- กระบวนการศิลปะทำงานกับเด็กทั้งภายในและส่งผลถึงภายนอก ขณะที่เด็กกำลังเล่นสนุกหรือวาดภาพ ในตอนนั้นเขาเต็มไปด้วยจินตนาการและความรู้สึก แต่เมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้นสิ่งเหล่านี้มักจะหายไปตามบริบทการเรียนรู้ที่มุ่งสู่วิชาการ
- ครูมอส – อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัดแนวทางมนุษยปรัชญา ชวนทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการรักษาจินตนาการและความรู้สึกของเด็กให้คงอยู่ เพราะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาตนเอง ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การคิดแยบคาย ความสามารถในการแก้ปัญหา รวมไปถึงความเข้าใจตนเองและโลก ซึ่งทำได้ผ่านกระบวนการศิลปะ
- สิ่งสำคัญของกระบวนการศิลปะไม่ใช่การสร้างศิลปิน แต่เป็นการเปิดให้เด็กได้มีกระบวนการจินตนาการ ลงมือทำ และสะท้อนคิดไปพร้อมกัน กระบวนการนี้จะติดตัวเขาไปในอนาคต เป็นรากฐานของพลังชีวิต ความพึงพอใจในตัวเอง และความสามารถในการเติบโตอย่างสมดุล
“ศิลปะคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงตัวตนด้านในของเด็ก ช่วยให้เขาเติบโตอย่างสมบูรณ์ทั้งร่างกาย ใจและจิต”
ครูมอส – อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัดแนวทางมนุษยปรัชญา ผู้ก่อตั้ง ‘ศิลปะด้านใน’ (7 Arts Inner Place) พูดถึงใจความสำคัญของกระบวนการศิลปะที่ทำงานกับเด็กทั้งภายในและส่งผลถึงภายนอก ในงาน Wonder Life Playground ครั้งที่ 3 ตอน Art & Music: เข้าใจตนเองเพื่อเข้าใจลูก ผ่านดนตรีและสีสัน
ขณะที่เด็กกำลังเล่นสนุกในสนามเด็กเล่นสักแห่ง หรือกำลังวาดภาพสักภาพ ในตอนนั้นเขาเต็มไปด้วยจินตนาการและความรู้สึก แต่เมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้นสิ่งเหล่านี้มักจะหายไปตามบริบทการเรียนรู้ที่มุ่งสู่วิชาการ ครูมอสชวนทำความเข้าใจว่า ในการจะพัฒนากายและใจเด็ก การรักษาจินตนาการและความรู้สึกให้คงอยู่ เป็นสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองและครูควรให้ความสำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาตนเอง ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การคิดแยบคาย ความสามารถในการแก้ปัญหา รวมไปถึงความเข้าใจตนเองและโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ทำได้ผ่านกระบวนการของ ‘ศิลปะ’

Willing, Feeling, Thinking สามขั้นตอนการเติบโตของเด็ก
“เมื่อทำความเข้าใจว่าเด็กเติบโตมาอย่างไร เป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาแนววอลดอร์ฟ หรือที่เรียกว่า มนุษยปรัชญา (Anthroposophy) ซึ่งมองพัฒนาการมนุษย์ผ่านสามมิติหลักคือ Willing (เจตจำนง คือความมุ่งมั่นลงมือทำ), Feeling (ความรู้สึก) และ Thinking (การคิด) สามขั้นตอนสำคัญของการเติบโตที่ค่อยๆ พัฒนาจากภายในสู่ภายนอก การเรียนรู้ตามแนวคิดนี้จึงนำ ศิลปะ (Arts) เข้ามาเป็นฐานการเรียนรู้ เพราะศิลปะคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงตัวตนภายในของเด็ก ช่วยให้เขาเติบโตอย่างสมบูรณ์ทั้งร่างกาย ใจ และจิต”
โดยช่วงวัย 7–14 ปี เด็กจะเรียนรู้ผ่านจินตนาการและความรู้สึก หัวใจของวัยนี้ คือ ความงาม ศิลปะ นิทาน ดนตรีและจังหวะ
