- การทำให้เรื่องเล่นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันสามารถสร้าง ‘ความสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ และแข็งแรงด้วยทักษะของศตวรรษที่ 21’
- การเล่นเป็นหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ทักษะทางภาษา คณิตศาสตร์ และสังคม รวมถึงลดความเครียดของพวกเขาลง
- สิ่งที่ทำลายความสร้างสรรค์ของเด็กคือ การขาดแคลนเวลาพักผ่อน สนามเด็กเล่น และของเล่นปลายเปิดที่ให้เขาต่อยอดจินตนาการไปได้เรื่อยๆ
การเล่นมีเวทมนตร์ และความสร้างสรรค์ของเด็กเกิดจากเวทมนตร์นั้น
โลกที่ให้ความสำคัญกับเดดไลน์และปริมาณผลผลิต จึงยากเหลือเกินที่ผู้ใหญ่มากมายจะโอบกอดความสร้างสรรค์ของเด็กๆ ไว้ได้โดยไม่มองว่าเป็นเรื่อง ‘ไร้สาระ’ หรือ ‘เสียเวลา’
รายงานฉบับล่าสุดจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics – AAP) ได้ย้ำให้แพทย์เขียน ‘ใบสั่งยาสำหรับการเล่น’ (prescription for play) โดยรายงานดังกล่าวพัฒนาจากรายงานเมื่อปี 2007 ที่อธิบายถึงการเล่นอย่างมีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน รวมถึงบทบาทการเสริมทักษะทางสังคม ภาษา และการควบคุมตนเอง เช่นเดียวกันกับความสามารถในการช่วยจัดการความเครียดและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กๆ กับผู้ปกครอง
รายงานฉบับนี้ยังแนะนำว่า การทำให้เรื่องเล่นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันสามารถสร้าง ‘ความสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ และแข็งแรงด้วยทักษะของศตวรรษที่ 21’
อย่างไรก็ตาม มีเด็กอีกเพียบที่ยังไม่เคยแม้แต่จะได้ลองเล่นแบบที่เป็นประโยชน์ (beneficial play)
มาเล่นกันเถอะ
ในปี 2012 สถาบันเอเอพีได้เก็บข้อมูลจากเด็กปฐมวัยและพ่อแม่เกือบ 9,000 คน ระบุว่ามีเด็กเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่ออกไปเดินหรือเล่นข้างนอกกับพ่อแม่วันละครั้ง
นอกจากห่วงความปลอดภัย ขาดแคลนสวนสาธารณะ และสภาพแวดล้อมไม่เอื้อแล้ว รายงานของสถาบันฯ ยังค้นพบแรงกดดันด้านวิชาการที่เพิ่มขึ้นและเวลาหยุดพักผ่อนในโรงเรียนที่น้อยลง จนทำให้เกิดการถกเถียงกันระดับชาติ เคียงคู่ไปกับร่างกฎหมายที่พยายามจะพิสูจน์ให้เห็นคุณค่าของเวลาเล่น
“หลายโรงเรียนตัดช่วงเวลาพักผ่อน วิชาพละ ศิลปะ และดนตรี เพื่อไปเน้นเตรียมสอบให้เด็กๆ” รายงานระบุ
“ความขาดแคลนและไม่ปลอดภัยของสนามเด็กเล่นและบริเวณในชุมชนจะทำให้เด็กๆ เกิดภาวะขาดธรรมชาติ (nature deficit disorder)” ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกำลังมองว่ากำลังจะเป็นโรคประจำของเด็กยุคนี้ โดยจะส่งผลต่อการเข้าสังคมในอนาคตของพวกเขาได้
“การเล่นเพิ่มสายสัมพันธ์ที่ดีให้ครอบครัวได้” ดร.ไมเคิล ยอกมัน (Michael Yogman) กุมารแพทย์และหัวหน้าทีมผู้เขียนรายงานเกี่ยวกับความสำคัญของเวลาเล่นของเอเอพี กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีและสื่ออาจช่วยเพิ่มความใฝ่รู้ให้เด็กๆ ได้ แต่ยังไม่เป็นผลดีต่อการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
“แม้การมีส่วนร่วมกับสื่อตามวัยอาจทำให้เกิดผลประโยชน์ได้บ้าง แต่การมีปฏิสัมพันธ์กันในชีวิตจริงยังคงมีประโยชน์มากกว่าสื่อดิจิทัล”
“หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะทำให้ลูกได้คือการเล่น เพราะจะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ทักษะทางภาษา คณิตศาสตร์ และสังคม รวมถึงลดความเครียดของพวกเขาลงด้วย”
เล่นอย่างไรให้มีประโยชน์
บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่น ครูศิลปะ และผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัยที่พิพิธภัณฑ์เด็กได้บอกเคล็ดลับการเล่นให้ ที่แม้แต่พ่อแม่ผู้สุดแสนจะมีเวลาจำกัดจำเขี่ยก็สามารถกระตุ้นให้เด็กๆ สังเกต สำรวจ และจินตนาการได้ง่ายๆ
• เล่นไร้รูปแบบ
ดร.ปีเตอร์ เกรย์ ศาสตราจารย์นักวิจัยด้านจิตวิทยาจากวิทยาลัยบอสตันบันทึกว่า สิ่งที่ดึงเด็กออกจากด้านความสร้างสรรค์ของพวกเขาคือ การขาดแคลนเวลาพักผ่อน สนามเด็กเล่น และของเล่นปลายเปิดที่ให้เขาต่อยอดจินตนาการไปได้เรื่อยๆ เช่น ดินน้ำมัน หรือการผสมสี
แคสซี สตีเฟนส์ (Cassie Stephens) ครูผู้สอนศิลปะชั้นประถมศึกษามา 20 ปี กระตุ้นให้พ่อแม่ไม่บิดเบือนเรื่องง่ายๆ ที่ผู้ใหญ่เห็นจนชินตา เพราะมันน่าสนใจและสำคัญสำหรับเด็กมาก
“เมื่อสองสีรวมกันได้เป็นสีส้ม และเด็กวัย 5 ขวบตื่นเต้นที่ได้ผสมสองสีจนเกิดสีใหม่ขึ้นมา เราเองก็ควรตื่นเต้นไปกับเขาด้วย ไม่ใช่พูดว่า ‘ก็ใช่น่ะสิ’ หรือ ‘เคยสอนแล้วไง’”
• เก็บพื้นที่ความเป็นเด็กเอาไว้
ราเชล จีอานนินี (Rachel Giannini) ผู้เชี่ยวใหญ่ด้านเด็กและอดีตครู บอกว่า คนส่วนใหญ่ไม่หล่อเลี้ยงความสร้างสรรค์เหมือนเด็กๆ ส่วนพ่อแม่ก็มักเลือกของเล่นให้และทึกทักจุดประสงค์เอาเอง
“เด็กอาจมองของเล่นเป็นเครื่องบิน เรือดำน้ำ ถ้าคุณบอกว่า ‘นั่นมันรถ นี่เป็นล้อรถ และมันวิ่งบนถนน’ คุณกำลังทำลายจิตวิญญาณความเป็นเด็กของเขา”
‘เวทมนตร์อยู่ในสิ่งเล็กๆ’ – ผู้ใหญ่หลายคนลืมข้อนี้ไป หรือไม่สังเกตโลกรอบๆ ตัว ระวังให้ดีและอย่าปล่อยให้ตัวคุณจำกัดจินตนาการของเด็กๆ ไปด้วย
• ใช้อะไรก็ได้ง่ายๆ รอบตัว
ไม่จำเป็นต้องซื้อของเล่นแพงๆ เพื่อสร้างความสร้างสรรค์ในบ้าน เพราะเด็กๆ จะได้ประโยชน์จากของเล่นที่ไม่ปิดกั้นความคิดสารพัด เช่น ดินน้ำมัน
สตีเฟนส์ แนะนำว่า พ่อแม่ควรเลือกเล่นในกิจกรรมที่เด็กๆ สนุกกับมันอยู่แล้ว พ่อแม่อาจรู้สึกเพี้ยนเวลาเล่นด้วย แต่เด็กๆ จะไม่เอาแต่จ้องหน้าจอและพวกเขาก็จะตื่นเต้นมาก”
• ให้เด็กทำพลาดบ้าง
ไม่ต้องช่วยแก้ปัญหาเล็กน้อยให้พวกเขา ไม่ต้องปกป้องหรือวิ่งเข้าหาเขาทุกครั้งที่เขามีปัญหากับคนอื่น เพราะการปล่อยให้เด็กๆ ทำพลาดระหว่างเล่นหรือทดลองทำอะไรบางอย่าง จะกระตุ้นให้เขาลุกขึ้นท้าทายตัวเองต่อไป
“สร้างพื้นที่ให้เขาล้มเหลวได้อย่างปลอดภัย ในแบบที่เขาสามารถลุกขึ้นได้อีกครั้ง” เกรย์บอก “ถ้ายังไม่ได้ผลจริงๆ ก็แค่ลองหาเวลาพูดคุยเล่นกับลูก เพื่อหาว่าเหตุใดจึงไม่ได้ผลเสียที”