- จากครูที่เด็กๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ กลายเป็นครูที่แค่อยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้นักเรียนพร้อมจะแลกเปลี่ยนสุขทุกข์ หัวเราะและน้ำตาแตกในเวลาใกล้กันได้ ครูต้น – เบญจวรรณ บุญคลี่ ครูแนะแนวประจำโรงเรียนสามพรานวิทยา จังหวัดนครปฐม
- “การฟังเป็นพื้นฐานของการสร้างพื้นที่ปลอดภัย เราต้องทำให้เด็กสบายใจที่จะพูด กล้าที่จะบอกความรู้สึก และให้เพื่อนรู้จักรับฟังกัน เพราะถ้าพูดแล้วไม่มีคนฟัง ก็ไม่รู้สึกว่าปลอดภัยหรืออยากจะเล่าให้ใครฟัง”
เรื่อง: ดวงใจ
“เมื่อก่อนนี้ครูเคยไปซื้อของที่ห้างฯ แล้วเจอเด็กๆ กำลังซื้อขนมอยู่ พอทั้งกลุ่มหันมาเห็นครู ก็วิ่งหนีกันไปหมดเลย เรารู้สึกแย่มาก ทำไมเด็กถึงวิ่งหนีทั้งที่เราเป็นครูแนะแนว หลังจากนั้นก็เลยมานั่งคิดว่าตอนเด็กๆ เราอยากได้ครูแบบไหน แล้วตอนนี้เราเป็นครูแบบนั้นหรือเปล่า”
หนึ่งในคำบอกเล่าของครูต้น-เบญจวรรณ บุญคลี่ ครูแนะแนวประจำโรงเรียนสามพรานวิทยา จังหวัดนครปฐม ที่เล่าถึงตัวเองในอดีต อันเป็นที่มาของจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในวิชาชีพ
เรากำลังเดินทางไปที่โรงเรียนสานพรานวิทยา จังหวัดนครปฐม ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่อง ‘กีฬา’ มีห้องเรียนสำหรับนักกีฬา รวมถึงบ้านพักและสนามฝึกซ้อม เมื่อมาถึงก็พบกับภาพวาดขนาดใหญ่บนผนังอาคารเรียน เขาคือ ‘เจ – ชนาธิป สรงกระสินธ์’ นักเตะชื่อดังศิษย์เก่าของที่นี่
แต่วันนี้เราไม่ได้มาเพื่อพบกับเมสซี่เจ…
เสียงเพลงดังขึ้น บอกให้รู้ว่าถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว เรารีบมุ่งตรงไปยังห้องแนะแนวที่มีเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ โดยมี ‘ครูต้น – เบญจวรรณ บุญคลี่’ เรียกเด็กๆ ให้มานั่งรวมกัน เราเลือกนั่งอยู่ตรงมุมห้อง ในจุดที่คิดว่าจะมองเห็นการเรียนการสอนทั้งหมด
‘สายธารชีวิต’ คือกิจกรรมในห้องเรียนแนะแนววันนี้ คาบเรียนของครูต้นดำเนินไปด้วยการที่นักเรียนเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ผ่านภาพวาดที่เป็นเหมือนเส้นแม่น้ำ และนักเรียนเป็นผู้วาดเอง เสียงพูดคุยแลกเปลี่ยนสลับกับเสียงร้องไห้ระบายความอัดอั้นตันใจ ถ้าไม่บอกว่านี่คือห้องเรียน เรานึกว่าเป็นการนั่งล้อมวงคุยกันระหว่างเพื่อนสนิท
“เราไม่อยากให้ความสัมพันธ์ในชั้นเรียนเป็นแบบครู – นักเรียน ที่นี่ทุกคนเท่ากัน กิจกรรมแนะแนวมันต้องสนุก มีเกมให้เล่น เด็กๆ สนุกไปกับสิ่งที่เราสอน” ครูต้นเริ่มต้นบทสนทนา บอกกับเราอย่างนั้น และอธิบายว่า “สายธารชีวิตคือการให้เด็กคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ที่ทำให้เขาเป็นเขาในวันนี้ และสำรวจว่าชีวิตมีจุดเปลี่ยนแปลงอะไร เป้าหมายในอนาคตคืออะไร ซึ่งแม่น้ำชีวิตของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน”
แต่ก่อนหน้านี้ครูต้นไม่ใช่ครูแนะแนวแบบนี้ เธอเป็นครูตามขนบทั่วไป ด้วยบุคลิกส่วนตัวที่ ‘แมนๆ’ ตรงไปตรงมา ไม่ได้มีภาพจำของคุณครูผู้แสนอ่อนหวานอย่างครูแนะแนวในจินตนาการ และอย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น เธอเคยเป็นครูที่เด็กๆ เลือกหลบหนีมากกว่าจะทักทายอย่างสนิทใจและเป็นกันเอง
