Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
Everyone can be an Educator
19 June 2025

‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • ครูอ้อย- สุธิวา บุญวัง เริ่มต้นจากการเป็นคนธรรมดาในชุมชนตำบลช่องเม็ก ที่ไม่มีตำแหน่งหรือบทบาทใดๆ แต่เมื่อเห็นเด็กๆ ในพื้นที่ชายแดนเติบโตท่ามกลางยาเสพติดและความรุนแรง เธอเลือกลงมือทำจากจุดที่ยืนอยู่ ด้วยหัวใจที่ไม่ตัดสิน
  • ครูอ้อยเปลี่ยนบ้านของตัวเองให้กลายเป็นห้องสมุดและพื้นที่เรียนรู้ ที่ไม่ใช่แค่สำหรับอ่านหนังสือ แต่เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เด็กๆ เข้ามาใช้เวลา และส่งเสริมการทำกิจกรรมรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เด็กค่อยๆ ถอยห่างจากวงจรเสี่ยง
  • การอยู่ข้างเด็ก ไม่ใช่ภารกิจของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ทุกคนที่เชื่อว่า ‘เด็กคือปัจจุบันของชาติ’ และทุกพื้นที่ในสังคมควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการเติบโตของพวกเขา

“เด็กไม่ได้เกิดมาพร้อมปัญหา เขาไม่ได้แบกกัญชา บุหรี่ไฟฟ้า หรือยาเสพติดออกมาจากท้องแม่… แล้วใครล่ะที่เติมสิ่งเหล่านี้ให้เขา”

นี่คือคำถามปลายเปิดที่ ครูอ้อย–สุธิวา บุญวัง โยนกลับไปยังสังคม เมื่อถูกถามว่าทำไมเธอถึงลุกขึ้นมาทำงานกับเด็กและเยาวชนในชุมชนที่รายล้อมด้วยปัญหายาเสพติด ความรุนแรง และความเหลื่อมล้ำ

‘ครูอ้อย’ หรือที่เด็กๆ เรียกติดปากกันว่า ‘แม่อ้อย’ ไม่ได้เป็นครูที่โรงเรียนไหน หากเป็นเพียงคนธรรมดาวัย 52 ปี ที่เติบโตในชุมชนตำบลช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี และอยากเห็นชุมชนของตนเองปลอดภัยและน่าอยู่ เธอเป็นหนึ่งในวิทยากรช่วง HEAD (เฮ็ด) TALK ‘เพราะเราทำ เราจึงพูด’ ในงานเปิดตัวแคมเปญ ‘เพราะทุกที่คือโรงเรียน’ โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568

พื้นที่ที่ครูอ้อยอาศัยอยู่เป็นชุมชนติดชายแดน ซึ่งต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลาย โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด ทำให้เด็กหลายๆ คนในชุมชนเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีโอกาสเข้าถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้ง่าย

แต่ครูอ้อยไม่เคยมองปัญหาเหล่านี้ว่าเป็นเพียง ‘เรื่องของคนอื่น’ เพราะทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ในบ้าน ในชุมชน ในชีวิตที่มองเห็นแทบทุกวัน เธอจึงเลือกลงมือทำจากจุดที่ยืนอยู่ เริ่มจากการเข้าไปพูดคุยกับเด็กที่ถูกมองว่าเป็นปัญหา ด้วยหัวใจที่ไม่ตัดสิน และสองมือเปล่าที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง ค่อยๆ ดึงพวกเขาออกจากอบายมุขและความเสี่ยง ด้วยการสร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ที่พวกเขาจะได้เป็นตัวเอง โดยไม่ต้องป้องกันตัวจากใคร

เพราะครูอ้อยมองว่า เด็กคือมนุษย์คนหนึ่งที่ยังอยู่ระหว่างการเรียนรู้ ไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็กที่ควรเข้าใจทุกอย่าง หน้าที่ของผู้ใหญ่จึงไม่ใช่การควบคุมหรือสั่งสอน แต่คือการสร้างทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัยกว่า ทางที่มีความหวัง และไม่มีคำตัดสินรออยู่ เธอทำงานกับเด็กผ่านกิจกรรมหลากหลาย ทั้งในและนอกพื้นที่ โดยมีเป้าหมายให้เด็กได้เปิดโลกกว้าง รู้จักตัวเอง และค่อยๆ ขยับห่างจากสิ่งแวดล้อมเดิมในจังหวะของตัวเอง

