฐานทางใจที่แข็งแรง เด็กที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอและใช้ร่างกายเป็นประจำเพื่อช่วยเหลือตัวเองและทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันมีแนวโน้มจะเรียนรู้ได้ดี
‘จุดเริ่มต้นที่เรามักหลงลืม’
ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด จากเด็กๆ ยุคเจนอัลฟ่ามาจนถึงปัจจุบันสู่ยุคเบต้า สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ ‘พ่อแม่ปรารถนาให้ลูกมีชีวิตที่ดี’ จึงพยายามมอบสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดให้ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ การศึกษาที่ดี และพาลูกไปทำกิจกรรมที่เสริมทักษะรอบด้าน ดนตรี ภาษา ศิลปะ เทคโนโลยี และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยเตรียมพร้อมให้เด็กๆ ในการใช้ชีวิตและก้าวต่อไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ได้สำเร็จ เรามักมองไปที่ปลายทางจนเราเผลอมองข้ามจุดเล็กๆ ที่แสนสำคัญยิ่ง จุดเล็กๆ ที่จะทำให้เด็กๆ ทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไม่ติดขัด สิ่งนี้อยู่กับเราตั้งแต่จุดเริ่มต้นของชีวิต และจะอยู่กับเราไปจนวันสุดท้ายก่อนจะจากโลกนี้ สิ่งนั้นก็คือ ‘ร่างกายของเรา’
‘ร่างกายเปรียบเสมือนภาชนะที่พร้อมใส่สิ่งสำคัญในชีวิต’
ร่างกายที่แข็งแรงและยืดหยุ่นเพียงพอก็เปรียบเสมือนภาชนะที่แข็งแรง แต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปทนทานต่อความร้อน ความเย็น โดยไม่รั่วหรือแตกลง เมื่อได้รับสิ่งสำคัญระหว่างทางของการใช้ชีวิต เก็บความรู้และประสบการณ์ รับมือกับความรู้สึกต่างๆ และขยายตัวเติบโตไปตามกาลเวลาได้ ‘ร่างกายที่ดีจึงมักเป็นที่อยู่ของจิตใจที่ดีด้วย’
‘การเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อม’
การเตรียมความพร้อมให้ร่างกายแข็งแรงทนทานพร้อมใช้ชีวิตจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและต้องฝึกฝนตั้งแต่เยาว์วัย
ธรรมชาติของพัฒนาการมนุษย์ การเติบโตของเด็กๆ มักจะพัฒนาจากสิ่งที่มีขนาดใหญ่ไปสู่สิ่งที่มีขนาดเล็กเสมอ ดังนั้น ‘กล้ามเนื้อมัดใหญ่ควรพัฒนาก่อนกล้ามเนื้อมัดเล็ก’
เด็กๆ ควรมีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ได้แก่ แขน ขา และแกนกลางลำตัว เพื่อที่เขาจะสามารถนั่งอย่างมั่นคง เคลื่อนไหวร่างกายด้วยการเดิน การวิ่ง การขึ้นบันได และจึงไปปีนป่ายสิ่งต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่เขาจะพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้แก่ มือและนิ้วทั้งสิบของเขา ในการหยิบจับสิ่งต่างๆ และจับอุปกรณ์เพื่อขีดเขียน ตัด และอื่นๆ
‘เด็กๆ สามารถหยิบจับสิ่งที่มีขนาดใหญ่ก่อนขนาดเล็ก’ เช่น บล็อกไม้ชิ้นใหญ่ก่อนตัวต่อพลาสติกขนาดเล็ก สีเทียน/ดินสอขนาดใหญ่ ก่อนดินสอขนาดเล็ก ติดกระดุมเม็ดใหญ่ ก่อนติดกระดุมเม็ดเล็ก
‘กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ไปสู่กล้ามเนื้อมัดเล็ก ฐานร่างกายนำไปสู่สมองที่พร้อมเรียนรู้’
‘การฝึกฝนที่เรียบง่ายที่สุดนำไปสู่การทำงานใหญ่ได้ในอนาคต’
เด็กๆ ฝึกฝนร่างกายผ่านการช่วยเหลือตัวเองและการเคลื่อนไหวเพื่อเล่นและออกกำลังกาย ดังนั้นในเด็กปฐมวัย วัยที่สำคัญที่สุดที่ร่างกายต้องได้รับการฝึกฝนและพัฒนาพร้อมกันกับจิตใจ ยิ่งเด็กๆ ได้ลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง เขาได้ใช้ร่างกาย สมองคิด และฝึกจิตใจให้อดทนไปด้วยในเวลาเดียวกัน
