- พระจิตร์ จิตตสวโร หรือ ‘หลวงพี่โก๋’ คือผู้ถ่ายทอดเนื้อหาต่างๆ ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘วิชาใจ’ โดยอิงหลักธรรมผสมผสานหลักจิตวิทยาแบบเข้าใจง่าย เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่คอยปลอบโยนและเตือนสติผู้คน
- ชื่อเดิมของท่านคือ จิตร์ ตัณฑเสถียร อดีตผู้บริหารบริษัทวิจัยการตลาดที่มีชื่อเสียง ก่อนตัดสินใจบวชตลอดชีวิตจากความขี้สงสัยและความตั้งใจที่อยากจะศึกษาวิชาใจเป็นงานหลักแบบเต็มเวลา
- หัวใจสำคัญของ ‘วิชาใจ’ คือการชวนทุกคนตรวจตราตัวเองในทุกมิติ และเป็นเพื่อนที่ดีกับตัวเอง “เราต้องกล้าสำรวจว่าทุกข์นั้นเกิดจากอะไร” “ธรรมชาติของอารมณ์คืออะไร” “เราจะอยู่ยังไงโดยที่ไม่เป็นทุกข์”
“จะรักใคร จะห่วงใยใคร ก็อย่าทอดทิ้งตัวเอง
ต่อให้คนทั้งโลกสนใจเรา ถ้าเราไม่ดูแลตนเอง ไม่สนใจศึกษาความจริงเกี่ยวกับชีวิตใจตัวเอง เราจะไม่มีวันรู้จักและเข้าใจตัวเองเลย
เจริญสติให้มาก สังเกตความคิดความอ่าน ความเชื่อของตนเองให้มาก สำรวจ และแก้ไขปรับปรุงตนเองให้มาก
จะรักใคร จะห่วงใยใคร ก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ”
ข้อคิดสั้นๆ เรื่อง ‘อย่าทอดทิ้งตัวเอง’ พร้อมภาพประกอบน่ารักๆ จากแฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘วิชาใจ’ คือหนึ่งในคอนเทนต์ที่ผมเชื่อว่าน่าจะโดนใจใครหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเหนื่อยล้า หรือหลงลืมที่จะใส่ใจตัวเอง
หากใครติดตามเพจวิชาใจเป็นประจำ คงจะรู้ดีว่าจุดเด่นของเพจคือการสื่อสารธรรมะผ่านข้อความที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่มีศัพท์ยากๆ ที่อ่านแล้วรู้สึกห่างไกล ซึ่งผู้เขียนน่าจะมีพื้นฐานความเข้าใจด้านจิตวิทยาด้วย ทำให้เนื้อหาสามารถเข้าถึงหัวใจคนทั่วไป จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังข้อความที่ทั้งปลอบโยนและให้กำลังใจเหล่านี้เป็นใคร
ทว่าเมื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมกลับปรากฎชื่อของ พระจิตร์ จิตตสวโร หรือ ‘หลวงพี่โก๋’ ปัจจุบันท่านพำนักอยู่ที่ สถานปฏิบัติธรรมมูลนิธิร่มเย็ญ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งความน่าสนใจนอกจากจะอยู่ที่ตัวท่านที่เคยเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงก่อนจะหันหลังให้ทางโลกเพื่อศึกษาทางธรรมแบบฟูลไทม์ ยังเป็นวิธีการสื่อสารที่ตรงใจหลายๆ คนที่อาจกำลังมีคำถามเกี่ยวกับชีวิต หรือถูกโถมทับด้วยอารมณ์จนเป็นทุกข์

นักกลยุทธ์โฆษณาผู้ตามหาคำตอบของ ‘ใจ’