จุดเปลี่ยนของครูคืออะไร จากครูต้นที่เด็กๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ กลายเป็นครูที่แค่อยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้นักเรียนพร้อมจะแลกเปลี่ยนสุขทุกข์ หัวเราะและน้ำตาแตกในเวลาใกล้กันได้ รับชมได้ ณ บัดนี้
ก่อนอื่นเลย อยากทราบว่าทำไมถึงเลือกทำอาชีพครู
เราเรียนสายวิทย์ – คณิตฯ มา แต่พอจะเข้ามหาวิทยาลัยก็รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นมีอยู่ 2 อาชีพที่ถูกคุณตาฝังมาในหัวว่าโตขึ้นต้องเป็น คือ ครูหรือไม่ก็พยาบาล เราก็เลยเลือกที่จะเป็นครู แล้วตอนนั้นรู้สึกว่าชื่อ ‘จิตวิทยาและการแนะแนว’ มันเท่ดี พอไปสมัครก็สอบผ่าน ตอนแรกก็เรียนเกี่ยวกับพื้นฐานจิตวิทยาทั่วไป เพราะอะไรคนถึงแสดงพฤติกรรมต่างๆ ตอนที่เรียนจบก็ยังไม่ทำงาน เพราะรู้สึกว่าระบบราชการมันมีเส้นสาย เลยไปขายของ แต่รายได้ไม่พอจุนเจือครอบครัว สุดท้ายเลยตัดสินใจสมัครเป็นครูที่โรงเรียนเอกชนใกล้บ้าน
ได้สอนวิชาแนะแนวตรงกับที่เรียนมาเลยไหม
ใช่ แล้วก็สอนวิชาอื่นบ้าง อย่างสังคมศึกษา พระพุทธศาสนา ภูมิศาสตร์ แต่ว่าด้วยระบบของโรงเรียน ทำให้ไม่ได้ทำงานแนะแนวอย่างเต็มตัว เราทำได้อย่างมากแค่แนะแนวให้กับเด็กที่กำลังจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ส่วนเรื่องทุนการศึกษาก็ไม่ค่อยได้ทำ เพราะเด็กนักเรียนของที่นี่ส่วนใหญ่มีฐานะดีอยู่แล้ว ทำไปได้ 7 – 8 ปีก็เริ่มอิ่มตัว อยากลาออกไปทำนา แต่ก็มีจุดเปลี่ยนอีกคือคุณแม่ป่วยเป็นโรคไต ด้วยสภาพครอบครัวของเราคงดูแลไม่ได้เต็มที่ ก็เลยตัดสินใจสอบเข้ารับราชการ แล้วก็ได้บรรจุเป็นครูแนะแนวที่โรงเรียนสามพรานวิทยา
งานของครูแนะแนวที่นี่ต่างจากที่เดิมอย่างไรบ้าง
เราได้ทำงานแนะแนวมากขึ้น และเป็นครูประจำชั้นด้วย ต้องทำเรื่องทุนการศึกษา ต้องไปเยี่ยมบ้านเด็กนักเรียนที่ประจำชั้นทุกคนเพื่อดูสภาพความเป็นอยู่ ได้ให้คำปรึกษาเรื่องการเรียนต่อ เด็กที่นี่ส่วนใหญ่ถ้าสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้แล้วจะตัดสินใจเลือกที่นั่นเลย เราก็งงว่าเขาไม่คิดจะสมัครสอบที่อื่นอีกบ้างหรือ แต่พอได้ไปเยี่ยมบ้าน เห็นสภาพครอบครัว ถึงได้รู้ว่าเขาไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ต้องรีบหาที่เรียนให้ได้ เพื่อเอาเวลาไปทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียน สภาพสังคมของนักเรียนที่นี่จะต่างจากโรงเรียนเอกชนที่เคยสอน ที่นั่นบางคนสอบติดวิศวะของมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังในจังหวัด ก็ยังสละสิทธิ์เลย เพราะว่าเขามีครอบครัวซัพพอร์ต มีทางเลือกมากกว่า
ครูต้นเคยเป็นครูแบบไหน
ด้วยความที่ทำงานฝ่ายปกครองด้วย เราก็จะเป็นคนตึง มีระเบียบเป๊ะ เครื่องแต่งกาย ผม หน้า เล็บ เวลาสอนใครเข้าห้องช้าต้องลุกนั่ง แต่ถ้าเป็นห้องที่เราประจำชั้นเวลาทำผิดก็จะตี มีอยู่ครั้งหนึ่งเคยตีจนเรายกแขนไม่ขึ้น เพราะมีครูมาแจ้งว่าเด็กโดดเรียนเกือบทั้งห้อง เราตีเพราะคิดว่าถ้าเด็กทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ และครูก็มีหน้าที่อบรมสั่งสอน