เริ่มจากหนึ่งคน บนพื้นที่ที่ไม่มีใครเริ่ม

ครูอ้อยเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการทำงานกับเด็กว่าเกิดขึ้นเมื่อราวปี 2554 โดยเริ่มต้นจากการทำงานกับกลุ่มเด็กและเยาวชนในชุมชนหนองเม็ก ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนที่เธออาศัยและเติบโตขึ้นมา

“ตอนเริ่มต้น เราทำอยู่คนเดียวเลย เราเองก็เป็นคนในชุมชนธรรมดา ไม่ได้มีตำแหน่งหรือบทบาทอะไรเป็นพิเศษ เป็นแค่คนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่ในชุมชน และอยากเห็นชุมชนของเราน่าอยู่”

ครูอ้อยบอกว่า ปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปในพื้นที่ เด็กหลายคนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสารเสพติดตั้งแต่อายุยังน้อย บางคนเผชิญกับปัญหาภายในครอบครัว หรือเติบโตท่ามกลางความรุนแรงและความเครียดที่ไม่มีทางออก เมื่อไม่มีพื้นที่หรือคนรับฟัง ทางเลือกที่อยู่ใกล้มือที่สุดจึงกลายเป็นทางเดียวที่พวกเขาเห็น

“การที่เขาเลือกแบบนั้นเราไม่ได้มองว่าเขาผิดนะ เพราะอย่าลืมว่าเขาเป็นแค่เด็ก เขาไม่รู้หรอกว่าทางเลือกที่เขาเลือกมันจะนำไปสู่อะไรบ้าง เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นแบบนั้น ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับยาบ้าหรือแว้นรถตั้งแต่แรก แต่เขาเป็นเด็กคนหนึ่งที่สามารถเติบโตและพัฒนาได้”

ก่อนจะเริ่มต้นทำงานกับเด็กอย่างจริงจัง ครูอ้อยเคยมีโอกาสเข้าไปช่วยงานอาจารย์ท่านหนึ่งที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชน ทำให้ได้เห็นมิติใหม่ของการทำงานกับเด็กในเชิงพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์ที่ติดอยู่ในใจครูอ้อยมาตลอดจากการไปร่วมงานเวทีหนึ่ง ซึ่งมีการพาเด็กมาเข้าทำกิจกรรม แต่เด็กเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนร่วมจริงๆ เมื่อถึงเวลาที่ต้องออกมาพูด เด็กกลับพูดไม่ออก น้ำตาคลอด้วยความอึดอัด อีกทั้งยังถูกตำหนิจากพี่เลี้ยง

“ถ้าเป็นเรา เราจะไม่ทำร้ายเด็กแบบนั้น เพราะผู้ใหญ่ไม่ควรทำร้ายเด็ก และจากเหตุการณ์ที่เราเห็น ทำให้เราเชื่อว่ามีเด็กอีกมากมายที่ต้องการการปกป้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนของเรา”

เหตุการณ์นั้นกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ครูอ้อยลุกขึ้นมาทำงานกับเด็กอย่างจริงจัง เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ทำได้ในพื้นที่ของตัวเอง ค่อยๆ เปิดพื้นที่ให้เด็กได้เข้ามาใช้เวลา ค่อยๆ สร้างกิจกรรมที่เหมาะกับแต่ละคน และค่อยๆ เรียนรู้ไปพร้อมกับเด็กที่ไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงได้

ไม่ใช่แค่ห้องสมุด แต่คือพื้นที่ปลอดภัยที่เด็กกลับมาได้เสมอ

การทำงานของครูอ้อยไม่เคยเริ่มจากคำว่า ‘สั่งสอน’ แต่เริ่มจากหัวใจที่ไม่ตัดสิน เธอเชื่อว่าทุกพฤติกรรมของเด็กมีที่มา และผู้ใหญ่ไม่มีหน้าที่ไปชี้ผิดชี้ถูก แต่ควรอยู่ข้างๆ เพื่อให้เขาค่อยๆ มองเห็นทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าในจังหวะของตัวเอง

โดยครูอ้อยได้เปิด ‘ห้องสมุด’ เล็กๆ ในบ้านของตัวเองขึ้นมา เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้กับเด็กทุกคนที่เข้ามา ที่แห่งนี้จึงไม่ใช่แค่พื้นที่อ่านหนังสือ แต่คือพื้นที่ที่ทุกคนสามารถมาใช้เวลา มาเล่น ปรึกษา พูดคุย หรือแม้แต่ระบายความรู้สึกของตัวเองกับครูอ้อยได้อย่างเต็มที่

