- นีรชา คัมภิรานนท์ คุณแม่ลูกสองผู้เคยผ่านประสบการณ์ Baby Blue (ภาวะหรืออาการซึมเศร้าหลังคลอด) และลูกสาวคนโตปัจจุบันอายุ 6 ขวบมีภาวะไฮเปอร์ ทำให้ตลอด 4 ปีแรกของการเป็นแม่ เธอไม่เคยนอนเต็มอิ่มเลยสักวัน
- บทความแบ่งเป็น 2 ตอน ชิ้นนี้ว่าด้วยการรับมือกับภาวะไฮเปอร์ของลูก, มายาคติการเป็นแม่ในมุมของนีรชา และเคล็ดลับที่อยากบอกคุณแม่หลายคน ‘อ่านงานวิชาการเลี้ยงลูกแค่เป็นพล็อต’ และ ‘อยากได้แหล่งกำลังใจคนเป็นแม่ จงออกไปที่สนามเด็กเล่น’
- แม่คนหนึ่งต้องทำอะไรบ้าง, การเติบโตในฐานะผู้ปกครองมือใหม่เป็นอย่างไร, เธออุทิศตัวทำตามที่สังคมเรียกร้องได้จริงหรือ? ถ้าไม่, เธอเจรจากับมันอย่างไร ถ้าใช่, ทำไมผู้หญิงคนหนึ่ง จึงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เพียงนั้น?
ต่อจากภาคแรกของคุณแม่แอ๊ค–นีรชา คัมภิรานนท์ กับบทเรียนการดูแลลูกสาวคนโตที่อยู่ในภาวะไฮเปอร์ (Hyperactivity) ภาวะไม่อยู่นิ่ง ขาดสมาธิ และไขว้เขวง่าย เธอเล่าย้อนกลับไปช่วงที่ตั้งครรภ์ คุณแม่มีความเครียด กังวล ทำงานที่ใช้สมองเปลี่ยนขั้วไปมาเสมอ อย่างที่เธอเรียกว่า ‘จิตประภัสสร’ ซึ่งหมายความถึง การเกิดขึ้นของจิตมนุษย์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาที่ว่าจิตแม่ลูกจะเชื่อมโยงถึงกัน กล่าวคือ ถ้าขณะตั้งครรภ์แม่มีสภาวะจิตสงบ ลูกก็จะออกมามีพื้นอารมณ์สงบ ถ้าแม่เครียด วิตกกังวล ลูกก็มักออกมามีพื้นอารมณ์เช่นนั้น
หลายครอบครัวเลือกรักษาน้องที่อยู่ในภาวะไฮเปอร์ด้วยการหาคุณหมอและทานยา หากคุณแอ๊คและสามีชัดเจนว่า ยาที่ดีที่สุดคือ พ่อแม่
“เรานี่แหละ ช่วยลูกได้”
ใครเพิ่งผ่านมาแล้วยังไม่เคยอ่านตอนที่ 1 คลิกกลับไปอ่านได้ที่นี่ หรือ จะอ่านเฉพาะตอนนี้ ซึ่งเป็นความเฉพาะการรับมือกับน้องในภาวะไฮเปอร์ก็ไม่ว่ากัน
อนึ่ง บทความนี้ใช้คำว่า ‘แม่’ หรือ ‘ผู้หญิง’ ในความหมายที่เจ้าของเรื่องมีเพศวิถี (sexuality) เป็นหญิง หากข้อเท็จจริงปัจจุบัน นิยามครอบครัวมีความหลากหลาย บทบาทการเป็นผู้ปกครองไม่จำกัดอยู่ที่เพศสภาวะ (gender) บทบาทการเป็นแม่ในบทความนี้ ไม่จำเป็นต้องเหมือน หรือเป็นข้อเท็จจริงในอีกหลายครอบครัว
ภาวะไฮเปอร์ กับ คุณแม่ที่ไม่ได้นอนเลยตลอด 4 ปี
ตอนท้องน้องอิ่มใจ(ลูกคนแรก) คุณแม่เป็นอย่างไรคะ