สิ่งที่เด็กต้องการคือ ครูที่มีความอบอุ่น เป็นผู้นำที่เด็กเชื่อใจและรู้สึกผูกพันได้ การเรียนรู้ทุกวิชาบูรณาการผ่านศิลปะทุกแขนง เช่น วาดภาพ ร้องเพลง เล่านิทาน สร้างภาพในใจมากกว่าภาพจำ การสร้างการเรียนรู้ด้วยความงาม โดยจุดเน้นของการศึกษา เป็นการสร้างจินตนาการและความรู้สึกถึงความดี ความงาม ความจริง
ครูมอสอธิบายว่า ช่วงวัย 7–14 ปี ถือเป็นช่วงสำคัญที่เด็กจะถือพลังชีวิตบางอย่างติดตัวมาโดยธรรมชาติ การศึกษาวอลดอร์ฟจึงให้ความสำคัญกับ วิธีการเรียนรู้ เท่ากับผลลัพธ์ เพราะการที่เด็กได้วาดรูปโดยที่ไม่ได้มีคำสั่ง ใช้จินตนาการและลงมือทำด้วยตัวเอง นั่นคือการทำงานของ Willing อย่างแท้จริง พลังชีวิตของเด็กจะเติบโตได้จากการลงมือทำซ้ำๆ ทุกวัน ทั้งการเล่น การขยับกาย การทำอะไรให้สำเร็จ ไม่ใช่เพียงรับสิ่งสำเร็จรูปที่ถูกป้อนให้เหมือนเด็กในยุคปัจจุบัน
“ทุกวันนี้เด็กหลายคนสูญเสียจินตนาการ เพราะเดี๋ยวนี้มีสิ่งสำเร็จรูปมากมายที่คอยป้อนให้เด็ก เราจะรู้ได้ทันทีว่านี่คือความไม่ปกติของยุคนี้ แต่ถ้าเป็นเด็กตามธรรมชาติ นั่นคือธรรมชาติของเด็กทั่วๆ ไป เด็กจะมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม แต่ตอนนี้เด็กหลายคนพลังชีวิตน้อย เพราะไม่ได้ทำงานกับ Will ไม่ได้ลงมือทำจริง เช่น ไม่ได้เริ่มต้นเอง ทำอะไรก็ไม่จบ เล่นไม่สุด เหงื่อไม่ออก ไม่ได้ขยับกายทุกวัน สิ่งเหล่านี้ทำให้พลังชีวิตลดลง”
เมื่อพัฒนามาสู่ขั้นของ Feeling เด็กจึงจะเริ่มมีความมุ่งมั่น ความพยายาม แต่ก็เป็นช่วงที่หลายคน ‘หมดแรง’ แม้เคยเริ่มต้นดีในช่วงอนุบาล สิ่งสำคัญคือการมองให้เห็นว่าอะไรที่หายไป แล้วเติมกลับลงไปให้เด็กผ่านงานอิสระ ผ่านงานที่เขาได้รู้สึกถึงความหมายของสิ่งที่ทำ เด็กบางคนมีกระดาษเปล่าเพียงแผ่นเดียวก็สามารถสร้างงานที่เสร็จสมบูรณ์ภายใน 40–45 นาที ผลงานนั้นไม่ใช่เพียงผลลัพธ์ แต่สะท้อนความเป็นตัวตนและพลังภายในของเขา
ในความเป็นจริง Feeling ยังเติบโตจากดนตรี นิทาน และศิลปะแขนงต่างๆ ที่ช่วยให้ห้องเรียนเต็มไปด้วยความเบิกบาน เด็กจึงได้รับ ‘ความงาม’ เข้าไปในจิตใจ ผ่านเสียง ผ่านภาพ ผ่านบรรยากาศรอบตัว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นไม่ต่างจากการเรียนรู้ทางวิชาการ เพราะความงามคือความจริงอย่างหนึ่งของโลกใบนี้
“ความงามเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต เพราะเมื่อเห็นความงามได้ จึงพบความเป็นจริง ดอกไม้ที่สวยในโลกนี้ก็เป็นความจริง แต่เราอย่ามองแยกส่วน แต่ต้องมองทั้งองค์รวม”
เมื่อเด็กโตขึ้นจนเข้าสู่กระบวนการ Thinking การพิจารณาและการใช้ปัญญาจะชัดเจนขึ้น เช่น เด็กวัย 10 ขวบเริ่มคิดเรื่ององค์ประกอบของรูปทรง เด็ก ป.5–ป.6 เริ่มทำงานภาพขาวดำ สังเกตความมืดความสว่าง แยกแยะรายละเอียด และเริ่มเห็นโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น การวาด การปั้น การสังเกตต้นไม้ สัตว์ ธรรมชาติ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาให้เขารู้จักจินตภาพที่สอดคล้องกับโลกจริง

กระบวนการศิลปะ คือการปล่อยให้เด็กเรียนรู้กระบวนการชีวิต
“เด็กคนหนึ่งที่ขาดความอบอุ่น สีในรูปตอนเล็กๆ ก็อบอุ่นน้อย ในรูปวาดของเด็กน้ำหนักของสีถือว่าสำคัญ เพราะฉะนั้นในแง่การศึกษา การระบายสีมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าเขาจะเป็นเด็กที่ชอบสีน้ำเงินมาก่อน แต่เขาได้มีโอกาสเจอสีเหลืองในคราวต่อไป เจอความอบอุ่นของสีแดง ก็ย่อมทำให้ชีวิตเขาสมดุล”