“ตอนแรกเราเริ่มจากการเปิดห้องสมุด เป็นพื้นที่ให้กลุ่มเด็กและเยาวชน จากนั้นก็มีการจดทะเบียนกับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะองค์กรสาธารณประโยชน์ และได้ทำกิจกรรมกับเด็กมาอย่างต่อเนื่อง เพราะส่วนตัวเราเป็นคนที่ชอบหนังสือ ชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก เลยรู้สึกผูกพันกับหนังสือ และสะสมหนังสือไว้เยอะมาก”

เด็กที่เข้ามาในห้องสมุดไม่เคยถูกบังคับให้อ่าน แต่ครูอ้อยใช้วิธีออกแบบกิจกรรมเล็กๆ และการตั้งกติกา เช่น เมื่อมาถึงต้องอ่านหนังสือ 15 นาที ไม่มากและน้อยไปกว่านี้ เพื่อสร้างวินัยการใช้เวลา พร้อมทั้งเสริมความรู้สึกสนุกด้วยรางวัลเล็กๆ อย่างขนมหรือการได้โชว์อ่านนิทานให้แขกฟัง ยิ่งไปกว่านั้น ห้องสมุดนี้ยังกลายเป็นศูนย์กลางที่เด็ก ๆ อยากเข้ามาเอง

“เรามองว่าเด็กต้องการพื้นที่ พอเรามีพื้นที่นี้ขึ้นมา ขนาดเวลาที่เราไม่อยู่บ้าน หรือปิดช่วงเสาร์อาทิตย์เราไม่ได้เปิด เด็กๆ ก็จะมาถามว่า เมื่อไหร่จะได้ไปห้องสมุด”

กิจกรรมต่างๆ ที่ครูอ้อยใช้กับเด็กไม่ได้มีแค่การอ่าน แต่ยังรวมถึงการพาไปเปิดหูเปิดตานอกสถานที่ เล่นกีฬา และการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะชีวิต เช่น ให้เด็กช่วยกันวางแผนจัดแข่งฟุตซอล ทั้งประสานขอใช้สนาม แบ่งสายการแข่งขัน หรือแม้กระทั่งเป็นพิธีกรบรรยายระหว่างการแข่งขัน

“ตอนที่เริ่มทำกิจกรรมกับเขา เราไม่เคยไปบอกเขาตรงๆ เลยว่าสิ่งที่เขาเคยทำ หรือทำอยู่มันไม่ดี เพราะจริงๆ แล้วทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว แต่การที่เขายังเลือกเส้นทางนั้น เป็นเพราะทุกคนมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น เราก็จะไม่ไปแตะจุดนั้น 

สิ่งที่เราทำคือค่อยๆ ใส่กระบวนการความคิดให้กับเขา เช่น เรื่องการรักตัวเอง แนวคิดเกี่ยวกับการเติบโต การทำงาน การเคารพตัวเอง

มีครั้งหนึ่งที่เราพาเขาไปเปิดหูเปิดตานอกสถานที่ แต่โดนตำรวจเรียก เราก็ใช้เหตุการณ์นั้นเป็นบทเรียนให้เขาเห็นว่า ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราก็ไม่ต้องมาโดนจับแบบนี้ คอยชี้ให้เขาเห็น แล้วเขาก็จะค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ซึมซับไป”

ในสายตาของครูอ้อย เด็กหลายคนที่เคยพัวพันกับยาเสพติดมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น กีฬา หรือกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใช้เวลาอย่างมีเป้าหมายและรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า

เธอยกตัวอย่างว่า เด็กในรุ่นแรกที่เธอเริ่มต้นทำกิจกรรมด้วยนั้น เคยมีปัญหาเรื่องสารเสพติดเกือบทั้งหมด แต่เมื่อได้เข้าร่วมกิจกรรม ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สนับสนุน และมีพื้นที่ปลอดภัยให้เติบโต จำนวนเด็กที่ยังคงเกี่ยวข้องกับยาเสพติดก็ลดลงอย่างมาก จนเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

“รุ่นแรกที่เราทำกิจกรรมด้วย สำเร็จไปกว่า 97–98% เลย เหลือแค่เพียงประมาณ 2 คนเท่านั้น ที่ยังเลิกไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น เวลาพวกเขาเข้ามาหาเรา ก็ยังเรียกเราว่า ‘แม่’ ตามปกติ ยังมีความรักและความผูกพันอยู่เสมอ แต่เราไม่เคยซ้ำเติม เพราะเขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะหลุดออกมาได้จริงๆ”

