- คุยกับ ขุนพล เจริญลาภนำชัย เด็กชายวัย 15 ปี ชั้นม.3 จากโรงเรียนรุ่งอรุณ หนึ่งในสปีกเกอร์ TEDxBangkok Youth 2025 – เย็บ ปัก ถัก ทอล์ก (Tied & Told) ที่ชวนมองเข้าไปในใจตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ในทอล์กชื่อ ‘เขียนตัวตน’ (Identity Development)
- ขุนพลเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘สิ่งที่เราชอบ’ กับ ‘สิ่งที่เราอยากเป็นจริงๆ’ มันอาจไม่เหมือนกันเสมอไป จึงลองทำทุกอย่างที่โอกาสเปิดให้ลอง
- สำหรับขุนพล ‘การค้นหาตัวตน’ ไม่ได้หมายถึงการต้องรีบหาคำตอบให้ครบ แต่คือการให้เวลา ให้โอกาส และให้ความเข้าใจกับตัวเองในทุกช่วงวัย
ในช่วงวัยที่ใครหลายคนยังเผชิญกับคำถามเดิมๆ ที่ไม่มีคำตอบตายตัว อย่าง “เราอยากเป็นอะไร?” หรือ “เราหาตัวเองเจอแล้วหรือยัง?”
คำถามที่ดูเหมือนง่าย แต่กลับกลายเป็นเรื่องยากที่สุดเมื่อมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราเอง
ขุนพล เจริญลาภนำชัย เด็กชายวัย 15 ปี ชั้นม.3 จากโรงเรียนรุ่งอรุณ หนึ่งในสปีกเกอร์ TEDxBangkok Youth 2025 – เย็บ ปัก ถัก ทอล์ก (Tied & Told) กลับเลือกจะมองเข้าไปในใจตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความสงสัยและความกล้าที่จะตั้งคำถามกับชีวิต ในทอล์กชื่อ ‘เขียนตัวตน’ (Identity Development)
“ผมพูดถึงเรื่องการพัฒนาตัวตน หรือ Identity Development เพราะผมเชื่อว่าในช่วงวัยรุ่นทุกคนต่างต้องผ่านช่วงเวลาของการค้นหาตัวเองอยู่แล้วใช่ไหมครับ
ยิ่งในยุคสมัยนี้ที่โลกหมุนเร็วขึ้น เราเห็นเด็กตัวเล็กๆ ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือประสบความสำเร็จมากมายเต็มไปหมด ซึ่งคีย์หลักที่ผมอยากจะสื่อคือ เราไม่จำเป็นต้องรีบ ไม่ต้องแข่งกับใคร แข่งกับตัวเองก็พอครับ”
…เพราะบางครั้งการไม่รู้ว่าเราจะไปทางไหน ก็ไม่ใช่เรื่องผิด หรือเรื่องที่ต้องเร่งรีบหาคำตอบให้เจอ

การค้นหาตัวตน เริ่มต้นจาก ‘การยอมรับ’ ว่าเราเปลี่ยนได้
ด้วยความที่ ‘ขุนพล’ เติบโตมาในครอบครัวสายศิลปะ สิ่งที่คุ้นเคยตั้งแต่เด็กคือ งานวาด งานปั้น งานไม้ และงานคราฟต์ที่รายล้อมอยู่รอบตัว เส้นทางการเป็น ‘ศิลปิน’ จึงเคยเป็นความฝันที่เขามั่นใจว่าจะเดินไปให้ถึงในวันหนึ่ง
“จริงๆ ที่ผมเลือกหัวข้อเรื่องการค้นหาตัวตน ก็เพราะมาจากประสบการณ์ส่วนตัวครับ สมัยก่อนผมตั้งเป้าไว้เลยว่าอยากเป็นศิลปินมาก แต่พอโตขึ้นมาก็เริ่มพบว่ามันอาจจะไม่ใช่ทางของเราแล้ว ช่วงนั้นเลยเกิดความขัดแย้งในใจเล็กน้อย ระหว่างฝั่งศิลป์กับฝั่งวิทย์ เหมือนต้องมาตกตะกอนกับตัวเองอีกครั้งครับ”
จากเด็กที่เคยมุ่งจะไปสู่เส้นทางศิลปะ ขุนพลเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘สิ่งที่เราชอบ’ กับ ‘สิ่งที่เราอยากเป็นจริงๆ’ มันอาจไม่เหมือนกันเสมอไป