ก่อนที่หลวงพี่โก๋จะมาบวช เขาคือ จิตร์ ตัณฑเสถียร ผู้บริหารบริษัทวิจัยการตลาดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศไทย ซึ่งให้บริการด้านการให้คำปรึกษา การสร้างแบรนด์และการตลาด โดยสื่อหลายสำนักยกย่องว่าเขาเป็นนักกลยุทธ์โฆษณาที่การันตีคุณภาพด้วยรางวัลระดับนานาชาติ
“หลวงพี่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มามากกว่ายี่สิบปี ได้พบกับเหตุการณ์ต่างๆ นับไม่ถ้วน เห็นวิกฤตเศรษฐกิจ เห็นการพบการจาก การเบียดเบียน ความโกรธ หลวงพี่ต้องอยู่ท่ามกลางมนุษย์แต่ละคนที่มีแรงบันดาลใจแตกต่างกันออกไป ยิ่งในอาชีพนักกลยุทธ์ที่ต้องชี้ชวนให้ผู้คนเกิดพฤติกรรมที่จะเข้าทางภาคธุรกิจ หลวงพี่จึงต้องทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นที่มาของพฤติกรรมเหล่านั้น เหมือนก่อนจะสื่อสารกับใครด้วยเรื่องอะไร หลวงพี่ต้องดูว่าเขาสนใจเรื่องอะไร และประเด็นไหนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขา
หลวงพี่ต้องลงพื้นที่สัมภาษณ์คนหลายพันคน ทำให้ได้เข้าใจความรู้สึกของคน เวลาเห็นคนโกรธ กลัว หรือโกหก หลวงพี่มักจะพยายามคาดเดาว่าอะไรทำให้เขารู้สึกอย่างนั้น คิดย้อนกลับมาแม้กระทั่งว่า ทำไมเราต้องคิดอย่างนั้นด้วย ความเกลียดความกลัวมาจากไหน อะไรที่ทำให้มนุษย์กังวลและมีพฤติกรรมแบบนั้น แล้วท้ายที่สุดเราจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง”
จากความสงสัยสู่หลักธรรมประจำ ‘ใจ’
ด้วยความสงสัยที่ลึกลงไปในเรื่องของจิตใจ หลวงพี่โก๋จึงพยายามค้นหาคำตอบให้กับตัวเอง จนกระทั่งได้นำอาหารไปถวายพระน้องชาย (พล ตัณฑเสถียร) ที่วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร และบังเอิญได้ยินคำสอนของพระพี่เลี้ยงเรื่องการเจริญสติ
“หลวงพี่ฟังแล้วประทับใจมากว่ามันมีวิชาที่บอกเราเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในว่า ทำไมเราถึงคิดอย่างนั้น และความรู้สึกอย่างนั้นมันมาจากไหน”
หลังจากนั้นไม่นาน หลวงพี่โก๋ก็ตัดสินใจบวชเป็นครั้งแรก ก่อนจะตามมาอีกถึง 4 ครั้ง
“หลวงพี่บวชครั้งแรกหลังจากที่พลบวช 1 ปี ครั้งที่สองบวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ครั้งที่ 3 4 5 ก็รวบรวมวันพักร้อนไปบวชเพื่อปฏิบัติธรรม ระหว่างนั้นก็เริ่มมีแรงบันดาลใจที่อยากจะศึกษาเรื่องจิตใจแบบฟูลไทม์ ซึ่งตอนนั้นหลวงพี่เริ่มเป็นผู้บริหารองค์กร ทำให้ต้องค่อยๆ เตรียมตัวหลายครั้งกว่าจะขอปลีกตัวทางโลกและวางความรับผิดชอบต่างๆ ที่มีต่อคนอื่นได้อย่างถาวร จนไม่ต้องกลับไปเป็นผู้บริหารอีกแล้ว”
พอหลวงพี่เล่ามาถึงตรงนี้ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมท่านจึงเลือกที่จะทิ้งชื่อเสียง เงินทอง ความสำเร็จในทางโลก เพราะสำหรับผม การที่ใครสักคนตัดสินใจบวชตลอดชีวิตน่าจะต้องมีเรื่องทุกข์ใจหนักหนาสาหัส หรือไม่ก็มีความจำเป็นทางใดทางหนึ่ง