หัวใจสำคัญในการทำงานของครูอ้อย คือ ‘อยู่กับเด็กโดยไม่ตัดสิน’ แม้บางคนจะเคยพัวพันกับยาเสพติดหรือพฤติกรรมเสี่ยง เธอก็เลือกจะไม่ตำหนิ แต่ค่อยๆ ใช้สถานการณ์รอบตัวเป็นบทเรียน และใส่กระบวนการคิดใหม่ๆ ให้พวกเขาค่อยๆ เติบโตในทางที่ดีขึ้น ทำให้เด็กหลายคนที่เคยอยู่ในวงจรเสี่ยง เริ่มค่อยๆ ถอยห่างจากมันด้วยตัวเอง เพราะพวกเขารู้ว่าอย่างน้อยในบ้านหลังนี้ พวกเขามีที่ให้กลับมา และมีใครบางคนที่ยังมองเห็นคุณค่าของเขาเสมอ

เด็กไม่ใช่อนาคตของชาติ แต่คือปัจจุบันของเรา

จากประสบการณ์ที่คลุกคลีกับเด็กมานับสิบปี ครูอ้อยเชื่อว่า ไม่มีใคร “เกิดมาพร้อมปัญหา” เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับโอกาสเหมือนกัน แต่บ่อยครั้งสังคมกลับเลือกที่จะตีตรา โดยลืมไปว่าปัญหาหลายอย่างไม่ได้เริ่มจากตัวเด็กเลยแม้แต่น้อย

“ทุกคนก็มักจะถามเราว่า ‘ทำไมถึงทำล่ะ? ทำไปทำไม?’ แต่จริง ๆ แล้ว เรามองว่าคำถามนี้ควรจะถูกย้อนกลับไปถามมากกว่าว่า ‘ทำไมคุณไม่ทำล่ะ’ มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่รักเด็ก ไม่ปกป้องเด็ก หรือไม่ทำอะไรเพื่อเด็กในชุมชนของคุณเอง 

เพราะทุกวันนี้ มันไม่ใช่ว่า ‘เด็กคืออนาคตของชาติ’ อีกต่อไปแล้ว แต่ ‘เด็กคือปัจจุบันของชาติ’ ต่างหาก

การที่เราช่วยเด็กควรถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ ทุกคนควรมองว่าเด็กเป็นทรัพยากรบุคคลของประเทศชาติที่เขาควรได้รับการพัฒนา ได้รับการปกป้อง และควรได้รับการใส่กระบวนการต่างๆ ให้เด็กเราพร้อมเติบโตขึ้นเป็นอย่างดีได้”

ครูอ้อยจึงยืนยันเสมอว่า การทำงานกับเด็กไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว หรือปล่อยเป็นภาระของครูหรือโรงเรียน แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ใหญ่ทุกคนในสังคม โดยเฉพาะผู้ปกครอง ที่ต้องพร้อมทั้งในแง่ของความเข้าใจ การเลี้ยงดู และความรู้เรื่องพัฒนาการเด็ก

“ผู้ปกครองหลายคนมักจะคาดหวังให้ครูรับผิดชอบทุกอย่าง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ขนาดผู้ปกครองที่มีลูกแค่คนเดียว ยังบอกเลยว่าดูแลไม่ไหว แล้วครูคนหนึ่งต้องดูเด็ก 20–30 คน จะให้เขาดูแลได้เท่ากันหมด มันก็ไม่แฟร์ การจะเลี้ยงดูเด็กให้เติบโตได้ดี มันไม่ใช่หน้าที่ของครูคนเดียว ต้องเริ่มจากผู้ปกครองก่อนด้วย”

ในสายตาของครูอ้อย การมองเห็นเด็กในฐานะทรัพยากรมนุษย์ของสังคม หมายถึงการให้คุณค่าและการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่แค่สั่งสอนเมื่อทำผิด แต่ต้องสร้างโอกาส สนับสนุน และให้พื้นที่ปลอดภัยอย่างจริงจัง โดยไม่มีใครถูกละเลยเพียงเพราะพื้นฐานไม่เท่ากัน

เสียงจากคนธรรมดา ที่ลุกขึ้นมายืนหยัดเพื่อสังคม

สำหรับครูอ้อยแล้ว การลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อเด็ก ไม่ได้เริ่มจากความมั่นใจหรือความพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เริ่มจากความรู้สึกง่ายๆ ว่า ‘ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะทำ’ จุดยืนเรียบง่ายนี้เองที่ทำให้เธอกล้าก้าวออกมาทำในสิ่งที่เชื่อ แม้จะเริ่มต้นเพียงลำพัง และยังคงเดินหน้าต่อ แม้จะมีเสียงห้าม เสียงคัดค้าน หรือคำดูแคลน