เขาเริ่มสนใจด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องร่างกายมนุษย์ และในขณะเดียวกันก็หลงใหลการเขียนโค้ดที่ได้ลองเรียนในคลาส Python โลกของเทคโนโลยีที่ดูเป็นขั้วตรงข้ามกับโลกศิลปิน กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน
ช่วงเวลานั้นเองเขาได้เรียนรู้ว่าการยอมรับว่าความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่มันคือการเติบโตอีกขั้น และคือการเปิดใจให้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง
ประกอบกับการที่เขาเรียนในโรงเรียนทางเลือกอย่าง โรงเรียนรุ่งอรุณ ซึ่งให้อิสระกับนักเรียนในการออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ของตัวเอง ขุนพลจึงมีโอกาสได้ลองสัมผัสสิ่งที่แตกต่างออกไปตั้งแต่ระดับมัธยมต้น ผ่านระบบ Studio Base ที่เปิดให้เรียนรู้ข้ามศาสตร์ ทั้งด้านสังคม คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ จนเมื่อถึงช่วงมัธยมปลาย นักเรียนแต่ละคนจะต้องเลือก ‘หน่วยสตูดิโอ’ เสมือนการเลือกคณะในมหาวิทยาลัย
“ถ้าสนใจศิลปะก็จะเลือก Creative Arts แต่ถ้าสนใจสายวิทย์ก็จะมี Mechatronic, Medical Science และ Coding ให้เลือกครับ ตอนนี้ผมเองก็กำลังเล็งๆ อยู่สองอย่าง คือระหว่าง Medical Science กับ Coding ครับ”
สภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างเช่นนี้ ทำให้ขุนพลค่อยๆ เห็นภาพตัวเองชัดขึ้นว่าความชอบกับเส้นทางชีวิตจริง อาจไม่จำเป็นต้องตรงกันทุกด้าน เขาไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างศิลป์กับวิทย์ เพราะทั้งสองสิ่งต่างก็หล่อหลอมตัวตนของเขามาด้วยกัน
“ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกอยากเปลี่ยนสาย ก็เพราะผมมองว่าความชอบกับการใช้ชีวิตอาจเป็นคนละมุมกันครับ ผมยังชอบวาดรูปเหมือนเดิม แต่ในเรื่องของการเรียน ผมอยากเลือกแนวทางที่ช่วยเปิดโอกาสให้กับการทำงานในอนาคตมากขึ้นครับ”
ศิลปะจึงไม่ได้หายไปจากชีวิตของเขาไปเลย มันเพียงเปลี่ยนบทบาทจากเป้าหมายกลายเป็น ‘พื้นที่พักใจ’ ที่ช่วยเติมความสมดุลให้ชีวิตเรียนรู้และเติบโต
“เราไม่จำเป็นต้องทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเลย เราอาจจะเอามาปรับให้เข้ากันก็ได้ ผมเก็บมันไว้เป็นเหมือน core memory หรือกิจกรรมยามว่างไว้ทำเวลาอยากผ่อนคลายครับ”

การเรียนรู้ที่หลากหลาย กลายเป็นความกล้าที่จะก้าวออกจากเซฟโซน
หากพูดถึงสิ่งที่หล่อหลอมขุนพล ให้เป็นแบบทุกวันนี้ คงไม่ใช่เพียงการเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง แต่คือการได้ลองทำทุกอย่างที่โอกาสเปิดให้ลอง