หากอ้างอิงตามพัฒนาการของเด็กช่วงวัย 2-3 ปีสิ่งที่ทำให้เป็นหัวใจสำคัญของเด็กวัยนี้คือ ‘ความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy)’ เด็กวัยนี้มีอิสรภาพทางร่างกายมากขึ้น เขาสามารถคลาน เดิน วิ่ง และหยิบคว้าอย่างรวดเร็ว เพราะกล้ามเนื้อของเขาเริ่มแข็งแรงพอจะเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง แต่อาจจะกะน้ำหนักมือไม่ได้และยังไม่คล่องแคล่วมากนัก ทำให้เขาอาจจะทำน้ำหก ทำของหลุดมือ จับของแล้วเผลอบีบจนเละคามือ และหกล้มได้บ่อยครั้ง
ดังนั้น ความสามารถที่ต้องพัฒนามาพร้อมกับด้านร่างกาย คือ ‘การควบคุมร่างกายตนเอง’ ซึ่งทักษะนี้จะเกิดขึ้นได้ หากเด็กได้ลงมือทำ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเด็กรับรู้ว่า ‘ตนเองสามารถทำสิ่งใดได้ด้วยตนเอง’ เขาจะรับรู้ถึงความสามารถของตน ซึ่งนำไปสู่ความภาคภูมิใจ และความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง (Sense of Autonomy) และการควบคุมตนเอง (Self Control) คือความสามารถในการยับยั้งชั่งใจจะเกิดขึ้นตามมา
‘5 การฝึกช่วยเหลือตัวเองและกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาการร่างกาย’
(1) การกินข้าวเอง
‣เด็กเล็กมากๆ จะเริ่มต้นจากการใช้มือหยิบอาหารเข้าปากได้เอง จากนั้นใช้ช้อน (มือเดียว) และสุดท้ายใช้อุปกรณ์สองมือพร้อมกัน เช่น ช้อน-ส้อม มีด-ส้อม พร้อมกัน
‣ในเด็กวัย 3-4 ปี สามารถเรียนรู้การใช้ตะเกียบได้ เริ่มจากตะเกียบเด็กก่อนจะไปสู่ตะเกียบผู้ใหญ่
การฝึกฝนเริ่มต้นบนโต๊ะอาหาร เด็กควรใช้ตามองอาหาร ไม่ใช่ตามองจอ เล่นของเล่น อ่านนิทานใดๆ
กินอาหารจึงควรกินอาหาร ไม่ทำหลายอย่างไปพร้อมกัน เพราะเด็กจะไม่ได้ฝึกทักษะ ‘การใช้มือกับตาทำงานร่วมกัน’ และ ‘การจดจ่อกับงานตรงหน้า’
(2) การถอด-ใส่รองเท้าและเสื้อผ้าเอง
ตามพัฒนาการของเด็กแล้วสามารถไล่ระดับจากง่ายไปยาก
‣เด็ก 1-2 ปี รูดซิปขึ้น-ลง ถอดถุงเท้า รองเท้าแบบสวมเข้าอย่างง่ายหรือมีเวลโครได้ (ไม่มีเชือกผูก)
‣เด็ก 2-3 ปี ถอดเสื้อยืด เสื้อผ่าหน้า โดยมีผู้ใหญ่ช่วยปลดกระดุมให้ ใส่กระโปรงยางยืด กางเกงยางยืด
โดยต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้าง
‣เด็ก 3-4 ปี ถอดเสื้อผ้าได้เองทั้งหมด ใส่เสื้อผ้าที่มีกระดุมที่มีขนาดใหญ่ (2 เซนติเมตรขึ้นไป ประมาณ 3 เม็ด) โดยต้องการความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย
‣เด็ก 4-5 ปี แต่งตัวเองได้ ใส่เสื้อสวมหัว โดยดูหน้า-หลังเป็น ติดกระดุมที่มีขนาดเล็กได้
เด็กจะพัฒนานิ้วมือและการทำงานของตากับมือประสานกันจากงานนี้ ที่สำคัญเมื่อถอดเสื้อแล้วติดหัว เขาจะได้ฝึกแก้ปัญหาและจัดการอารมณ์ตามวัยด้วย
(3) การเข้าห้องน้ำเอง
‣การเข้าห้องน้ำเริ่มต้นจากการ ‘รู้ตัว’ เริ่ม ‘สื่อสาร’ พูดบอก และร่างกายที่เริ่ม ‘กลั้น’ ได้บ้าง
เด็กแต่ละคนทำได้ช้าเร็วแตกต่างกันไป แต่เริ่มต้นจากการฝึกง่ายๆ เด็กๆ ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องไปตอนไหนถึงจะทัน ดังนั้นเราใช้ ‘ตารางเวลา’ ในการช่วยเขา ไปเป็นเวลา พาไปนั่ง ทำความคุ้นเคย ทำซ้ำๆ เป็นประจำ เวลาเดิม
‣สอนผ่านนิทาน เช่น หนังสือนิทานห้องน้ำกลางดึก กางเกงตัวเก่งของปุ๊กจัง หนูนั่งกระโถนเป็นแล้ว