“ตอนหลวงพี่บวชไม่ได้ทุกข์หรือมีเรื่องมหัศจรรย์อะไรหรอก หลวงพี่เป็นคนสนใจเรื่องจิตใจ แล้วการบวชครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 5 แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้บวช คำตอบคือหลวงพี่น่าจะเข้าใจชีวิตแล้ว และเลือกที่จะศึกษาวิชาใจเป็นงานหลักของชีวิต”

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ย่อมจะต้องมีเสียงทัดทานจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนในครอบครัวที่อดเป็นห่วงไม่ได้
“ตอนบวช ครอบครัวกับคนรอบตัวมีห่วงนะ แต่โชคดีที่หลวงพี่พิสูจน์ตัวเองว่าเราดูแลตัวเองได้ มันไม่ใช่การบวชด้วยอารมณ์ ครอบครัวก็ไว้ใจให้โอกาสหลวงพี่ ส่วนเรื่องงานก็ถึงจุดที่หลวงพี่มีเงินออมพอประมาณจนกระทั่งขอวางไว้ เพราะบางเรื่องเรารอไม่ได้ เราไม่รอแล้ว เราขอทำสิ่งนี้เต็มเวลา ซึ่งการที่เคยเป็นนักกลยุทธ์ทำให้หลวงพี่สามารถจัดลำดับความสำคัญได้ว่าทรัพยากรต่างๆ มันมีจำกัด เช่น ชีวิตมีจำกัด เวลามีจำกัด พละกำลังมีจำกัด ความสนใจมีจำกัด หลวงพี่ก็อยากทำเรื่องที่เห็นว่าสำคัญที่สุดและบริหารของที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ชนเป้ามากที่สุด”
จังหวะนั้นผมถามต่อทันทีว่าเป้าหมายสูงสุดในการบวชของท่านคือนิพพานหรือไม่
“หลวงพี่ไม่ได้คิดว่าจะต้องบรรลุนิพพาน ไม่นะ หลวงพี่แค่เป็นมนุษย์ขี้สงสัย และอยากดูแลตัวเอง อยากอยู่กับความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ ความทรงจำ อยากจะอยู่กับอะไรต่างๆ ของตัวเองให้ได้”
ด้วยความขี้สงสัยและมักมีคำถามเกี่ยวกับชีวิต ท่านจึงศึกษาธรรมะจากพระอาจารย์หลายรูป รวมถึงเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่หมู่บ้านพลัมในประเทศฝรั่งเศสอยู่บ่อยครั้ง เพื่อศึกษาวัตรปฏิบัติจากท่านติช นัท ฮันห์ พระมหาเถระผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการมีสติตื่นรู้ ที่ท่านยกให้เป็น ‘คุณปู่ทางธรรม’
“หลวงพี่อยู่กับท่านนานมาก ไปๆ มาๆ อยู่ 7-8 ปี มีโอกาสแปลหนังสือหลวงปู่และเป็นล่ามให้กับสายการปฏิบัตินี้ จนถึงทุกวันนี้หลายสิ่งหลายอย่างยังคงยึดถือวิถีที่หลวงปู่สอนไว้ ถ้าให้เลือกคำสอนสักอัน หลวงปู่เคยสอนว่า ‘Peace In Oneself, Peace In The World.’ หมายความว่า ก่อนที่เราจะไปทำอะไร ก่อนที่เราจะรู้สึกว่าเราจะอยู่กับโลกอย่างผาสุข เราต้องเริ่มต้นจากการอยู่กับตนเองอย่างผาสุขให้ได้ก่อน อย่าไปคิดว่าโลกจะเข้าท่าเข้าที แล้วเราถึงจะยอมสงบสุข หากเราต้องการทำอะไร ก็ต้องเริ่มต้นจากใจที่สงบสุขของตัวเองก่อน อันนี้ส่วนตัวถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันคือการดูแลตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะทำไปอะไรให้กับคนอื่น