สีสัมพันธ์กับกระบวนการในการดำรงอยู่ของจิตใจเด็กในช่วง 0-7 ปีแรกนั่นคือปฐมวัย และ 7-14 ปี สองวัยนี้ ‘สี’ มีความสำคัญมาก เพราะว่ามีความสัมพันธ์กับคำว่า ‘พลังชีวิต’ และ ‘ความรู้สึก’
“เด็กจึงไม่ได้แค่เห็น แต่ยังสัมผัสได้ ภาษาอังกฤษเราใช้คำว่า Senses เด็กที่อยู่ในครรภ์ของคุณแม่ เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แม่มีกับของตัวเด็กในช่วงเวลานั้น และรับความรู้สึกของแม่ได้ และความรู้สึกนี้มีความสัมพันธ์กับสี แต่สีก็ไม่ได้เท่ากับเรื่องนั้นๆ เช่น สีแดง ไม่ได้เท่ากับคำว่า ‘โกรธ’ เสมอไป สีแดงเป็นความรักก็มี แต่ความสัมพันธ์นี้ส่งมาที่การรับรู้ของเด็กได้”
ครูมอสอธิบายถึงภาพวาดของเด็ก โดยเริ่มจากการลากเส้นที่แสดงถึงอิสระ จินตนาการที่ไม่มีใครมากำหนด ไปจนถึงภาพวาดที่เริ่มแสดงถึงความสัมพันธ์ของธรรมชาติรอบตัว และการหาความสมดุลขององค์ประกอบต่างๆ
“ช่วงวัย 2 ขวบ เขาวาดในฟอร์มของ Scribble Drawing ลากเป็นเส้น ขีดเขียนอย่างอิสระ เป็นวงกลมบ้าง ช่วงวัย 4-5 ขวบ ภาพวาดเขาจะมีความสัมพันธ์ของต้นไม้ มีคน มีดวงอาทิตย์ เขารับรู้ได้ว่าโลกมีความอบอุ่น โลกมีแสงแดด บ้านมีสิ่งแวดล้อมอะไรบ้าง มีต้นไม้ มีสุนัข มีแมว นี่คือสิ่งแวดล้อม ความอบอุ่นรอบข้างจึงส่งผลในรูปชิ้นนั้น เราจะไม่บอกว่าต้องมีดวงอาทิตย์ แต่เขาจะวาดของเขาเอง จาก Will คือความมุ่งมั่น
และถ้าปล่อยเด็ก 4-5 ขวบไปสนามหญ้าเขาจะมีวิธีเล่นของเขาเอง ให้กระดาษไปแผ่นหนึ่งมีวิธีวาดรูปโดยตนเอง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่เด็กจะพัฒนาข้างในด้วยตนเอง แต่ถ้าเราเป็นผู้กำหนดจะตรงกันข้ามเลย จะทำตามที่บอก ได้ใช้ Will บ้าง แต่น้อย และไม่ได้ใช้จินตนาการ นี่เป็นข้อสำคัญที่คุณสามารถกลับไปให้พื้นที่ที่บ้านหลังน้อยๆ ของเรา ให้เขาอยู่กับกระดาษแผ่นหนึ่งได้ด้วยตัวของเขาเอง”
นอกจากนี้จะเห็นว่าภาพวาดของเด็กแต่ละช่วงวัยแสดงถึงพัฒนาการของเด็กได้ด้วย เช่น เริ่มระบายสีเต็มมากขึ้น เริ่มมีความอบอุ่นในรูปมากขึ้น บ้านเริ่มเป็นรูปทรงที่ชัดเจน ความสัมพันธ์ของรูปเริ่มมีซ้าย-ขวา เริ่มจัดองค์ประกอบเพื่อความสมดุลของภาพ
“ดวงอาทิตย์อยู่ตรงไหนดี บ้านอยู่ตรงไหนดี ซึ่งความสมดุลของรูปจะเกิดขึ้นหลัง 5 ขวบ เด็กเรียนรู้ผ่านมือและเท้า มีรูปทรงมากขึ้น แหลมมากขึ้น ก็คือตอนแรกเป็นรูปทรงธรรมชาติ (Organic Form) ยังไม่เป็นรูปทรงเรขาคณิต (Geometric Form) ถ้าพัฒนาไปตามลำดับต้องพัฒนาไปจาก Organic ไป Geometric”

ครูมอสทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญของกระบวนการศิลปะไม่ใช่การสร้างศิลปิน แต่เป็นการเปิดให้เด็กได้มีกระบวนการจินตนาการ ลงมือทำ และสะท้อนคิดไปพร้อมกัน กระบวนการนี้จะติดตัวเขาไปในอนาคต เป็นรากฐานของพลังชีวิต ความพึงพอใจในตัวเอง และความสามารถในการเติบโตอย่างสมดุล
“สำหรับเด็กคนหนึ่ง การที่สิ่งแวดล้อมนั้นรื่นรมย์ เป็นสิ่งดีนะ กระบวนการของศิลปะมันจะค่อยๆ ทรงพลังกับความฝัน ความคิดเด็กไปเรื่อยๆ ในแต่ละช่วงวัย สิ่งหนึ่งที่อยากบอกคือเราไม่ได้เปลี่ยนให้เด็กเป็นศิลปิน แต่เราปล่อยให้เด็กมีกระบวนการชีวิตที่มีการใช้การเริ่มต้นจากจินตภาพ คิด ลงมือทำ และสิ่งนี้จะติดตัวเด็กไป เขาจะลงมือทำและพิจารณาไปด้วย สุดท้ายก็จบที่รู้ว่าความพอดี พอใจของตัวเอง”