แสดงว่านักเรียนต้องกลัวครูต้นมากๆ
นักเรียนก็จะไม่ค่อยกล้าคุยกับเรา เขาจะแค่ฟังเพื่อรับทราบอย่างเดียว ถ้าเราตักเตือนอะไรส่วนใหญ่ก็จะไม่ทำอีก เพราะว่ากลัวถูกลงโทษ เรื่องสะท้อนใจที่สุดคือเราเคยไปเดินซื้อของที่เทสโก้ โลตัส สามพราน เจอกลุ่มนักเรียนหญิง 5-6 คนกำลังยืนซื้อขนมอยู่ พอหันมาเจอเราก็วิ่งหนีกันไปหมดเลย ตอนนั้นเรารู้สึกว่า ‘เฮ้ย…เราเป็นครูแนะแนวนะ ทำไมเด็กต้องวิ่งหนี’ วันนั้นเรารู้สึกแย่มาก แต่ทุกวันนี้เลิกจับไม้เรียวแล้วนะ (ยิ้ม)
จริงหรือ อะไรที่ทำให้ครูสุดเฮี้ยบยอมทิ้งไม้เรียวของตัวเอง
ตอนปี 2560 เราได้รู้จักกับโครงการอบรมครูแนะแนวรุ่นใหม่ฯ ของ a-chieve เขามาท้าทายเราว่ามีวิธีการที่ทำให้เด็กรู้จักตัวเองโดยไม่ต้องใช้แบบทดสอบ เราอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะตอนที่เรียนจิตวิทยามันต้องมีแบบทดสอบในการรู้จักเด็ก ก็เลยตัดสินใจไปอบรม ตอนที่ไปครั้งแรกก็นั่งฟังเฉยๆ เขาถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ ถ้าให้แสดงความคิดเห็นยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่เลย แต่ทางโครงการฯ ก็ดีมาก เขาไม่ได้บีบให้เราพูด
หลังจากอบรมครั้งแรกตอนเดือนเมษายน เราก็นำกิจกรรมที่เขาสอนกลับมาทดลองใช้ในห้องเรียน พอสังเกตตัวเองก็พบว่ามีความสุขกับการสอนมากขึ้น เวลาเจอเด็กดื้อก็ไม่ได้รู้สึกว่า โอ้โห ต้องสอนห้องนี้อีกแล้วหรือ เด็กๆ ก็สนุก และค่อนข้างให้ความร่วมมือกับกิจกรรมของเรา ต่อมาได้กลับไปอบรมอีกครั้งในเดือนตุลาคม คราวนี้ทุกคนบอกว่าเราเปลี่ยนไป เรากล้าพูดมากขึ้น เวลาเขาถามว่ามีใครอยากบอกอะไรไหม เราก็ยกมือโดยที่ไม่ต้องรอให้คนอื่นพูดก่อน แต่ก็ทำกิจกรรมหลายรอบเหมือนกันนะกว่าจะเปลี่ยนได้
“ตอนที่ไปอบรม เราต้องแสดงบทบาทสมมติ ทั้งที่ไม่ชอบเลย รู้สึกเขิน ประหม่ามาก ตอนที่แสดงก็คิดขึ้นมาได้ว่า เฮ้ย…เด็กบางคนก็คงจะรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เราที่เป็นครูในชั้นเรียนก็คิดแค่ว่าทำไมถึงทำไม่ได้ล่ะ แสดงแค่นี้เอง รีบทำสิเพื่อนรออยู่ เราไม่ได้คิดเลยว่าเด็กรู้สึกอย่างไร แต่พอไปยืนที่จุดนั้นถึงได้เข้าใจ …เข้าใจแบบที่เข้าไปในความรู้สึก ไม่ใช่เข้าใจแบบที่แค่อยู่ในความคิด”
ความแตกต่างของครูต้นในเวอร์ชั่นก่อนอบรมและหลังอบรมคืออะไร
เรากลายเป็นครูที่ฟังแบบไม่ตัดสิน เมื่อก่อนนี้เราฟังในฐานะครูก็จะฟังแบบคิดไปด้วย ทำไมเธอไม่ทำแบบนั้น หรือทำแบบนี้ดีมั้ย บางครั้งก็สอนหรือบอกประสบการณ์ของตัวเอง แทนที่จะฟังให้จบ การฟังแบบไม่ตัดสินมันคือการเปิดโอกาสให้เด็กได้พูด นอกจากนี้วิธีจัดการกับปัญหาก็เปลี่ยนไป เราไม่ได้ลงโทษเด็กด้วยการตีแล้ว