หลวงพี่ว่าบางทีความปรารถนาดีกับคนอื่น เรามองแค่ข้างนอก แต่กลับลืมดูแลตัวเอง บางทีเราทำสิ่งต่างๆ ด้วยความทะเยอทะยาน รักเขาแต่ข้างในมันไม่สะอาด อยากทำดีเพื่อพิสูจน์ตัวเอง หรือทำเพื่อให้ตัวเองมีค่าหรือเติมเต็มความรู้สึกบางอย่าง จนบางครั้งก็เผลอทำเขาเดือดร้อนแทน หลวงปู่จึงสอนให้เราดูแลกาย วาจา ใจ ให้ดีก่อน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีแค่ไหน เราก็ควรดูแลตัวเองให้ดีก่อนเสมอ”
นอกจากคุณปู่ทางธรรมแล้ว หลวงพี่โก๋ยังมีโอกาสได้ศึกษาธรรมกับพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร หรือหลวงพ่อกล้วย แห่งวัดป่าธรรมอุทยาน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งถือเป็น ‘คุณพ่อทางธรรม’ อีกด้วย
“หลวงพี่อยู่กับแต่ละท่านนานมาก ถ้าหลวงพ่อกล้วยก็สิบกว่าปี หลวงพ่อจะสอนให้อ่านตัวเองให้ออกว่าตอนนี้เราเป็นยังไง ร่างกายเรา ใจเรา ความรู้สึกนึกคิดเราเป็นยังไง อ่านอาการตัวเองให้ออก บอกตัวเองให้ได้ว่าสิ่งต่างๆ มันคืออะไร แล้วก็ต้องใช้ตัวเองให้เป็น ใช้สิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง ใช้ความใจดี ใช้ความสงบ ใช้การรับฟัง ใช้คำพูด อ่านตัวเองให้ออก บอกตัวเองให้ได้ และใช้ตัวเองให้เป็น หลวงพ่อจะสอนให้เรารู้จักการอยู่กับความเป็นปกติ ซึ่งเป็นภาคปฏิบัติที่ช่วยให้เราพร้อมรับมือกับสิ่งต่างๆ โดยอาศัยความปกติ ความมั่นคงที่ไม่หวั่นไหว และความสามารถในการตระหนักรู้ครับ”

‘วิชาใจ’ ธรรมะเข้าใจง่ายที่ไม่ปฏิเสธอารมณ์ความรู้สึก
เมื่อได้บวชและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอีกต่อไป หลวงพี่จึงจำวัดที่วัดป่าธรรมอุทยาน พร้อมทั้งทำงานจิตอาสาเพื่อสังคม ซึ่งช่วยให้ท่านได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์ได้อย่างปกติมากขึ้น ก่อนที่จะนำประสบการณ์มาแบ่งปันและแลกเปลี่ยนผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘วิชาใจ’
“นอกจากฝึกปฏิบัติธรรม หลวงพี่ยังได้ไปเป็นจิตอาสาดูแลผู้ป่วยระยะท้าย และมีโอกาสอื่นๆ ที่ต้องอยู่กับคนที่มีความทุกข์และไม่สบายใจ หลวงพี่เห็นว่าหลายคนมักใช้เวลาหมดไปกับเรื่องซ้ำๆ ที่ไม่มีความคืบหน้า หรือบางคนก็อยู่กับคำถามที่วนเวียนไปมา “ทำไมๆๆ” อยู่อย่างนั้น
พอหลวงพี่เห็นเขาก็เริ่มน้อมเข้ามามองตัวเองว่า ถึงเราอาจจะไม่ได้ตกร่องเดียวกับเขา แล้วเราตกร่องอะไรบ้างหรือเปล่า ถ้าเราเห็นคนตกร่องอยู่จะช่วยยังไง จะบอกเขายังไง ‘เลิกเศร้าเถอะ’ งั้นเหรอ สมมติอกหัก คิดให้ตายยังไง ถ้าคนที่เรารักเขาหมดรักเราแล้ว คิดอีก 20 – 30 วันมันก็เหมือนเดิม ถูกไหม แล้วเราจะถอนใจจากเรื่องหนึ่งซึ่งมันเคยมีความหมายกับเราได้อย่างไร เราก็ต้องกลับไปสำรวจและฝึกใจให้เข้มแข็งพอที่จะกลับมามองมันด้วยสายตาของใจดวงใหม่ มันเป็นประเด็นแบบนี้ที่ธรรมะจะช่วยเรา