ตอนท้องเรายังทำงานด้านคอนเทนต์เกี่ยวกับครอบครัวให้กับมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ยังทำงานอยู่ ใช้ไวไฟ ยังมีคลื่นที่แบบ… ดึงภาพนั้น เอาจอนี้ลงมา เอาภาพนี้มาแต่ง สมองฟึบฟับๆ ไม่ได้พักเลย ลูกคนแรกก็เครียด มีความวิตกกังวล เขาจะเป็นอะไรมั้ย ทำไมวันนี้ไม่ดิ้น คิดเยอะ และเพราะเค้าเป็นลูกคนแรก ทุกคนทุ่มเท สี่คนรุมเลี้ยง มันเหมือนเขาไม่มีการพักหรือการรอ เขาไม่ต้องรออะไร ร้องจากคนนั้น คนนี้มาช่วยเลี้ยง จะเอานั่น ชี้, ปู่หยิบให้ แม่หยิบให้ พ่อเอาให้ ไม่มีพาร์ทการรอ
อาจเพราะ หนึ่ง-เราไม่ได้ฝึกให้เขารอด้วย สอง-มันเป็นภาวะที่เขา born to be ด้วย สมองดีมาก ภาษาดีพูดเร็ว ทุกอย่างเร็วหมด พัฒนาการทางสมองดีเลิศประเสริฐศรี แต่การควบคุมตัวเองต่ำ นึกภาพออกมั้ย? ฉะนั้นเขาก็จะพูดทั้งวัน พูดไม่หยุด พูดแทรก อย่างเราคุยกัน เขาจะแทรกขึ้นมาแล้ว เพราะสมองเขานำไปก่อน ไปข้างหน้า พูดเรื่องนี้เขาจะเชื่อมไปเรื่องนั้น หรือ… เขายืนกระโดดบนโซฟาได้ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงโดยไม่หยุดเลย เพราะฉะนั้น ตอนท้อง นั่งสมาธิกันนะคะ (หัวเราะ) จิตประภัสสรนะ เป็นอยู่แบบนั้นตั้งแต่เกิดถึงสี่ขวบ แต่ตอนนี้เขาเริ่มโตขึ้น อายุ 6 ขวบแล้ว
ภาวะของเขาส่งผลต่อคุณแม่อย่างไร
เอาเฉพาะภายในตัวเองก่อนนะ เครียดมาก ไม่ได้พักเลย อิ่มไม่นอนกลางวัน ตื่นเช้ามาก ตื่นปุ๊บพูดปั๊บ “แม่ๆๆๆ” “ทำไมไอ้นี่” “ทำไมยังงั้น” วิ่งทั้งวัน กระโดดขึ้นกระโดดลง ภายในของพี่รู้สึกเครียด เพราะสมองเราไม่ได้พัก ห่วงเขาก็ห่วง “เป็นอะไรทำไมไม่นิ่ง” “นั่งนิ่งๆ มั่งลูก” เขาเหมือนคนรีบใช้ชีวิต กลางคืนก็นอนดึก เป็นเด็กใช้ energy ทั้งวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ จนพ่อเขาเคยทัก “พ่อห่วงหนู กลัวหนูจะตายเร็วมากเลยลูก นอนกลางวันบ้างดีมั้ย”
และอิ่มมีภาวะนอนฝันร้ายด้วย เที่ยงคืนเป๊ง เหมือนผีหลอก เขาจะลุกขึ้นมาละ กระทืบเท้า วิ่งพล่านไปมาในห้อง พี่ไม่ได้นอนสี่ปี ไม่ได้นอนจนกระทั่งเขาหายนอนฝันร้าย
เข้าใจว่าหลัง 4 ปีน้องเริ่มดีขึ้น แต่ก่อนจะเล่าถึงภาวะที่น้องหาย อยากให้ช่วยขยายความภาวะของน้อง ช่วงเริ่มเป็นอีกสักนิด
ภาวะที่เขาเป็น เหมือนเขาคัดจมูก เพราะเป็นภูมิแพ้ด้วย มีผื่นขึ้นตลอดเวลา เกายุกยิกตลอด ผิวเขาจะเละหมด กลางคืนจะตื่นขึ้นมาร้องไห้ ฝันร้าย พ่อเขาก็งงว่าลูกเป็นอะไร เราก็ถ่ายวิดีโอกันไว้แล้วไปปรึกษาหมอ หมอบอกว่า มันมีอยู่โรคหนึ่งคือโรคฝันร้ายนะ เกิดได้กับเด็กที่ energy เยอะมาก เหมือนเก็บอะไรมาทั้งวันก็ฝัน