เมื่อเด็กพร้อมเขาจะเริ่ม ‘บอกปวดฉี่/อึ’ แม้จะยังไปไม่ทันการณ์อย่าเพิ่งตำหนิหรือท้อใจ ให้ชื่นชมว่า ‘เยี่ยมเลยที่รู้ว่าปวดแล้ว ครั้งหน้าเรามาลองเข้าให้เร็วขึ้นกันนะ’
(4) การล้างมือ-อาบน้ำ-แปรงฟัน-เช็ดก้น
‘การทำความสะอาดร่างกายทำให้เด็กเรียนรู้ร่างกายตัวเอง’
‣แม้จะแปรง-ล้างได้ไม่สะอาด ค่อยๆ สอน ค่อยๆ ฝึกฝน เด็กๆ จะแปรงและล้างเองจบ ผู้ใหญ่เช็คหรือทำซ้ำเพื่อความสะอาดได้
‣เข้าห้องน้ำเสร็จ สอนเขาดึงกระดาษทิชชู่มาใช้เช็ด หรือ สอนเขาชำระล้างให้สะอาด ตอนแรกอาจจะไม่ถนัด เงอะๆ งะๆ แต่ทำไปเรื่อยๆ เด็กๆ จะทำได้เอง เมื่อเด็กๆ ทำได้เองเขาจึงรู้สึกภาคภูมิใจ
(5) ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงทนทานพร้อมใช้งาน
กล้ามเนื้อมัดใหญ่และแกนกลาง (หลัง-หน้าท้อง) ที่แข็งแรงนำไปสู่การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กที่พร้อมใช้งาน
เด็กที่ร่างกายแข็งแรงทนทานจะหกล้มหรือเกิดอุบัติเหตุได้ยากกว่า เพราะจะเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว หลบหลีกสิ่งกีดขวางและทรงตัวได้ดีกว่า ที่สำคัญตอบสนองได้ทันเวลา เมื่อต้องตอบสนองทันที
เด็กวัยนี้ควรเคลื่อนไหวร่างกายจนเหงื่อเปียกชุ่มอย่างน้อยวันละ 2-3 ชั่วโมง (อาจจะแบ่งเฉลี่ยเช้า-กลางวัน-เย็น
ครั้งละ 30-60 นาที)
การเล่นที่ช่วยพัฒนาร่างกายกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น ปีนเครื่องเล่น-ต้นไม้
‣วิ่งออกกำลังกายต่อเนื่อง เช่น วิ่งไล่จับ และการวิ่งเพื่อวิ่ง
‣กระโดดขาเดียว ขาคู่ เช่น เล่นกระต่ายขาเดียว ตังเต กระโดดยาง
ร่างกายที่แข็งแรงทนทานคือฐานทางใจที่แข็งแรง เด็กที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอและใช้ร่างกายเป็นประจำเพื่อช่วยเหลือตัวเองและทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันมีแนวโน้มจะเรียนรู้ได้ดี รวมทั้งนั่งเรียนได้นาน เขียนได้นาน โดยไม่เมื่อย ทำให้คงสมาธิได้ต่อเนื่อง ในวัยที่ต้องเรียนรู้ขั้นสูงต่อไป
การช่วยเหลือตัวเอง และ การออกกำลังกาย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์เราทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ใช่เพียงแค่เด็กๆ ผู้ใหญ่ทุกคนจำเป็นต้องรักษาสิ่งเหล่านี้ต่อไปตลอดชีวิตเช่นกัน เมื่อไหร่ที่เราหยุดดูแลตัวเอง ใจเราจะป่วย เมื่อไหร่ที่ร่างกายของเราหยุดเคลื่อนไหว แม้จะยังมีลมหายใจ แต่จิตใจของเราก็จะเหมือนตายจากเราไปแล้ว
ร่างกายที่แข็งแรงจึงเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง ในวัยผู้ใหญ่การมีร่างกายที่แข็งแรงพร้อมใช้งาน ทำให้เราสามารถทำสิ่งที่เราตั้งใจได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่าร่างกายของเราจะไปพร้อมเราไม่ได้ การไม่เจ็บป่วยเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิต และกายที่แข็งแรงจะพาเราไปทุกที่ ไปได้ไกลดังที่ใจเราคิด
สุดท้าย ‘อย่ามองเพียงปลายทางที่ห่างไกล จนลืมให้เด็กๆ ดูแลร่างกายและใช้ร่างกายของเขาทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มที่ เพราะช่วงวัยเด็กไม่ได้ยาวนานนัก ไม่นานเขาจะไม่มีเวลาวิ่งเล่นและลองผิดลองถูกได้อีก’
อ้างอิง
Widick, C, Parker, C A, & Knefelkamp, L (1978) Erik Erikson and psychosocial development New directions for student services, 1978(4), 1-17