หลวงพี่ก็พบว่าเราพูดเรื่องแบบนี้กับคนซ้ำๆ บ่อยเหมือนกันเนอะ เริ่มต้นหลวงพี่เลยนำมาเขียนบันทึกส่วนตัว จดไว้ก่อน แล้วเขียนไว้เยอะมากในเฟซบุ๊กเหมือนออนไลน์ไดอารี่แต่ตั้งให้มีเราเท่านั้นที่เห็น จนวันนึงรู้สึกว่าคนเรามีความทุกข์ร่วมกันหลายอย่าง หลวงพี่ก็แบ่งปันไป ไม่ได้คิดอะไรที่ธรรมะธัมโม เพราะตอนนั้นเริ่มจากพรรษาที่ 4 หลวงพี่ไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นผู้รู้ รู้แค่ประสบการณ์นี้ดี ลองมองมุมใหม่มันก็คลายทุกข์ไปโขเลยนะ ทีนี้ประเด็น มุมมอง แง่คิด คำอธิบาย และวิธีการเข้าถึงปัญหาเดิมมันก็โตไปพร้อมกับเรา หลวงพี่คิดว่าถ้าย้อนกลับไปอ่านแรกๆ คงดูไม่ได้เหมือนกันมั้ง (หัวเราะ) เรายังไม่ได้โต หรือเรายังไม่ได้มีวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณขนาดนั้น”
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ข้อความสั้นๆ เหมือนโน้ตขนาด A5 และรูปที่มีจิตอาสาวาดถวาย ก็ค่อยๆ โอบกอดและให้กำลังใจผู้คนที่เผชิญกับความทุกข์ หรือกำลังพยายามฝึกใจตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น
“หลวงพี่มองว่าทุกอารมณ์มีหน้าที่ของเขา แค่เราใช้เขา เหมือนเสื้อผ้า แขนยาว แขนสั้น เสื้อกล้าม มันก็ไม่ได้มีอะไรเลย เหมือนความโกรธที่ไม่มีใครห้ามใครโกรธได้ แค่คนๆ หนึ่งรู้ว่าถ้าไม่โกรธเขาต้องวางใจอย่างนี้ ถ้าโกรธต้องวางใจอย่างนั้น
บางคนอาจเคยชินกับการใช้ความโกรธเป็นเครื่องมือในการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากอันตรายบางอย่าง คือต้องเข้าใจว่าโกรธไม่ได้แย่เสมอไปนะ หลวงพี่เป็นพระแนวนี้ครับ คุณโกรธได้แต่คุณต้องใช้ความโกรธ ไม่ใช่ให้ความโกรธใช้คุณ โอเคไหม
การใช้ความโกรธคือการคุยกับลูกได้ บอกลูกว่าอันนี้แม่ไม่โอเค ไม่ใช่ไปทำให้ลูกเสียใจโดยที่เราขาดสติ บางครั้งความอ่อนโยนและความใจดีที่เราทำไปโดยความเคยชินยังอาจจะเป็นอันตรายมากกว่าความโกรธที่เราแสดงอย่างมีสติอีกนะ เพราะในความอ่อนโยนนั้น เราอาจจะสมยอมแล้วรู้สึกเป็นเหยื่ออยู่ลึกๆ ก็ได้
ส่วนความทุกข์ของคนมันละลานมากจริงๆ เอาแค่เช้านี้มีคนบอกหลวงพี่ว่าเขารู้สึกไม่มีค่า ทำอะไรก็ผิด ดีไม่พอสำหรับคนอื่น แต่ที่หนักมากๆ คือ ‘ไม่เคยดีพอสำหรับตัวเอง’ หลวงพี่เชื่อว่าไม่มีใครอยากทุกข์หรอก ข้อความเพจวิชาใจนั้นจะทำงานได้ดีกับคนที่อยากจะออกจากความรู้สึกนี้เป็นทุน เอาง่ายๆ ต่อให้คนที่รู้สึกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาขวนขวายจนมาหาเราแล้ว แปลว่าเขายังมีแรงบันดาลใจที่จะอยู่ต่อ ต่อให้จะมีความรู้สึก (อยากอยู่ต่อ) นั้นสักกี่มากน้อยก็ตาม ฉะนั้นมันมีข้อได้เปรียบตรงที่ว่า กว่าเราจะมาพบกัน เขามีแรงบันดาลใจที่จะเลิกโกรธ มีแรงบันดาลใจที่อยากจะออกจากความรู้สึกตรงนี้”