พี่บอกหมอว่าหนักนะ บางทีลูกไม่ได้นอน ลูกไม่ควรตื่นกลางดึก เที่ยงคืนเป๊งไม่เกินเที่ยงคืนสิบห้าจะร้องแล้ว ต้องขึ้นไปดู ไปโอ๋ ไปกอด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุนี้ที่ทำให้พี่อยู่ในภาวะซึมเศร้าด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่รู้สึกว่าอ่อนแรง บางวันไม่อยากตื่น บางวันอยากแบบ… ตายซะดีมั้ย (หัวเราะ) มันไม่ได้นอน เหนื่อย เครียด แต่เขาจะเป็นคนช่างพูด ฉอเลาะ คือจะมีอะไรมาแลกเราตลอดแหละ แต่ชั้นไม่ไหวแล้ว สามีก็ไปทำงาน ไม่มีใครช่วย ดีที่ยายอยู่บ้านใกล้ๆ กันในหมู่บ้าน
แต่ความเครียดเราหายไปส่วนหนึ่งเพราะอย่างน้อยอยู่ใกล้แม่นะ ระบายกับแม่ได้ “แม่ไม่ไหวแล้ว มาหน่อย” การมีแม่อยู่ใกล้ๆ คอยซัพพอร์ต ช่วยเราได้ระดับหนึ่งทีเดียว อาจไม่ใช่ 24 ชั่วโมง แต่คล้ายว่าเขาอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เป็นระยะที่กำลังพอดี
ในความเป็นแม่ ทุกคนคาดหวังว่า ต้องใจดี ประเสริฐ แต่เอาเข้าจริง ภาวะที่เหนื่อยแทบขาดใจ ลูกก็ร้องเรียกไม่ห่าง มันมีภาวะที่โกรธมากๆ แบบ “ไม่ไหวแล้ว” “ฉันเกลียดเธอ” มีบ้างไหม?
ไม่มีคำว่าเกลียดนะ แต่มีคำว่า “เธอจะต้องแยกจากฉันสักพัก” “เชิญไปอยู่ที่มุม” คือวิธีฝรั่งเนอะ time out แต่พอพี่แยกห้อง คนรอบข้างจะมาแล้ว “อย่าทำ” “ไม่ดี” “ทำแบบนี้เดี๋ยวเขาจะยิ่งแย่นะ” เราบอก “ต้องทำค่ะ เขาต้องนิ่ง เขาต้องไม่เห็นหน้าแม่สักพัก เขาต้องเรียนรู้” เพราะไม่มีใครรู้ภาวะของพี่ว่าต้องเจออะไร
คุณแม่สมัยใหม่ไม่ตีลูกแต่ใช้ time out เพราะมีความเชื่อในเรื่องอะไร
จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจ แต่เราไม่ตี เพราะเราเคยโดนตีตอนเด็กๆ แล้วมันซึมเศร้านะ จะรู้สึกแบบ… ไม่มั่นใจกับอะไรสักอย่าง กลัวโดนตีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ตีของเรา ก็สะสมความเครียดเหมือนกันนะ เพราะเอาจริงๆ การตีมันคือการระบายอารมณ์ใช่มั้ย แต่สุดท้ายผลของมันคืออะไร? มันก็ไม่มีอะไร ระบายอารมณ์ให้แม่ผ่อนลง แต่สุดท้ายมันก็ฝังใจลูก ฝังในสมองเขา เราก็ไม่ทำและใช้วิธี “เชิญค่ะ เชิญไปเข้ามุม” แต่ขนาดนางเข้ามุมนางยังแกะ (ทำท่าแกะผนัง) ถามนางว่า “นี่คือ time out ของเธอเหรอ?”
แต่การเป็นแม่ เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ระบายความเครียดออกมาทางไหนดี
สามีแหละ รับเยอะสุด พูดแล้วเศร้าแทน พี่ก็จะระบายทุกวัน “เธอ เราไม่ไหวแล้วนะ ลูกเป็นอย่างนี้ หาหมอมั้ย”ไม่รู้ว่าสามีคิดอะไร แต่เราเห็นด้วยทันทีเลยนะ เขาบอกว่า “เรานี่แหละช่วยเขา เรา(พ่อกับแม่)ช่วยได้”
เคยได้ยินว่าเด็กที่มีภาวะไฮเปอร์ ต้องพบคุณหมอ?
ไม่ใช้ยา ไม่หาหมอ แต่ปรึกษาหมอทุกครั้งที่ไปวัคซีน “หมอคะ เช็คให้หน่อย สมาธิสั้นรึเปล่า” และพี่กับพี่ตุล(สามี)ศึกษาเรื่องยากันเยอะมากเลย รู้ว่ามันมีผลกระทบ คือแม้กระทั่งยาพาราก็ยังไม่ค่อยอยากให้กินเลยนะ มันมีผลกระทบหมดแหละ พ่อเขาก็จะพูดคำนี้ทุกครั้ง “เรานี่แหละช่วยลูก เท่าที่เราทำได้ เดี๋ยวเขาก็โต”
การใช้วิธีการ ‘เรานี่แหละช่วยลูก’ เท่ากับว่าคุณพ่อคุณแม่ยอมแลกกับความเหนื่อยและเวลาที่หายไปของตัวเอง?
พี่เสียดายความฉลาดของเขา ไม่อยากให้เขาไปหนืดๆ หน่วงๆ ด้วยยา พี่สงสารเขา เสียดายคำพูดฉะฉานของเขา เธอเกิดมา born to be นะ เธอฉลาดจะตาย เขาร้องเพลงภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่นได้จบเพลงเลยนะ เสียดายอะไรแบบนี้ เพียงแต่เขาต้องอยู่กับสังคม และสังคมจะตัดสินเขา เราก็ไม่ชอบที่สังคมจะตัดสินเขานะ เราจะดูแลให้เขาปรับตัว ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ได้ในสังคม แต่เราจะไม่ทิ้งตัวตนของเขาไปเลย
แก้ปัญหาอย่างไร
ย้ายโรงเรียนลูก เพราะคิดว่าเราไม่ควรมีโรงเรียนที่เหมือนที่บ้าน ต้องมีโรงเรียนที่ดูแลเขาได้มากกว่านี้ จากเคยเรียนที่โรงเรียนเอกชนสามภาษา เพราะหัวด้านภาษานางดีมาก พี่ย้ายเขามาอยู่โรงเรียนวัดศิริพงษ์ธรรมนินิต (บ้านเรียนแห่งรักและศานติ) เป็นโรงเรียนรัฐและทางเลือก ไม่มีการเรียนวิชาการ ไม่ให้เขียนหนังสือ แต่ให้ควบคุมตัวเอง สวดมนต์ นั่งสมาธิ ท่องกวี อยู่กับดิน ปีนต้นไม้ ใช้ energy ของเขากับธรรมชาติ
ตอนพี่ไปครั้งแรกนี่เศร้าเลยนะ สงสารลูกอะ “ทำไมต้องมาเจอแบบนี้” “ทำไมต้องนั่งสมาธิ” “เด็กไม่ควรต้องมานั่งสมาธิปะวะ?” ในใจต่อต้านตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้เขาก็นั่งได้ ไม่เป็นอะไรเลย ดีขึ้นเยอะมาก ถึงจะจบ อนุบาล 3 แล้วแต่ครูยังบอกว่า “อิ่มใจยังควบคุมตัวเองในบางครั้งไม่ได้นะ” โอ๊ย… แม่พอใจมากค่ะ แค่นี้แม่โอเค ครูไม่รู้หรอกว่าผ่านอะไรมาบ้าง (หัวเราะ)
คุณแม่เกริ่นว่าน้องมีภาวะที่หาย หายในที่นี้หมายถึงอะไร
หนึ่ง-ไม่ตื่นมาร้องไห้ตอนเที่ยงคืน สอง-ถ้าให้รอจริงๆ รอได้ อาจมีหน้าตาหงุดหงิดบ้าง อาจไม่เรียบร้อยนัก แต่เริ่มรอได้ และพี่ก็ฝึกเขามาเรื่อยๆ โดยใช้ศิลปะ ให้วาดรูปเยอะๆ ให้วาดให้เสร็จ วาดให้จบ พอวาดรูปเขาอยู่นิ่ง ฟังนิทานเขาฟังได้สิบเล่มโดยไม่ลุกไปไหน แต่ถ้าปล่อยไป เขาจะปุ๊บปั๊บๆ ยุกยิกละ
ไม่ได้ส่งผลกับพ่อแม่แค่ในบ้าน เวลาพาน้องไปนอกบ้าน มีความกดดันจากคนรอบข้างบ้างไหม ดีลกับมันอย่างไร?
เวลาออกไปข้างนอกให้พ่อเขาคุม พูดกับเขาว่า “ถ้าต้องการออกไปข้างนอก ไม่อยากจะอยู่แต่ในบ้าน อย่างน้อยเวลาอยู่ในร้านอาหาร ลูกต้องไม่ขึ้นไปปีนบนพนักนะ ต้องไม่เหินเป็นอุลตร้าแมนบนพนักนะ แม่อายเขา”ต้องคุยกับเขาแบบนี้ แต่เขาเป็นเด็กคุยรู้เรื่อง เข้าใจ แต่มันก็ไม่ได้เรียบร้อยนะ ไม่ถึงกับขึ้นพนัก ยุกยิกแน่ อยากจะไปทางนู้นทางนี้ (ทำท่า) “แม่เดี๋ยวหนูจะไปเคาน์เตอร์ จะไปคุยกับพี่เขานะ” เราต้องแบบ “ไม่ต้องลูก อยู่ตรงนี้ก่อนนะ” เครียดนะ แต่เรามองว่าก็โอเค ไม่ถึงขนาดเลวร้าย
แต่ถ้ามันมีเหตุการณ์ที่เลวร้ายนะ (เว้นจังหวะ) เราจะไม่ค่อยแคร์คนข้างนอก เพราะพี่รู้สึกว่าพี่ก็คุมเขาในระดับหนึ่ง ไม่ถึงขนาดไปเตะหัวชาวบ้าน ขึ้นไปนอนบนเคาน์เตอร์ เคยเห็นเด็กที่เป็นหนักขึ้นไปนอนบนเคาน์เตอร์เลย กลิ้งไปกลิ้งมา ชั้นไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หรือกรีดร้องในร้าน อิ่มไม่เป็นขนาดนั้น พูดรู้เรื่อง แต่แค่นั่งเฉยๆ ไม่ได้ คือถ้ามันจะอะไรที่เกินกว่าที่เราจะควบคุมได้ จะให้เราเครียดอะไรมากมาย ก็ปล่อยมันไปบ้าง สังคมก็จะสอนเขาส่วนหนึ่งด้วย
เช่น เขาไปวัดทำบุญ เขาไม่สามารถนิ่งได้จริงๆ พระก็จะดุเขาเอง อยู่ที่แม่กล้าปล่อยให้ลูกโดนดุมั้ย พี่ก็ปล่อยบ้าง เมื่อก่อนไม่ปล่อยเลยนะ “อย่าว่าลูกฉัน” “อย่าว่าน้า” แต่เดี๋ยวนี้นะ ช่วยกันสอนหน่อย ช่วยกันบอกหน่อย เพราะถ้าคนอื่นพูด มันจะช่วยกำกับเขาว่า อันนี้โอเค/ไม่โอเค ถ้าไม่โอเค… ลูกต้องพยายาม แต่เขาเครียดนะ พี่เห็นความเครียดในแววตาเขาเวลาที่เขาต้องนั่งเฉยๆ แต่เขาต้องพยายาม
4 ปีมานี้ คุณแม่ได้นอนแล้ว
ตั้งแต่มีโอบ(ลูกคนที่สอง) ได้นอนแล้ว อิ่มใจดีขึ้นด้วย และพอมีคนที่สอง ปู่ ย่า ป้า ยาย ทุกคนช่วยซัพพอร์ตตลอด
ในฐานะที่เป็นลูก เห็นคนรอบตัวมีลูก เรารู้สึกว่าการเลี้ยงลูกคนหนึ่งต้องใช้เครือข่ายซัพพอร์ตคุณแม่เยอะมาก เช่น ต้องมีคุณยาย น้า แก๊งเพื่อนแม่ และเครือข่ายสังคมอื่นๆ มาช่วยกันสนับสนุนกำลังและแรงใจของคุณแม่
จำเป็น จำเป็นมาก แต่ถ้าให้พี่ตอบแค่ตัวพี่ พี่อยู่ได้นะ เพราะพี่เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเราไม่แยกออกมา แต่มันก็จำเป็นมาก บางครั้งเราเอาไม่อยู่ ไม่ไหว เราต้องพักผ่อน บางครั้งต้องปล่อยมือเพื่อให้ลูกรู้ว่า “หนูทำแบบนี้ หนูจะไม่ได้เห็นหน้าแม่นะ หนูต้องไปอยู่อีกบ้านหนึ่ง แม่จะพักแล้วนะ” มันต้องมีอีกคนมาแบ่งเบาไป แต่การเป็นแม่คนเดียว, พี่เคยเจอเคสต์คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวในอพาร์ตเมนต์ มันหนักหนาสาหัสสำหรับเขามากเลยนะ ไม่มีใครมาแบ่งเบาเขาเลย ลูกนี่จะเอาเป็นเอาตายกับเขา ขัดใจก็ตีแม่ได้ แล้วแม่จะไปไหนได้ละ ก็ต้องอยู่ในบ้าน
ไม่ใช่คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่แค่ไม่มีสามี แต่โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว
ใช่ เขาหนักอะ และพี่มองว่ามันสำคัญนะ ถ้ามีคนมาอยู่ด้วยเขายังมีเวลาไปผ่อนคลาย ถ้าพี่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอยู่คนเดียวในอพาร์ตเมนต์แล้วเจอกับภาวะ baby blue ลูกตาย พี่ตายด้วย ตายไปด้วยกันนี่แหละ ไม่ต้องอยู่ละ นึกออกปะ แต่นี่ก็ยังมีสามี มีครอบครัวทั้งสองฝั่งอยู่ด้วย มันจะตายอะไรล่ะ ไม่ตายหรอก
6 ปีผ่านไป จากคุณแม่ครั้งแรกเป็นคุณแม่ครั้งที่สองแล้ว เป็นอย่างไร
ตอนแรกพี่รู้สึกว่าไม่ไหว บางช่วงเวลาอยากปล่อยให้ยายเลี้ยงไปเลย เราไปทำงานเช้ากลับเย็น มาเจอกันตอนเย็นพอ แต่พี่มาค้นพบว่า ทั้งที่ลูกเป็นแบบนี้นะ พี่กลับติดลูกมาก มีช่วงหนึ่งกลับไปทำงานประจำ ช่วยกันหาเงินกับสามี ปรากฏว่าทำงานไม่รู้เรื่องเลย คิดถึงลูกตลอด ห่วง “ป่านนี้ไม่ปีนตู้บ้านยายกระโดดลงมาหัวแตกตายแล้วเหรอ” “ยายจะให้ดูแทบเล็ตทั้งวันเปล่าวะ” ในใจคิด มีแต่ความกังวล ความรู้สึกมันผูกเองว่าชั้นต้องลาออกมาอยู่กับลูกหรืออยู่จนกว่าเขาจะหาย ดีขึ้น นิ่งได้ขึ้น กลายเป็นภาระผูกพันเนอะ
ถ้าไม่มีลูก ชีวิตจะอิสระกว่านี้ไหม?
เยอะมาก เรามีพี่สาวที่โสด “ฮุ้ย เธอ ทำไมชีวิตเธอดี๊ดี เธอไปกิน เธอหาเงิน เธอใช้คนเดียว นี่ใช้สี่คน” แต่มันก็แลกมาด้วยความสุขที่มากนะ ที่บอกว่าเราไม่ได้เอาพลังให้เขาอย่างเดียว เขาให้เรามาด้วย นั่นแหละ อันนั้นแหละ สำคัญสุด
พี่อาจเลิกกับพี่ตุลก็ได้นะ หลายคนบอกว่ามีลูกเพื่อไม่ให้สามีไปไหนรึเปล่า ไม่จริงหรอก เอ๊ะ… หรืออาจจะจริงก็ได้นะ (หัวเราะ) แต่เหมือนว่ามันเป็นสเต็ปของชีวิตที่จะทำให้เราไปต่ออย่างมีเป้าหมาย ลูกอาจเป็นโซ่ทองคล้องใจ ทำให้เลิกกันยาก ทำอะไรต้องคิดถึงลูก นึกถึงครอบครัวก่อน มันก็ (นิ่งคิด) ไม่รู้สินะ แต่การมีลูกทำให้เข้าใจว่า อ๋อ… ชีวิตเป็นอย่างนี้เหรอ วัฏจักรครอบครัวเป็นแบบนี้นะ
หลังจากเป็นคุณแม่มา 6 ปี ที่เคยหวังว่าอยากเป็นคุณแม่ที่เป็นเพื่อนกับลูก ยังคงเหมือนเดิมไหม
มันไม่เปลี่ยนจากเดิมเลย อยากรู้สึกเป็นเพื่อน เป็นคนแรกที่ลูกนึกถึง กล้าพูดกับเราทุกสิ่ง และทุกวันนี้เขาก็พูดกับพี่ทุกสิ่ง เขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เขากล้าพูด ยังเหมือนเดิม เพียงแต่พี่ต้องฝึกใช้อำนาจมากขึ้น
ทำไมต้องใช้อำนาจ?
เพราะตัวเองยังไม่มีอำนาจดูแลตัวเองเลย ฉันยังควบคุมอะไรให้เป็นไปตามที่ฉันคิดไม่ได้เลย แต่ฉันต้องคุมชีวิตเด็กคนหนึ่งให้ตื่น ให้ไปโรงเรียนให้ทันเวลานี้ กินข้าวเวลานี้ ฉันต้องใช้อำนาจ ฉันต้องมีนะ ไม่ใช่ว่าไม่ใช้อำนาจเลย ตอนนี้เหรอ… “อิ่มใจ เจ็ดโมงครึ่ง หนูต้องลุกขึ้นมานะลูก” (เสียงต่ำ) มีเสียงสองเสียงสาม เออ… มันคือการฝึกนะ เราไม่ได้เป็นแบบนี้ตอนเป็นวัยรุ่นเนอะ เพิ่งมาฝึกเอาตอนเป็นแม่นี่แหละ
เรื่องเล่าของคุณ เล่าในบริบทที่อยากเป็นคุณแม่ที่ดีตามข้อจำกัดของตัวเอง แต่มีคุณแม่อีกจำนวนหนึ่งไม่สามารถ ที่จะเป็นคุณแม่ตามอุดมคติได้จริงๆ คุณมีมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไร
พี่เข้าใจภาวะของแม่หลายคนที่ยอมพ่ายแพ้ในการต่อสู้จะเป็นแม่นะ เขาอาจไม่พร้อม สามีไม่โอเค อาจมีลูกโดยไม่ตั้งใจ หรือพอเขาเกิดมาปุ๊บก็เอาทุกอย่างไปจากชีวิตของแม่หมดเลย อยากจะพูดว่าเราเข้าใจนะ ทุกคนมีเหตุผล ไม่มีหรอกที่จู่ๆ ก็เกลียดลูก เขาไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น แต่สภาวะของเขาทำให้เขาต้องเป็นอย่างนั้น
อยากบอกว่า อย่ามองชีวิตคนอื่นแล้วรู้สึกว่า “ฉันพ่ายแพ้” “ฉันทำไม่ได้เหมือนคนอื่น” “ลูกเราแย่แล้ว” แล้วเราก็ไปตัดสินลูกอีก ลูกเรา… กอดเขาเอาไว้ มองตาลูกเถอะ นึกออกมั้ย หน้าเขาเหมือนเราเลย ชีวิต นิสัยใจคอ ของเราทั้งหมด อย่างน้อยให้ความรักเขา เขาไม่เลวนะ เขาไม่ดีในสายตาใคร เขาดีในสายตาเรา
การที่ลูกเกิดมาไม่สมบูรณ์ไม่ว่าด้านใดก็ตาม ที่เรามองว่าโชคร้ายเหลือเกินที่เกิดมาเป็นแบบนี้หรือมาเจอแบบนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้งลูกและคุณพลิกมาเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก คือการที่ได้ให้และได้รับความรักบริสุทธิ์ซึ่งกันและกัน
ในฐานะแม่ คิดว่าเรื่องไหนที่เป็นแรงกดดันสูงสุด เป็นอุดมคติการเป็นแม่ที่เราไม่ชอบเลย ทำแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ
มายาคติที่แบบ… แม่ต้องเสียสละ มอบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เวลากินข้าวก่อนลูกนี่ต้องมีเสียงมาละว่า “โห… อีแม่ ลูกล่ะ ป้อนลูกรึยัง แม่ต้องเสียสละให้ลูกก่อน” คุณไม่รู้หรอกว่าถ้าแม่ตาย ลูกฉันก็ตาย ถ้าฉันหิว ลูกก็จะได้กินด้วยอารมณ์แบบไหน? คือถ้าฉันไม่ตาย ลูกฉันก็ไม่ตายอะ
พูดแล้วดูร้ายเนอะ (หัวเราะ) แต่พี่จะไม่ฟังคนที่ไม่มีลูกสอนเรื่องการเลี้ยงลูก แม้กระทั่งหมอเก่งๆ ที่ไม่มีลูก พี่จะแค่อ่าน แต่จะไม่แบบ “โห… ตายแล้ว ฉันรู้ละ ฉันต้องจัดการกับลูกแบบนี้” เพราะในแม่หนึ่งคน ในยี่สิบสี่ชั่วโมง มันมีอะไรมากมาย คุณรู้มั้ยว่าเขาเจออะไร คุณรู้เหรอ? ใช่… เขาอาจไม่ใช่พ่อแม่เพอร์เฟคท์ พ่อแม่ทุกคนพยายามแล้วที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดี
จิตต้องแกร่ง จะเป็นแม่ใช่มั้ย? แกร่งไว้ ฉันมีอำนาจ (หัวเราะ) ฉันจะเลี้ยงยังงี้แหละ ฉันจะเป็นแบบนี้ มันอาจจะไม่ถูกอะ นึกออกปะ ไม่ถูกไม่ดี ไม่เพอร์เฟคท์ แต่ฉันจะเป็นแบบนี้แหละ
มีอีกเรื่องที่อยากพูดถึงมายาคติการเป็นแม่ คือเวลาอ่านหนังสือวิชาการเลี้ยงลูก ให้อ่านเอาพล็อต อย่าอ่านเป็นตัวชี้วัด แล้วคุณก็ใช้ชีวิตไป มันจะแฉลบซ้ายบ้าง เบนไปขวาบ้าง แค่อยู่ในพล็อตว่า หนึ่ง-คุณไม่ใช้ความรุนแรงกับลูก, สอง-คุณไม่ทำร้ายจิตใจลูกในเรื่องแบบนี้ๆ นะ และอื่นๆ คือเอาแค่พล็อตพอ ไม่อย่างนั้นวันหนึ่งเราจะรู้สึกแบบ “ฉันพ่ายแพ้” ให้มันมีบาลานซ์ เพราะมันก็คือชีวิตของเรา
และถ้าอยากจะเป็นแม่ที่ดี อยากจะเรียนรู้ความเป็นแม่จริงๆ นะ ไม่ต้องไปอ่านชีวิตคนอื่นว่าเขาโพสต์อะไรในเฟซบุ๊ค อยากรู้จักแม่จริงๆ เชิญที่สนามเด็กเล่นจ้ะ สนามเด็กเล่นนี่เป็นแหล่งกำลังใจที่ดีของแม่ที่แท้จริง
สนามเด็กเล่น เป็นแหล่งกำลังใจชั้นดีของคุณแม่อย่างไร?
เวลาอ่านงานวิชาการแล้วจะรู้สึกว่า ทำไมลูกฉันเป็นแบบนี้ๆ แต่พอไปสนามเด็กเล่นแล้วเจอลูกคนอื่น เออ… ธรรมดามากเลย เราจะเห็นว่าลูกคนอื่นก็จะมีพัฒนาการที่ดีเรื่องนั้น ไม่ดีเรื่องนี้ จะเห็นความแตกต่าง เห็นความแบบ เฮ้ย… ลูกเราไม่ได้แย่ ปกติ (เสียงสูง) เห็นลูกคนอื่น นั่นก็ลิง นี่ก็ลิง เออ ลิงสามตัว
แล้วแม่ๆ ที่มาแต่ละคนเนี่ย เป็นสภาพแท้ๆ ที่ไม่ได้ปรุงแต่งนะ แม่ในห้างที่แต่งตัวสวยๆ เนี่ย ปรุงแต่งมาแล้วนะจ๊ะ นึกออกปะ? ในสนามเด็กเล่น เราจะเห็นแม่ที่หน้าตาเหน็ดเหนื่อย ผ่านมาทั้งวัน เราจะรู้สึกถึงความเป็นแม่จริงๆ ให้กำลังใจกัน รู้ว่าทุกคนเหนื่อยเหมือนกันแต่คนละแบบและได้มาแชร์กัน ได้มานั่งเมาท์กัน
บางคนบอก “วันนี้ค่ะ ขับรถหลับในมาเลย” เพราะออกจากงานมาก็อยากเอาลูกมาสนามเด็กเล่น เราเห็นก็ “โอ้โห ลำบากกว่าเราที่เลี้ยงลูกอยู่บ้านอีกนะ เราจะบ่นไรนักหนา จะเครียดอะไรนักหนา”