“ตั้งแต่เด็ก ผมก็ได้ลองทำอะไรหลายอย่างมากครับ ทั้งเรียนว่ายน้ำ ดำน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นสเก็ตบอร์ด แล้วยังเคยเรียนยิงธนู ยิงปืน รวมถึงเรียนต่อวงจรไฟฟ้าพื้นฐาน พวกทำแผงควบคุมต่างๆ นอกจากนี้ยังได้เรียนเขียนโค้ดภาษา Python แล้วก็มีเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐานกับ Writing ทั่วไป รวมถึงวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต ก็เก็บครบครับ”
ขุนพลเล่าว่า ตอนแรกการเรียนรู้ที่หลากหลายขนาดนั้นก็สร้างแรงกดดันไม่น้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขากลับพบว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
“พอทำไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มชิน เขามักจะบอกกันว่าถ้าผ่านช่วงสามเดือนแรกไปได้ มันจะกลายเป็นเรื่องปกติ เหมือน Routine ปกติธรรมดาของเรา ซึ่งผมว่ามันก็จริงนะครับ อย่างหลายๆ เรื่องนี่กลายเป็นสิ่งที่ผมทำได้โดยไม่รู้สึกฝืนเลยด้วยซ้ำ ซึ่งอาจจะเป็นโชคดีของผมด้วย ที่รู้สึกว่าการได้เรียนรู้อะไรเยอะๆ นั้นสนุก ท้าทายดี และไม่ถึงกับเหนื่อยเกินไปครับ”
ซึ่งสิ่งที่ผลักให้เขาออกจากเซฟโซน ไม่ใช่แรงบังคับจากใคร แต่เป็นแนวคิดเรียบง่ายจากพ่อแม่ ที่สอนให้ ‘ลอง’ ก่อนตัดสินว่าใช่หรือไม่
“ถึงจะบอกว่าผมเรียนหลายอย่าง แต่ก็ใช่ว่าจะเรียนต่อเนื่องมาทั้งหมดนะครับ เพราะแนวคิดของพ่อแม่ผมคือ อยากให้ลองทำหลายๆ อย่างดูก่อน ถ้าไม่ชอบหรือรู้สึกว่ามันไม่ใช่จริงๆ ก็สามารถเลิกได้ แต่เหตุผลที่เลิกต้องไม่ใช่เพราะ ‘ขี้เกียจ’ เท่านั้น ซึ่งผมว่ามันเป็นแนวคิดที่ดีมากเลยครับ เพราะมันทำให้ผมกล้าลองโดยไม่กลัวผิด”
และสิ่งเหล่านี้เองที่ค่อยๆ หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่เข้าใจตัวเองมากขึ้น
“มันทำให้ผมได้รู้ว่าผมชอบอะไร ไม่ชอบอะไร หรือถนัดอะไรไม่ถนัดอะไรครับ ซึ่งการที่ผมเคยลองทำอะไรหลายๆ อย่างแบบสุดทางในแต่ละด้าน มันก็ทำให้ผมรู้ว่าผมเป็นคนที่กล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ และพร้อมจะก้าวออกจากเซฟโซนของตัวเองครับ”

มองการณ์ไกลถึงวันหน้า แต่เดินช้าๆ ด้วยจังหวะของเรา
สำหรับขุนพล ‘อนาคต’ ไม่ได้มีคำตอบเดียว เขาไม่ได้ฝันถึงความยิ่งใหญ่หรือชื่อเสียงโด่งดัง แต่ฝันถึงชีวิตที่เรียบง่าย มั่นคง และได้ทำสิ่งที่รักในแบบของตัวเอง เพราะสำหรับเขา ความสุขไม่จำเป็นต้องอยู่ในจุดสูงสุดของภูเขา แต่อยู่ที่การได้ใช้ชีวิตอย่างมีสมดุล และยังคงได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมกัน
“ถ้าเป็นชีวิตในอุดมคติ ผมก็อยากมี Passive Income สักหน่อย ไม่ได้อยากรวยล้นฟ้า แต่อยากใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ไม่ต้องลำบากหรือเร่งรีบเกินไปครับ