เมื่อวิชาใจคือวิชาที่ว่าด้วยการตระหนักรู้ในตัวเอง หลวงพี่โก๋จึงแนะนำเครื่องมือที่จะช่วยให้เราสามารถสำรวจ เข้าใจ และรับมือกับอารมณ์ความรู้สึกได้ดียิ่งขึ้น
“มันมีตั้งแต่สติ การตระหนักรู้ว่าตอนนี้ร่างกายเราเป็นยังไง ข้างในของเรามันสั่นไหวหรือสงบนิ่ง เรารู้ว่าเราเครียดหรือเปล่า หรือเราสบายๆ เรารู้ว่าเราผ่อนคลายอยู่ หรือเราเหนื่อยไปหมดแล้ว มันต้องมีความตระหนักรู้สภาพร่างกาย ต้องรู้ว่าอาการอย่างนี้มันเป็นอาการทางกาย หรือมีความไม่สบายใจผสม อย่างเช่นเราเหนื่อย มันเหนื่อยตัวจริงๆ เพราะว่าเราโดนแดด ไม่ได้นอน หรือมันเหนื่อยใจเพราะเจอเรื่องนี้ซ้ำๆ อีกแล้ว และพอเรามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดว่ามันอยู่ตรงไหน มันก็เหนื่อยใจ เราต้องรู้ว่ามันเหนื่อยตัวหรือเหนื่อยใจ เพราะถ้าเหนื่อยตัวมารวมกับเหนื่อยใจมันจะหมดแรงกว่าปกติ
ฉะนั้นเราต้องรู้จักร่างกายเรา ต้องรู้อารมณ์เราว่าตอนนี้เรารู้สึกไม่ค่อยดี ตอนนี้ระดับความอดทนเราเริ่มต่ำลงแล้ว เราต้องรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นข้างใน เราเชื่ออะไร ต้องการอะไร คาดหวังอะไรกับตัวเอง เรารู้ไหม หรือเรากำลังเหนื่อยจากการถูกคาดหวัง หรือเรากำลังเหนื่อยจากความคาดหวังที่เรามีต่อผู้อื่น
มันเป็นการตรวจตัวเราเองในทุกมิติ ว่าลึกๆ เราต้องการอะไรกันแน่ เราต้องเป็นเพื่อนที่ดีกับตัวเอง เราต้องกล้าสำรวจ กล้าเรียนรู้ว่าทุกข์นี้เกิดจากการอิจฉา เกิดจากการเปรียบเทียบ
เรารู้ว่าอิจฉาไม่ดี แต่ข้างในมันมีสิ่งนี้ แล้วเราไปผูกว่าถ้าเรารู้ว่าข้างในเราอิจฉา เรากำลังเป็นคนแย่ เราไม่คิดว่าความอิจฉา ความรู้สึกเปรียบเทียบมันเป็นอาการทางใจ เหมือนกับอาการทางกายที่เราไม่ได้ตั้งใจจะไอ เราไม่ได้ตั้งใจไมเกรน เราไม่ได้ตั้งใจแสบตา เราไม่ได้ตั้งใจคันคอ แต่เนี่ย…อาการทางใจ แล้วนี่คือ ‘วิชาใจ’
เมื่อใจมีอาการแบบนี้เขามีที่มาที่ไป เราไม่ได้อิจฉา เราไม่ได้เปรียบเทียบกับเพื่อน เพราะเราไม่ได้เป็นเพื่อนแท้ แต่เราอยู่ในวัยที่จะต้องพัฒนาตัวเอง ซึ่งเราก็รู้สึกว่าเพื่อนทำได้ดีจัง แล้วเราล่ะ อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้แย่ครับ แต่เราต้องรู้ที่มาที่ไป แต่ถ้าเราเริ่มไม่ชอบตัวเองที่อิจฉาเพื่อน โอโห มันก็ถูกรุมกินโต๊ะเลย แล้วก็บอกใครไม่ได้ มองหน้าเขาเราก็รู้สึกผิด มันสารพัดซ้ำซ้อน …เนี่ย หลวงพี่ทำเรื่องพวกนี้ให้มันชัดเจน อย่างน้อยที่สุด ชัดเจนของตัวเอง แล้วก็ทำให้คนข้างหน้าเขาชัดเจนกับสิ่งนี้ของเขา มันไม่ผิด อยู่กับมันให้เป็น