เคยสอนอยู่แล้วมีนักเรียนต่อยกันในห้อง เราก็เรียกมาคุย ถามว่าทำอย่างนี้มันโอเคไหม เพราะอะไรถึงทำ แล้วก็ให้คู่กรณีบอกว่ารู้สึกอย่างไรที่โดนกระทำ ถ้าเป็นไปได้อยากให้เป็นแบบไหน คิดว่าถ้าให้จบวันนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร แล้วมันจะเกิดขึ้นอีกไหม เด็กจะคิดแล้วก็ขอโทษกันเอง ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงจับเด็กส่งห้องปกครองไปเลย ความเป็นครูของเราตลอด 12 – 13 ปีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เรามองเห็นตัวเองว่าแต่ก่อนเป็นอย่างไร ตั้งคำถามว่าเราเคยอยากได้ครูแบบไหน แล้วเราเป็นครูแบบไหน ซึ่งก็ได้คำตอบว่าเราอยากได้ครูที่เป็นกันเอง เข้าใจ และรับฟังนักเรียน แต่ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
รู้สึกผิดหวังกับ ‘ครูต้น’ ในอดีตไหม
ไม่ เรารู้สึกว่าเราก็สอนไปตามกระบวนการ ตามสิ่งที่เรียนรู้มา แล้วสิ่งที่เราทำก็ไม่ใช่เพราะความเกลียดหรือมีอคติกับเด็ก แต่อยู่บนพื้นฐานความเป็นครู ผู้มีหน้าที่ให้ความรู้และอบรมสั่งสอน ซึ่งตอนนั้นเข้าใจว่ามันรวมไปถึงการมีสิทธิ์ลงโทษด้วย แต่พอหลังจากอบรมถึงได้เข้าใจว่าการลงโทษคือการแสดงอำนาจเหนือกว่าของครูที่กระทำกับนักเรียน โดยความรักและหน้าที่ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง มันเป็นการละเมิดสิทธิ์ในร่างกายและเนื้อตัวของเด็ก
เราเข้าใจว่าครูที่ยังตีเด็กเขาคงจะใช้ความเคยชิน หรือหาวิธีแก้ปัญหาอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าเป็นเราเมื่อก่อนก็จะรู้สึกเฉยๆ แต่ตอนนี้มองว่ามันเป็นวิธีการของครูที่หมดมุก ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยจบด้วยการตี สุดท้ายแล้วการตีก็ทำให้เขาหยุดแค่ชั่วคราว แต่การพูดคุยกับเด็ก เขาอาจจะยังไม่เชื่อหรือไม่ได้แก้ไขเลย แต่อย่างน้อยเขาก็ได้คิดทบทวน ซึ่งมันน่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวได้มากกว่า
ถ้าไม่ดุหรือตีนักเรียนเลย แบบนี้ก็ถูกปีนเกลียวน่ะสิ
มันคือการสู้กับความรู้สึกตัวเองมากกว่า ว่าเด็กล้ำเส้นไปแล้วหรือยัง เราอยากทำให้เด็กเข้าใจว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำ แต่ก็ควรเคารพคนอื่นด้วย ถ้าไม่เหมาะสมก็ต้องเตือน บางครั้งเด็กด่ากันข้ามหัว เราก็จะบอกว่า เฮ้ย ข้ามหัวครูแล้ว ทำอย่างไรดี เด็กก็จะขอโทษ แต่เราไม่ได้อยากได้คำขอโทษ เราอยากรู้ว่าถ้ามีครั้งต่อไปเขาจะทำอย่างไร
การที่นักเรียนกล้าเข้ามาหา มาพูดคุยกับเรา มันดีกว่าการที่เขาไหว้เพียงเพราะเราเป็นครูที่สอน ถ้าเป็นแบบนั้นพอไม่ได้เรียนกับเราแล้ว เขาก็ไม่สนใจเราอีก ถ้าเราเป็นครูที่วางฟอร์ม แต่เด็กไม่กล้าเข้าหา งั้นไม่ต้องมีฟอร์มก็ได้
ครูต้นคนใหม่ทำให้บรรยากาศในห้องเรียนเปลี่ยนไปด้วยไหม
เปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนนี้เคยสอนด้วยการเปิดยูทูบ มีใบงาน มีแบบทดสอบ แต่พอไปอบรมมาแล้ว เราก็ขออนุญาตผู้อำนวยการและฝ่ายวิชาการว่า ขอใช้กระบวนการแบบนี้มาทดลองสอน เขาก็อนุญาต คาบแนะแนวของเราก็จะพาเด็กทำกิจกรรมนอกห้องเรียน เล่นเกมกู้ระเบิด เกมปิดตา เด็กก็จะสนุก ส่งเสียงกรี๊ดๆ อยู่ที่สนาม ก็รู้สึกว่ามันทำให้เราและเด็กมีความสุข
เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของนักเรียน ทำอะไรก็ต้องทำด้วยกัน เคยทำกิจกรรมอัพเดตชีวิต ให้เด็กร้องเพลงสักท่อนหนึ่งที่ตรงกับชีวิตตัวเองมากที่สุด เด็กบางคนก็ร้องไห้ และกล้าบอกความรู้สึกของตัวเอง วางใจเพื่อนในห้องแล้วเล่ามันออกมา บางคนก็อกหักบ้าง คิดถึงแม่บ้าง ไม่เคยเจอพ่อเลยบ้าง เด็กบางคนก็จะแซวว่าถึงตาครูบ้างแล้ว เราไม่เคยร้องเพลงก็ต้องร้องไปด้วย กลายเป็นว่าช่องว่างระหว่างครูกับนักเรียนลดลง ทั้งที่จริงกิจกรรมนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อะไรเลย แค่อยากรู้ว่าตอนนี้เด็กแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง เราไม่คิดว่าแค่การร้องเพลงมันจะทำได้ขนาดนี้
กระบวนการสื่อสารที่ใช้ในห้องเรียนมีอะไรบ้าง
ในห้องเรียนนี้ทุกเสียงจะต้องถูกได้ยิน ซึ่งเราไม่ได้เป็นผู้ฟังแค่คนเดียว แต่จะให้เพื่อนๆ ของเขาฟังด้วย โดยจะมีกติการ่วมกันอยู่ 3 ข้อคือ หนึ่ง-ถ้ามีผู้พูด ต้องมีผู้ฟัง สอง-ฟังแบบไม่ตัดสิน สาม-พูดที่นี่ และจบที่นี่
บางครั้งมีเด็กคนหนึ่งกำลังเล่าเรื่องของตัวเอง แล้วเพื่อนไม่ฟัง เราก็จะบอกให้คนนั้นหยุดเล่าก่อน แล้วถามทุกคนในชั้นเรียนว่า “ตอนนี้เพื่อนกำลังเล่าเรื่องของตัวเอง เขาต้องการกำลังใจ เราจะช่วยเพื่อนอย่างไรดีนะ?” มันเป็นคำถามปลายเปิดให้เขาคิด สุดท้ายเด็กที่ซนๆ ก็จะเงียบไปเอง หรือเพื่อนๆ ก็จะช่วยกันเตือน
ส่วนการฟังแบบไม่ตัดสิน คือเราจะไม่คิดไปด้วยว่าทำไมเขาทำแบบนั้น หรือทำไมไม่ทำแบบนี้ และจะไม่สอนหรือแทรกประสบการณ์ แต่จะเปิดโอกาสให้เด็กพูดอย่างเต็มที่ นอกจากจะได้แสดงความรู้สึกแล้ว เขาก็เหมือนได้ทบทวนตัวเอง บางครั้งคำตอบก็อยู่ในคำถาม หรืออยู่ในเรื่องราวที่เขาเล่า เราเชื่อว่าเด็กมีความสามารถในการจัดการตัวเอง ถ้าได้คิดทบทวน
พอหมดคาบแล้ว เคยมีฟีดแบ็กจากเด็กว่าชั้นเรียนของเราคือ “ห้องแห่งความลับ” เขาบอกว่าห้องนี้เล่าได้ทุกอย่าง แต่พูดแล้วจบที่นี่
การฟังเป็นพื้นฐานของการสร้างพื้นที่ปลอดภัย เราต้องทำให้เด็กสบายใจที่จะพูด กล้าที่จะบอกความรู้สึก และให้เพื่อนรู้จักรับฟังกัน เพราะถ้าพูดแล้วไม่มีคนฟัง ก็ไม่รู้สึกว่าปลอดภัยหรืออยากจะเล่าให้ใครฟัง
ทำไมต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยในห้องเรียน
พื้นที่ปลอดภัยทำให้เด็กกล้าและมั่นใจที่จะคิด พูด และตัดสินใจ ซึ่งเป็นพื้นฐานของทุกเรื่อง อย่างเช่นเขาจะกล้าคิดว่าอยากเป็นอะไร กล้าบอกเป้าหมายที่คิดในหัว กล้าบอกปัญหาบางอย่าง สุดท้ายนำไปสู่การตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร แต่ถ้าเขาไม่วางใจเพื่อนหรือครูในห้องเรียน ก็อาจจะไม่กล้าพูดมันออกมา
พอเด็กรู้สึกว่าเรามีพื้นที่ปลอดภัยให้เขา เขาก็จะกล้าคุย กล้าปรึกษาเรามากขึ้น อย่างตอนที่ทำกิจกรรมสายธารชีวิต มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งไม่ยอมพูด ต้องข้ามไป พอท้ายคาบเราก็ถามว่าทำไมถึงไม่พูด เขาก็ร้องไห้บอกว่ามีปัญหาเรื่องการออกเสียง ถ้าพูดไปแล้วเพื่อนจะล้อ เราบอกว่าเดี๋ยวคาบหน้าช่วยบอกเพื่อนๆ หน่อยว่าเราเป็นอะไร เพื่อนจะได้เข้าใจว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาล้อ แล้วก็กำลังดูแลตัวเองอยู่ พอคาบต่อมาเขาก็เล่า แล้วก็บอกว่าไม่อยากให้เพื่อนล้อ หลังจากวันนั้นเขาก็กล้าพูดในชั้นเรียนมากขึ้น