ส่วนตอนนี้อาชีพที่อยากเป็น ถ้าไม่โปรแกรมเมอร์ก็คงเป็นหมอครับแต่ส่วนตัวใจผมค่อนไปทางหมอมากกว่า ส่วนโค้ดดิ้ง ผมก็เคยลองเรียน Python มาบ้าง รู้สึกว่าสนุกดี และก็เป็นอีกสิ่งที่ผมถนัดพอสมควรครับ”
สิ่งที่สะท้อนตัวตนของขุนพลคือความคิดที่มองว่าความฝันของตัวเองไม่ได้ตั้งอยู่บน ‘ความสำเร็จของคนอื่น’ แต่มาจากการรู้จักตัวเองมากพอที่จะเข้าใจว่า ชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องเร็วหรือยิ่งใหญ่ แค่ได้อยู่ในจังหวะที่พอดี ก็เพียงพอแล้ว
และแม้จะยังอายุน้อย แต่ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาขุนพลได้เรียนรู้ว่าการเติบโตไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว เขาลองแล้วทั้งศิลปะ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งแต่ละอย่างต่างสอนให้เขาเข้าใจว่าความสามารถของคนเรานั้นไม่ตายตัว
“มันทำให้ผมเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นครับ เหมือนไม่ได้ถูกจำกัดว่าผมถนัดแค่ด้านใดด้านหนึ่ง เพราะถ้าไม่ได้มีโอกาสลองทำหลายอย่างแบบนั้น ผมอาจจะยังไม่กล้าพอที่จะเปลี่ยนสายจากศิลป์มาวิทย์เหมือนในตอนนี้ก็ได้ครับ”
คำว่ายืดหยุ่นสำหรับเขา จึงไม่ใช่เพียงคุณสมบัติ แต่เป็นแนวทางการใช้ชีวิต และเชื่อว่าการเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ไม่ได้ทำให้ตัวตนเดิมหายไป แต่กลับเติมเต็มให้เรากลายเป็น ‘เรา’ ที่ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม
และในวันที่เขากำลังยืนอยู่บนทางแยกของการเติบโต ขุนพลก็อยากส่งต่อกำลังใจให้กับใครก็ตามที่ยังไม่กล้าก้าวออกจากกรอบเดิมของตัวเอง

“อย่าให้ใครมากำหนดชีวิตของเราได้ ต่อให้เขาจะบอกว่าเขาอาบน้ำร้อนมาก่อนก็เถอะ แต่ยังไงเสียมันก็เป็นชีวิตของเรา แต่ก็ใช่ว่าจะทำตามใจอย่างเดียว เพราะบางทีเราก็ต้องมองอนาคตด้วย ถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้สูงกว่าคนอื่น เราก็ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นเป็นธรรมดาครับ”
ดังนั้นสำหรับขุนพล ‘การค้นหาตัวตน’ ไม่ได้หมายถึงการต้องรีบหาคำตอบให้ครบ แต่คือการให้เวลา ให้โอกาส และให้ความเข้าใจกับตัวเองในทุกช่วงวัย ซึ่งเขาทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำที่ได้จากคุณพ่อ ที่กลายเป็นหลักคิดในการใช้ชีวิตของเขามาจนถึงวันนี้
“การหาตัวตนมันสำคัญนะครับ แต่ก็ใช่ว่าต้องรีบ ต่อให้เราจะอายุเท่าไหร่ จะ 30 หรือ 40 ถ้ายังไม่เจอก็ไม่ผิดเลย เพราะทุกคนมีจังหวะของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน
ผมขอยกคำของคุณพ่อที่เคยบอกผมว่า คนเรามีเวลาผลิบานไม่พร้อมกัน ต่อให้เราไม่เจอตัวตนของเราในวันนี้ วันข้างหน้าก็ใช่ว่าเราจะไม่เจอครับ”
และบางทีการรู้ว่าเรายังไม่รู้ ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักตัวเองมากที่สุดแล้วก็ได้