และมีความสัมพันธ์กับสิ่งนั้น จริงๆ เราอาจจะมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ในตัวที่สามารถนำมาใช้ดูแลตัวเองได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องมีสติ หนึ่ง มีความตระหนักรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น สอง ต้องมีความเป็นมิตรเพียงพอกับสิ่งเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะบอกว่า ไม่จริงหรอกเราไม่โกรธ ไม่จริงหรอกเราไม่กลัว คือเราไม่ต้องหล่อ ขอให้เราจริงใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง สาม เราต้องรู้สึกปลอดภัยในการอยู่กับสิ่งเหล่านี้ของตนเอง ซึ่งบางทีเป็นความปลอดภัยที่เรามีกับตัวเอง หรือบางทีเป็นเพื่อนข้างหน้าที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย เราอาจจะมีใครสักคนที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้
สี่ เราต้องรู้จักว่าอารมณ์พวกนี้คืออะไร ความกระวนกระวายคืออะไร ความคาดหวังคืออะไร มันก็เหมือนกับคนทำอาหาร รู้ว่าอะไรคือเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม แต่นี่มันเป็นเรื่องของใจ วิชาใจ”

การสูญเสีย บทเรียนที่ทุกคนควรรู้และเตรียม ‘ใจ’
เพราะชีวิตมักนำพาความรู้สึกสูญเสียมาเป็นบททดสอบให้เราเสมอ การทำความเข้าใจกับธรรมชาติของความรู้สึกนี้จึงเป็นวิชาใจที่หลวงพี่โก๋อยากชวนทุกคนเรียนรู้ร่วมกัน
“ในมูลนิธิร่มเย็ญ หลวงพี่ได้เชิญจิตแพทย์มาทำงานร่วมกันและจัดอบรมเพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องการสูญเสีย ซึ่งตัวหลวงพี่สนใจและมีประสบการณ์การสูญเสียเช่นกัน และเมื่อยิ่งพิจารณาก็ยิ่งพบว่า จริงๆ แล้วเราต่างเผชิญการสูญเสียอยู่ทุกวัน เราสูญเสียเมื่อวาน…ไม่งั้นเราจะไม่มีวันนี้ เราสูญเสียวัยเด็ก…ไม่งั้นเราก็โตไม่ได้ เราสูญเสียความโสด เราถึงกลายเป็นสามีหรือภรรยากับใครสักคน เราสูญเสียชีวิตที่คล่องตัว เพราะเราเลือกจะเป็นคุณพ่อ มันมีการสูญเสียแสนปกติอย่างนี้แหละครับ
เวลาที่มีคนมาหาหลวงพี่ เป้าหมายหลักคือการประเมินศักยภาพของเขา บางคนอาจต้องการแค่คนรับฟัง หลวงพี่ก็จะรับฟังเขา แต่ถ้าจิตตกแล้วใจเริ่มมีกำลังขึ้น หลวงพี่จะชวนเขานั่งอยู่กับความรู้สึกของตัวเองเพื่อสำรวจอาการ เช่น พุทโธได้ไหม พองยุบได้หรือเปล่า ถ้าระบบหายใจไม่ดี หลวงพี่จะช่วยเขาระลึกถึงตัวเองผ่านการเคลื่อนไหว เพื่อให้เขาอยู่กับความรู้สึกตัว ไม่ให้ใจหลุดไปที่ความกังวล เรียกว่ามอบหมายที่ทางให้ใจอย่างเหมาะสมดีกว่า หรือบางคนป่วยหนักแต่มีความรับผิดชอบเยอะและมีความกังวลมาก ถ้าอยากจะคลายความกังวล หลวงพี่จะชวนเขาไปสำรวจแรงบันดาลใจในการรับผิดชอบสิ่งต่างๆ แล้วทำให้เขาเห็นว่าเขาได้ทำในส่วนที่รับผิดชอบอย่างดีมากแล้ว และบางทีคนรอบตัวเขาก็อาจพร้อมรับผิดชอบตัวเองมากกว่าที่เขาคิด”
ปัจจุบัน หลวงพี่โก๋ยังคงเดินทางสำรวจจิตใจของท่านเอง และทำความเข้าใจอารมณ์ต่างๆ อย่างเป็นมิตร เพื่อค้นหาวิธีการอยู่ร่วมกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างสมดุลและเป็นปกติ
“หลวงพี่หากินข้างในแล้วครับ หลวงปู่หลวงพ่อได้สอนความจริงเกี่ยวกับข้างในของเราแล้ว เวลาที่เรารู้ว่าโกรธเป็นอย่างนี้ เหงาเป็นอย่างนี้ กลัวเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นการ์ตูนก็อาจจะเหมือน Inside Out ให้เรารู้จักตัวละครต่างๆ ข้างในของเรา เพราะแท้จริงแล้วมันไม่ใช่แค่ตัวละครธรรมดา แต่เป็นเหมือนถาดสี ตัวนี้เป็นพ่อ ตัวนั้นเป็นแม่ ส่วนตัวอื่นๆ เป็นญาติโกโหติกาภายในใจของเรา หลวงพี่ทำเรื่องนี้เป็นหลัก ค่อยๆ ทำความรู้จักตัวตนเหล่านี้ทีละตัว เข้าใจว่าแต่ละตัวเกิดขึ้นมาจากไหน แล้วเราจะอยู่ตรงไหนในใจ เพื่อไม่ให้ถูกรบกวนจากตัวเหล่านี้
ธรรมชาติของอารมณ์ ความทรงจำ การประมวลผล ความคิดความอ่าน ความเชื่อ ความเห็น ความต้องการ เหล่านี้คืออะไร เราจะอยู่ยังไงโดยที่ไม่เป็นทุกข์
ดังนั้นถ้าเราตื่นรู้กับมัน รู้จักมันจนถึงที่สุด เราก็สามารถอยู่กับมันได้โดยไม่ถูกรบกวน แล้วจะเจ๋งกว่านั้นอีกถ้าเราสามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้ อยู่ยังไงให้เป็น ไม่เผลอหลงรัก และไม่เผลอกลายเป็นก้อนไฟเวลาเจอเรื่องน่าโมโห มันเป็นกระบวนการที่เราอยู่กับตัวเองเป็น เข้าใจตัวเอง และใช้ตัวเองเป็นในลักษณะที่เกิดประโยชน์”
ก่อนจบการสนทนา หลวงพี่โก๋ได้ชวนให้ผมลองปฏิบัติสิ่งที่ท่านทำเป็นประจำ นั่นคือการอยู่กับความเงียบ เพื่อให้ใจของเรามีสติและกลับมาสู่สิ่งที่เรียกว่า ‘ปัจจุบันขณะ’
“ลองทำไปพร้อมกันไหมครับ นั่งหลังตรง สบายๆ หลับตาลงเบาๆ หายใจเข้า… แค่รับรู้ว่ากำลังหายใจเข้า หายใจออก… รู้ว่าเรากำลังหายใจออก แล้วหยุดนิ่งกับลมหายใจนั้นสักครู่หนึ่ง ลองสังเกตความเงียบข้างใน เงียบๆ ที่ไม่มีเสียงอะไร
หรือถ้าใจยังไม่นิ่ง เราอาจจะลองนับเบาๆ ในใจ หนึ่ง… สอง… หลังจากนั้นไม่ต้องนับอะไรอีก แค่สังเกตความเงียบหลังเลขสองจบ แค่นี้เองครับ สบายๆ ไม่ต้องไปเกร็ง มันไม่ใช่ของประหลาด
ทีนี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วดูสิว่าข้างในยังเงียบอยู่ไหม แม้ข้างนอกอาจมีเสียงต่างๆ แต่ข้างในเราก็ยังอยู่กับความเงียบได้ แค่นี้ก็พอแล้ว ได้ไหมครับ เจอเงียบๆ ไหม ใจของหลวงพี่ก็อยู่อย่างนี้แหละ อยู่กับเงียบๆ ถ้ามีธุระอะไรมาก็ค่อยคิด ค่อยทำทีละเรื่อง แต่ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อยู่กับเงียบๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเรามีเงียบๆ เป็นเพื่อนของเรา”