เมื่อก่อนไม่รู้ว่าพื้นที่ปลอดภัยคืออะไร เราก็ควบคุมชั้นเรียน เด็กได้ความรู้ในแบบที่เราอยากจะให้ ไม่มีการทะเลาะวิวาท ก็คิดว่านั่นคือห้องเรียนที่ปลอดภัยแล้ว แต่พอได้สัมผัสจริงๆ คำว่าปลอดภัยต้องรู้สึกที่ใจด้วย
ใช้เวลานานไหมกว่าจะมาเป็นห้องเรียนอย่างทุกวันนี้
เราใช้เวลากับเด็กมาเกือบครึ่งปีแล้ว มันมีวิธีการและคำพูดที่ทำให้เด็กรับรู้ว่าสามารถเล่าเรื่องของตัวเองได้ แต่ความลึกของแต่ละคนก็จะไม่เท่ากัน บางคนก็เล่าไม่หมดเพราะยังไม่วางใจ ส่วนคนที่วางใจแล้วก็จะแสดงความรู้สึกออกมาเต็มที่ เราไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะต้องเล่าทั้งหมด ขอแค่กล้าที่จะพูดในวันนี้ ต่อไปเขาก็อาจจะรู้สึกวางใจมากขึ้น
นอกจากจะส่งผลดีกับนักเรียนแล้ว มันดีกับครูอย่างไรบ้าง
เราได้รู้จักและเข้าใจเด็กอย่างลึกซึ้งมากขึ้น เคยมีเด็กผู้หญิงมัธยมฯ ปลายคนหนึ่ง พูดจาไม่มีหางเสียง หน้าตาโคตรเหวี่ยงเลย รู้สึกได้ว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าเรา เพราะเราจะคอยเฝ้าหน้าประตูโรงเรียนเพื่อตรวจระเบียบวินัย จนถึงคาบเรียนที่เราได้สอนเขา วันนั้นมีกิจกรรมสายธารชีวิต คือให้เล่าเรื่องของตัวเองตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน แล้วเด็กคนนี้เล่าว่าพ่อแม่แยกทางกัน เขาต้องไปอยู่กับแม่ ญาติที่อยู่ด้วยกันก็ไม่รักเขา ถูกดุด่าว่ากล่าวเป็นประจำ เขาต้องต่อสู้กับสถานการณ์นี้ด้วยคำพูดและกิริยาท่าทาง เราถึงได้เข้าใจว่าสาเหตุที่เขาเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะไม่ชอบขี้หน้าเรา แต่เขาต้องปกป้องตัวเองมาตลอด ถ้าไม่มีพื้นที่ปลอดภัยให้เขาวางใจที่จะเล่าเรื่องนี้ เราก็จะไม่ได้รู้จักเขาจริงๆ
ครูมีหน้าที่สอนหนังสือก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้
ครูไม่ใช่แค่สอนเนื้อหาความรู้ แต่ต้องรู้จักและเข้าใจเด็กด้วย ยิ่งวิชาแนะแนวเป็นวิชาชีวิต ถ้าเราเข้าใจเขา เราก็จะค่อยๆ พาให้เขาได้เรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องหรือเหมาะสม เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่เรารู้ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กเยอะๆ มันเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นครูนะ ไม่ใช่สิ่งที่เกินหน้าที่
ถ้าอย่างนั้นครูแนะแนวสำหรับครูต้นคืออะไร
แนะแนวคือการทำให้เขารู้จัก เข้าใจตัวเอง เข้าใจปัญหา และแก้ไขมันด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องการแนะแนวอาชีพ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้แบบทดสอบ เด็กบอกว่าแบบทดสอบก็เหมือนอาหารตามสั่ง คือมีคนปรุงมาให้แล้ว เราก็เลยใช้ ‘ตุ๊กตาขนมปัง’ เพื่อให้เด็กๆ คิดเมนูอาหารของตัวเอง โดยวาดตุ๊กตาตัวหนึ่ง แล้วให้เขียนสิ่งที่ชอบ ข้อดีและข้อเสียของตัวเอง เป้าหมายและความฝัน ปัญหาและอุปสรรค เพื่อให้เด็กรู้จักวิเคราะห์ ทบทวนตัวเอง และได้สะท้อนความรู้สึก ครูแนะแนวก็เหมือนเป็นโค้ชที่คอยช่วยดึงสิ่งเหล่านั้นออกมา
วิชาแนะแนวไม่มีการสอบวัดผลเหมือนวิชาอื่นๆ แบบนี้จะประเมินนักเรียนอย่างไร
แนะแนวเป็นกิจกรรม ประเมินผ่านกับไม่ผ่านจากเวลาเรียนและการเรียนรู้ตามมาตรฐานแนะแนว เราสามารถประเมินผลได้หลายวิธี ยกตัวอย่าง การให้ความร่วมมือในชั้นเรียน ถ้าเด็กกล้าพูด กล้าเปิดเผย เราก็ให้คะแนนได้ในเรื่องการรู้จักและเข้าใจตนเอง การตัดสินใจและแก้ปัญหา ฯลฯ ซึ่งจริงๆ แล้วคะแนนมันก็แค่ส่วนหนึ่ง มันมีไว้ประเมินวิทยฐานะของครูมากกว่านะ (ยิ้ม)
บางครั้งก็ประเมินจากชิ้นงาน อย่างเด็กชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ทุกคนจะต้องทำโปรเจ็กต์อิสระ จะกลุ่มหรือเดี่ยวก็ได้ โดยให้เลือกอาชีพที่สนใจ แล้วไปทดลองทำ 1 เดือน บางคนก็เป็นยูทูบเบอร์ ขายของออนไลน์ เลี้ยงกุ้งก้ามแดง พวกเด็กที่เป็นนักกีฬาก็จะสนใจเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อ เวทเทรนนิ่ง ซึ่งที่โรงเรียนมีโค้ชต่างชาติมาสอนฟุตบอลที่โรงเรียน ก็มีเด็กคนหนึ่งไปขอช่วยงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม จากนั้นก็เอามาสรุปที่หน้าชั้นเรียนให้เพื่อนๆ ฟัง ไม่ต้องทำรายงานเป็นรูปเล่มเลย ขอแค่มีหลักฐาน เช่น รูปถ่าย วิดีโอ อย่างกลุ่มที่ทำเวทเทรนนิ่ง วิธีพรีเซนต์ของเขาคือโชว์กล้าม เปิดซิกซ์แพ็กให้ทุกคนดู สิ่งที่เราได้เห็นคือเด็กบางคนก็ตัดสินใจได้ว่าจะไปต่อกับอาชีพนี้ หรือเปลี่ยนแนวไปทางอื่นดีกว่า ก็ถือว่าเกิดการเรียนรู้ เอามาใช้ประเมินผลการเรียนได้
แบบนี้ก็โกหกได้น่ะสิ
ก็มีคนที่ไม่ได้ทำจริงๆ นะ เด็กคนหนึ่งบอกว่าเลี้ยงปลาที่บ้าน แต่เพื่อนก็แซวให้เราได้ยินว่าซื้อมาจากที่ตลาด เราก็ถามเขาว่าแล้วได้เรียนรู้อะไรบ้าง ถ้าเขาไม่ได้เลี้ยงจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องหาข้อมูลมาให้เนียนว่าต้องไปซื้อปลาที่ไหน มีขั้นตอนการเลี้ยงอย่างไรบ้าง ก็ถือว่าได้เรียนรู้แล้ว แต่ก็มีเด็กบางคนที่เราต้องให้เขาไม่ผ่าน เพราะไม่มาโรงเรียน ไม่ตามงาน พอไม่ผ่านแล้วก็ไม่ได้มาแก้ อันนี้เราถือว่าเขาไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย กรณีเด็กที่ไม่มาโรงเรียน อาจจะด้วยสาเหตุทางบ้าน หรืออะไรก็แล้วแต่ เราจะไม่พูดกับเขานะว่าถ้าเรียนไม่ได้ก็ไม่ต้องเรียน แต่จะบอกว่าโรงเรียนยินดีต้อนรับเธอเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะมาหรือไม่มา เพราะเรานึกถึงคำพูดของป้ามล (ทิชา ณ นคร) ที่บอกว่า เมื่อไรที่ประตูโรงเรียนปิด ประตูคุกก็เปิดรอเด็กอยู่แล้ว
ปัญหาอันดับต้นๆ ในโรงเรียนคือเรื่องการบูลลี่ มองประเด็นนี้อย่างไร
มันเป็นเรื่องที่มีข่าวให้เห็นตลอด และเกิดขึ้นกับเด็กอายุน้อยลงเรื่อยๆ มีทั้งคนที่ถูกบูลลี่ทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายคนอื่น ซึ่งเขาคงจะรู้สึกว่ามันกระทบจิตใจรุนแรง ถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น เด็กบางคนเวลาผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ถ้าพูดถึงปุ๊บก็ร้องไห้ แสดงว่ามันยังอยู่ในความทรงจำของเขา เราก็พยายามเตรียมแผนการสอนเรื่องนี้ เอาข้อมูลเรื่องวิชาชีวิตของป้ามล กับเทคนิคการสอนของ Inskru มาปรับใช้
เคยทดลองกับเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 4 เราให้เขาเขียนคำที่ตัวเองไม่ชอบลงในกระดาษ แล้วบอกให้เพื่อนในห้องรู้ว่าไม่ชอบคำนี้เพราะอะไร บางคนเขียนคำว่า “ไอ้แว่น” เพราะเพื่อนเรียกจากที่เขาใส่แว่น เด็กที่เป็นนักกีฬาก็เขียนคำว่า “ขี้เกียจ” เพราะถูกโค้ชดุ บางคนเขียนคำว่า “ดำ” เพราะเขาเป็นคนผิวเข้ม แล้วเพื่อนชอบล้อ จากนั้นเราจะชวนคิดว่า บางครั้งเราพูดอะไรโดยที่ไม่คิดถึงใจคนอื่น สิ่งนั้นมันก็จะอยู่ในใจเขา จนเก็บมาคิดมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ พอรู้ว่าเพื่อนไม่ชอบคำนี้แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป หรือจะไม่ทำอะไรเลย สุดท้ายแล้วต้องเคารพการตัดสินใจของเด็กว่าจะทำอย่างไร เราคิดว่าในฐานะครูที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กๆ ควรทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เรื่องพวกนี้มันเบาลง
ตอนนี้สนุกกับการสอนแล้วใช่ไหม
2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่หลังอบรมเราก็รู้สึกมีความสุขกับห้องเรียน มีความสุขกับการสอน ทั้งๆ ที่บางคาบเด็กก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือกับเราเต็มร้อยนะ แต่เราก็จะนึกถึงตอนที่ไปดูบ้านกาญจนาภิเษกของป้ามล ที่นั่นทำให้รู้ว่ามันจะมีวันที่เด็กหันด้านที่สว่างให้เรา แต่ก็มีบางวันที่จะหันด้านมืดให้เราเช่นกัน วันไหนที่เป็นด้านมืดก็อย่าไปเฟลมาก
ป้ามลบอกว่าเขาต้องทำงานกับคนปลายน้ำ เราโชคดีเสียอีกที่ได้อยู่กับเด็กๆ ที่เป็นคนต้นน้ำ แล้วทำไมเราจะไม่สร้างให้เขาดีมาตั้งแต่ต้นน้ำเลยล่ะ
ถ้าเรามีครูแบบนี้เยอะๆ ก็คงจะดี
ถ้าไม่ได้เจอกับ a-chieve และไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมโรงเรียนที่ดี เราก็คงยังเป็นครูต้นในแบบเดิม ต้องขอบคุณทีมนี้ที่ทำให้เราเปิดใจ ได้พูด ได้เห็น ได้สัมผัส แล้วก็ขอบคุณตัวเองที่กล้าที่จะเปลี่ยน ถึงจะเปลี่ยนครูทุกคนไม่ได้ แต่มันเริ่มเปลี่ยนได้ที่ตัวเรา ที่คาบเรียนแนะแนวของเรา
Unique Teacher
นิยาม 3 คำของความเป็นครูต้น
“ไว”
ถ้าเป็นสิ่งที่เราใส่ใจหรือให้ความสนใจ แค่นิดเดียวก็รู้สึกได้ อย่างท่าทางของนักเรียน บรรยากาศในห้องเรียนที่แปลกไป สายตาที่เด็กๆ มองกัน ก็รู้แล้วว่าไม่ปกติ จากนั้นก็ค่อยสืบจากเด็กๆ ในห้องว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจ ก็จะไม่รับรู้เลย เพื่อนที่สนิทกันมากๆ ก็ทักว่าเราเป็นแบบนี้
“จริงใจ”
เป็นคนที่ไม่พูดโกหก อะไรที่ทำแล้วไม่มีความสุข ฝืนความรู้สึกตัวเอง ถ้าเลี่ยงได้ก็จะไม่ทำ ต่อให้ปฏิเสธไปแล้วเขาอาจจะเสียใจ แต่เรารู้สึกว่าเราได้พูดในสิ่งที่อยากบอก แล้วก็เวลาที่ทำอะไรให้นักเรียนหรือคนอื่นๆ ก็จะทำเพราะอยากทำ มันออกมาจากใจ ไม่ใช่ว่าทำไปเพราะหน้าที่ หรือทำเพื่อสร้างภาพ แต่ถ้าไม่ชอบก็จะไม่ทำให้ คำว่า “จริงใจ” นี่ล่ะที่เป็นตัวเราที่สุด
“มั่นคง”
เรามั่นคงต่อความรู้สึกและความคิดของตัวเอง และถ้าคิดหรือรู้สึกอะไรแล้วก็จะเปลี่ยนค่อนข้างยาก