- พ่อแม่ทุกคนน่าจะเคยหลุดปรี๊ดแตก เมื่อโลกการทำงานข้างนอกก็รุมเร้า กลับเข้าบ้านมาเจอลูกโยนระเบิดลูกใหญ่ใส่ (ถึงจะไม่ตั้งใจก็เถอะ)
- หลายคนอาจใช้วิธีสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ปากก็ว่า พุท-โธ หรือไม่ก็เดินหนีไป หายฉุนเฉียวได้สักพักก็กลับมาอาละวาดใหม่เพราะลูกยังป่วนไม่ยั้ง
- ลองดู 3 เทคนิคนี้ ตั้งแกน-ปล่อยพลัง-สร้างเกราะ ถ้อยคำที่ไม่คุ้นอาจดูเหมือนยาก แต่จริงๆ ไม่ คล้ายๆ กับการดึงสมาธิตัวเองให้กลับมา โฟกัสและผ่อนคลาย
คุณก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังเผชิญกับความอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยสะสมจากการเลี้ยงลูกอยู่ใช่ไหม?
ในหนึ่งวันเหมือนทั้งเวลากับพลังงานที่มีไม่เคยพอกับภารกิจที่ไหนจะต้องทำกับข้าว ดูแลพวกเขาให้อยู่ในร่องในรอย แล้วยังต้องรับมือสารพันปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบเมื่อพวกเขาดื้อ ซน ไม่เชื่อฟังหรือทะเลาะกันแย่งของ
โดยเฉพาะบ้านไหนที่คุณแม่ต้องทำงานนอกบ้านควบคู่ไปกับการดูแลลูกๆ ด้วยแล้วอาจมีวันใดวันหนึ่งที่อ่อนแรงกับภาระหน้าที่มาทั้งวัน พลังกายพลังใจเหมือนแบตเตอรีที่กะพริบเตือนว่าเหลือไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อกลับถึงบ้านกลับเจอแจ๊คพอตที่ลูกๆ ต้อนรับเราด้วยการละเลงสีทาบ้านลงบนโซฟาชุดใหม่ในห้องรับแขก
ทั้งๆ ที่เหน็ดเหนื่อยปานนั้น แต่จู่ๆ ในร่างกายก็กลับมีพลังงานร้อนวูบวาบที่แผ่ซ่านอย่างรุนแรงและรวดเร็วจนพร้อมจะระเบิดตูมออกมา ในวินาทีนั้นคุณแม่ก็แสดงอภินิหารแปลงร่างเป็นนางยักษ์ที่ไม่แค่หน้าตาเกรี้ยวกราด แต่อะไรที่อยู่ใกล้มือก็หยิบฉวยมาหวดลูกๆ แทนไม้เรียวระบายความโมโหผสมความเครียดที่สะสมมาทั้งวัน
ครั้นพอได้ปลดปล่อยพลังลบกับลูกไปแล้ว ไม่เพียงต้องมานั่งเสียใจทีหลังเพราะสงสารลูก ปัญหาความดื้อเหล่านั้นก็ยังคงอยู่เช่นเดิมเพราะมันคือธรรมชาติความอยากรู้อยากลองของเขา ที่เลวร้ายไปอีกคือลูกก็ซึมซับการแสดงออกจากความโมโหเหล่านั้น และนำไปทำตามบ้างเมื่อไม่ได้ดั่งใจ
ในฝั่งตะวันตกมีแนวทางในการจัดการกับอารมณ์หรือพลังงานลบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอยู่หลากหลายแบบ วิธีจัดการและควบคุมอารมณ์ที่น่าสนใจซึ่ง แพตตี ไวกิงตัน (Patti Wigington) หนึ่งในกลุ่มเผยแพร่ศรัทธาความเชื่อและสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจทางธรรมชาติที่เรียกว่า Wicca ในสหรัฐอเมริกาแนะนำไว้ในบทความ ‘Magical Grounding, Centering, and Shielding Techniques’ ถึงวิธีการควบคุมจัดการพลังงานทั้งด้านบวกและลบที่ขาดความสมดุล สะสมทับถมอยู่ในตัวเรามากเกินไปบ้าง น้อยเกินไปบ้าง
เทคนิคการจัดการพลังงานนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับพ่อแม่ และถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ควรสอดแทรกลงในชีวิตประจำวันเพื่อฟื้นฟูสมดุลสภาวะจิตใจและอารมณ์ที่เหนื่อยล้าจากการทำงานหรือเลี้ยงลูกให้กลับมาสงบนิ่งและมั่นคง
เทคนิคที่1: ตั้งแกน (Centering)
เทคนิคนี้คือการเติมพลังงานที่แห้งเหือด ยุ่งเหยิง กระจัดกระจาย หรือถูกดูดกลืนด้วยความเครียดจากปัญหาที่เข้ามากระทบจนเกิดความเหนื่อยล้า ความโมโห ให้กลับมาเต็มเปี่ยมทรงพลัง
อันดับแรก หาที่เงียบสงบ อาจเป็นม้านั่งร่มรื่นในสวน หรือห้องที่อากาศโปร่งเย็นสบาย ปิดประตูลงกลอน ปิดสัญญาณโทรศัพท์ หรือตัดความวุ่นวายจากเสียงรบกวนต่างๆ นั่งผ่อนคลายบนเก้าอี้มีพนัก ปิดเปลือกตาลงเบาๆ สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ 5-10 ลมหายใจ หรือจนลมหายใจสม่ำเสมอ กล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่างกายผ่อนคลาย หากยังฟุ้งซ่านลองนับเลขหรือท่อง ‘พุทโธ’ ในใจร่วมกับการหายใจไปด้วยก็ได้
เมื่อร่างกายสงบผ่อนคลายเต็มที่และลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอให้จินตนาการว่ามีพลังงานดีๆ อยู่รอบตัวเรา ถ้าเพิ่งเริ่มฝึกใหม่สามารถฝึกให้รู้สึกถึงพลังงานโดยการถูฝ่ามือทั้งสองถี่ๆ จนเกิดความอุ่น แยกฝ่ามือออกจากกันเล็กน้อยแล้วโฟกัสไปที่ความรู้สึกถึงกระแสพลังงานซ่าๆ เล็กน้อยที่วิ่งอยู่ตรงกลางระหว่างฝ่ามือทั้งสอง
ช่วงฝึกแรกๆ อาจไม่รู้สึกถึงพลังงานระหว่างฝ่ามือนี้ก็ได้ หรือบางคนอาจรู้สึกได้เพียงแค่แรงต้านตุบๆ เมื่อเอาฝ่ามือเลื่อนเข้าออกหากัน
เมื่อฝึกให้ร่างกายผ่อนคลายและจดจ่อไปยังพลังงาน(จากการถูฝ่ามือหรือที่อยู่รอบตัว) จนคุ้นเคยกับมันสักพักแล้ว ให้จินตนาการต่อไปว่าพลังงานเหล่านั้นเป็นพลังงานความสุข เบา เย็นสบายพลังงานนั้นกำลังค่อยๆ ห่อหุ้มตัวเราไว้พร้อมกับพองและหดตัวเหมือนบอลลูนประสานกับลมหายใจเข้าออก บอลลูนนั้นขยายใหญ่ขึ้นๆ ทุกที จนคลุมร่างกายได้ทั้งตัว เมื่อบอลลูนแห่งความสุขคลุมทั่วร่างให้วักฝ่ามือนำพลังงานนั้นเข้าสู่ร่างกาย พลังงานที่ว่าก็คือออร่าที่เราเคยได้ยินกันนั่นเอง
ขั้นตอนนี้ไม่ใช่ว่าเรากำลังพยายามสร้างอิทธิฤทธิ์พลังวิเศษเหมือนในละครจักรๆ วงศ์ๆ แต่เป็นการที่เรากำลังนำพลังธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัวอยู่แล้ว มาเติมพละกำลังภายในที่ร่อยหรอเหือดแห้งไปให้กลับคืนมา
จุดสำคัญของขั้นตอนนี้อยู่ที่การเก็บพลังความสุขที่รับเข้าสู่ร่างกายไว้ในจุดที่เรารู้สึกสบายและปลอดโปร่งที่สุด ส่วนมากมักกำหนดพลังงานไว้ที่กระบังลม (จุดที่เรียกว่า polar plexus) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของร่างกายเป็นหลัก หรือบางคนหากรู้สึกว่าการเก็บพลังไว้ที่กึ่งกลางหน้าอก (heart chakra) เป็นจุดที่รู้สึกสบายกว่าก็ทำได้
เมื่อฝึกบ่อยๆ จนคุ้นกับการผ่อนคลาย จดจ่อลมหายใจ พร้อมกับเปิดรับพลังงานได้เก่งขึ้น สามารถทำเทคนิคนี้ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ในกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าขณะนั่งรถไฟฟ้า ไปทำงาน หรือรอคิวในธนาคาร การฝึกดึงพลังงานดีๆ เข้าสู่ร่างกายนี้จะช่วยพัฒนาความสงบนิ่งมั่นคงของจิตใจและกระตุ้นพลังชีวิตให้สดชื่นแจ่มใสขึ้น
เทคนิคที่2: ปล่อยพลังลบลงพื้นดิน (Grounding)
เทคนิคนี้ใช้บรรเทาพลังงานลบที่ท่วมท้นจนเกินพอดี พลังงานลบคือพลังที่กระตุ้นให้รู้สึกตาสว่าง กระสับกระส่าย แม้เวลาจะล่วงเข้าสองยามแล้ว หรือขณะที่ร่างกายต้องการการพักผ่อนเต็มทีแต่กลับนอนไม่หลับ ภายในเต็มไปด้วยความขุ่นมัวที่ตกค้างมาจากความวุ่นวายทั้งวัน
ไวกิงตันอธิบายว่าบางครั้งการที่พลังงานลบภายในร่างกายเราอยู่ในระดับที่มากเกินพอดีจนรู้สึกท่วมท้น ก็เพราะในทุกวันเรารับเอาพลังลบจากภายนอกเข้ามาไว้ในร่างกายมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นต้องมีวิธีจัดการให้ระดับพลังงานส่วนเกินเหล่านั้นกลับไปอยู่ในจุดสมดุลอีกครั้ง
ขั้นตอนของเทคนิคนี้คือทำตรงกันข้ามกับการดึงพลังเข้าร่างกาย คือแทนที่จะวักพลังงานภายนอกเข้าสู่ร่างกายคราวนี้ให้เราจินตนาการว่ากำลังผลักพลังงานลบ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และความตึงเครียดออกจากร่างกายแทน
ขั้นตอนแรกทำเหมือนเดิมคือ ปิดเปลือกตาให้สนิทและจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ โฟกัสไปที่พลังงานลบความรู้สึกกระสับกระส่ายอึดอัดนั้นให้เต็มที่ แล้วใช้ฝ่ามือผลักพลังงานส่วนเกินเหล่านั้นผ่านลงไปตามขาจนถึงเท้าและปล่อยให้พลังงานนั้นซึมลงสู่พื้นดิน (หากนั่งในห้องจินตนาการให้พลังซึมลงไปที่พื้นห้อง) จินตนาการอย่างแจ่มชัดให้เห็นว่าพลังงานเหล่านั้นไหลผ่านขาและฝ่าเท้าของเราลงไปสู่พื้นดินที่เป็นฟองน้ำดูดซับพลังงานส่วนเกินของเราอย่างสม่ำเสมอ
หรืออีกวิธีเก๋ๆ ที่สามารถเสริมควบคู่ไปกับการฝึกนี้คือการใช้หินสีหรือคริสตัลเข้ามาช่วยดูดซับพลังงาน หรือลองหากระถางขนาดพอเหมาะใส่ดินไว้เป็น ‘กระถางรองรับอารมณ์’ ตั้งในมุมสงบและสะดวกใช้
เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่ามีพลังงานลบเอ่อท้นจนเก็บไม่ไหว การงานก็รุมเร้า ลูกก็ดื้อมากเหลือเกินให้หาเวลาอยู่ตามลำพังสักครู่ เอาปลายนิ้วจิ้มลงไปบนดินในกระถางแล้วปล่อยพลังงานลบให้ไหลผ่านนิ้วลงสู่ดิน
เมื่อทำขั้นตอนนี้เสร็จให้กล่าวคำปิดท้ายที่แสดงถึงการปลดปล่อยพลังทุกครั้งอาจเป็นประโยคง่ายๆ เช่น “และแล้วมันก็หายไปเสียที!” หรืออาจแค่ร้อง ‘เฮ้ออออออออ’ ออกมาดังๆ
เทคนิคที่3: สร้างเกราะคุ้มกัน (Shielding)
เทคนิคนี้เหมือนกับ ‘การกั้นเขตแดน’ ในโลกเวทมนตร์ การสร้างเกราะคุ้มกันในที่นี้หมายถึงการป้องกันตนเองจากพลังงานลบที่ส่งมาจากผู้อื่นไม่ให้ผ่านเข้ามาถึงเรา เช่น เมื่อต้องตกอยู่ในเหตุการณ์สมาคมกับแก๊งแม่ๆ คนอื่นที่เปรียบเทียบเกรดเฉลี่ยของลูกตัวเองกับลูกเราและแสดงความเป็นห่วงว่าลูกเราอาจสอบไม่ติด
แตกต่างจากสองเทคนิคแรกที่โฟกัสไปยังการจัดสมดุลพลังงานในร่างกายด้วยการดึงพลังงานดีๆ เข้ามาและถ่ายเทพลังงานแย่ๆ ออกไป เทคนิคนี้คือ สร้างเป็นเกราะป้องกันขึ้นจากพลังงานที่อยู่รอบตัวเราโดยจดจ่อไปที่ลมหายใจ และจินตนาการให้พลังงานนั้นแผ่ขยายคลุมร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเหมือนมีเกราะวิเศษห่อหุ้มตัวเราไว้
พื้นผิวของเกราะที่ห่อหุ้มเราอยู่นั้นเปรียบเสมือนเพชรที่แข็งแรง ทนทาน สามารถป้องกันพลังงานแย่ๆ ที่เข้ามาตกกระทบให้สะท้อนออกไป สิ่งกวนใจใดๆ หรือใครก็ตามที่มีแนวโน้มจะส่งพลังงานลบหรืออารมณ์บูดบึ้งให้แก่เรา พลังงานลบเหล่านั้นจะผ่านเข้ามาทำให้เราขุ่นมัวไม่ได้
เมื่อเราฝึกสร้างเกราะคุ้มกันจนเคยชิน คำวิจารณ์ร้ายๆ หรือข้อความเป็นห่วงเป็นใยที่นำพาแต่ความวิตกมาให้ ก็จะไม่ระคายอารมณ์เราได้สักนิด
สามเทคนิคการจัดการพลังงานนี้ถ้าคุณพ่อคุณแม่ลองฝึกฝนบ่อยๆ จนชำนาญ จะพบว่าสามารถรู้ทันตนเองได้ว่าเรากำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์ใด และสามารถควบคุมอารมณ์หรือพลังงานที่ไม่สมดุลนั้นให้กลับมาสงบนิ่งได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น ลองนำไปฝึกร่วมกับหากิจกรรมนันทนาการที่ชอบ หรือช่วยกระตุ้นความสดชื่นและพลังงานบวกอื่นๆ เช่น ออกกำลังกายเบาๆ ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ แช่น้ำอุ่น หรือพบปะเพื่อนที่มีทัศนคติเชิงบวก ก็จะช่วยเติมพลังงานและความชื่นบานได้อีกครั้ง