“บางคนอาจมองว่าเราดื้อ แต่จริงๆ แล้ว เราแค่อยากอยู่ในสังคมที่ดีและปลอดภัยสำหรับทุกคน 

เพียงแต่บางคนเขาอาจจะไม่ได้มองเห็นในมุมเดียวกับเรา หลายคนอาจคิดว่าเราทำสิ่งที่เสียเวลา แต่สำหรับเรามันคุ้มค่านะ เพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำนั้นมีประโยชน์ต่อชุมชน เราแค่เลือกเดินหน้าทำให้เห็น มากกว่าจะพูดเยอะ

อาจจะเรียกว่าเราเป็นคนรั้นก็ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่ฟังใครเลยนะ ทุกวันนี้เราก็ยังฟัง ยังเปิดใจ เพียงแต่เราฟังเพื่อระมัดระวัง ไม่ใช่เพื่อหยุดเดิน เพราะเราเชื่อว่าทางที่เราเดิน มันมีความหมาย”

และแม้ว่าบางเสียงในชุมชนจะยังตั้งคำถาม เช่น “เด็กที่ดูแลทำไมบางคนยังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะ ไม่เห็นจะดีขึ้นเลย” หรือ “ก็ยังมีเด็กที่หลุดอยู่นะ” แต่ครูอ้อยมองว่านั่นคือโอกาสในการอธิบาย เพื่อให้ผู้ใหญ่เข้าใจเด็กมากขึ้น

“เวลาเจอแบบนี้เราก็จะเปรียบเทียบให้เขาเห็นภาพ เช่นว่า สมมติคุณปลูกพริกสวนนึง รดน้ำเท่ากัน ใส่ปุ๋ยเท่ากัน ดูแลเหมือนกันหมด คุณคิดว่าพริกทุกต้นจะออกดอกออกผลเท่ากันไหม? มันก็ไม่ใช่ มันไม่มีทางเท่ากันได้ เด็กก็เหมือนกัน เขามีพื้นฐานต่างกัน ศักยภาพในการเรียนรู้และรับรู้ไม่เท่ากัน สิ่งที่เราทำคือพยายามให้เขาเติบโตในทางที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะเป็นได้ นั่นแหละคือสิ่งที่เราพยายามสื่อสารกับคนในชุมชน”

พร้อมกันนี้ครูอ้อยฝากไปถึงคนที่มองว่าตัวเอง ‘ไม่เก่งพอ’ หรือ ‘ไม่มีต้นทุนพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้’ อยากให้มั่นใจว่า สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ทุนหรือตำแหน่ง แต่คือการลงมือทำ

“เราเป็นคนที่มีความเชื่อตลอดนะ ว่าอะไรที่คนอื่นทำได้ เราก็ทำได้ ถ้าคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้ แสดงว่าคุณยังไม่ได้ลงมือทำไง”

ในวันนี้ ครูอ้อยยังคงเดินหน้าร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ มูลนิธิส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชน (CYF) เพื่อแก้ไขปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา และในอนาคต เธอวางแผนจะขยายความร่วมมือให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะกับหน่วยงานท้องถิ่น

“เราพยายามประสานกับ อบต. กับเทศบาล เพราะเขามีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องมือมากกว่าเรา ส่วนเรามีแค่ใจ แต่ก็อยากจะพยายามร่วมมือกับเขาเพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้ได้”เพราะสำหรับครูอ้อย การอยู่ข้างเด็ก ไม่ใช่ภารกิจของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ทุกคนที่เชื่อว่า ‘เด็กคือปัจจุบันของชาติ’ และทุกพื้นที่ในสังคมควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการเติบโตของพวกเขา

Tags:

ยาเสพติดเด็กปัญหาสังคมเยาวชนThailand Zero Dropout

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Related Posts

  • Book
    โสกราตีสสลับขั้ว: มีเพียงการตระหนักว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลยเท่านั้นที่จะลดการตัดสินผู้อื่นลงได้

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • IMG_7497
    Book
    โต๊ะโตะจัง: แค่เปลี่ยนมายด์เซ็ต ‘เด็กดื้อ’ ของผู้ใหญ่บางคน ก็อาจเป็น ‘เด็กดี’ ของโลกใบนี้ 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Space
    ‘ขี่ม้า’ มากกว่ากีฬาคือการพาเด็กๆ ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Book
    The Catcher in the Rye : ไม่ต้องมีใครโอบรับใคร ถ้าไม่มีผู้ใดร่วงหล่นจากท้องทุ่ง

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

  • Book
    แบดบอยผู้น่ารัก ‘ฮักเกิลเบอร์รี่ ฟินน์’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel