Skip to content
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
Transformative learning
22 September 2025

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย

ตอนที่ 7 เสนอข้อตีความจากบทที่ 5 Getting Unstuck : The Roundabout Path to Forward Progress

ข้อสรุปอย่างสั้นที่สุดคือ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ต้องรู้จักเดินทางไกล เดินทางเอาชนะเส้นทางที่ลุ่มๆ ดอนๆ อย่างรุนแรง จนในบางจุดบางช่วงเวลาต้องเดินย้อนกลับหรือเดินบนต่างเส้นทาง โดยไม่ละเป้าหมายเดิม อาจต้องมีการ ‘เติมไฟ’ ด้วยกิจกรรมอื่น เช่น งานอดิเรก อาจต้องมีการ Unlearn บางทักษะ เพื่อ Relearn ทักษะที่ต้องการใช้บรรลุเป้าหมายสูงสุดนั้น

เรื่องราวในบทนี้ทั้งบท เป็นเรื่องเล่าชีวิต ‘ตกต่ำเจ็ดที ขึ้นเป็นสตาร์เจ็ดหน’ ของนักกีฬาเบสบอลอาชีพของอเมริกา R.A. Dickey เอามาเป็นบทเรียนว่าชีวิตของการไต่ขึ้นสู่ความสำเร็จสูงสุดนั้น ไม่ใช่เส้นทางที่เป็นเส้นตรง แต่เป็นเส้นทางที่ดิ่งลงเหว และไต่ขึ้นเขาด้วย ต้องฉุดตัวขึ้นจากหล่มเป็น ตรงกับคำพังเพยไทยโบราณว่า ชีวิตคนเรา ‘ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน’

ฉุดตัวเองขึ้นจากหล่ม โดยรู้จักปะติดปะต่อคำแนะนำของคนอื่น เอามาสร้าง ‘นั่งร้าน’ (Scaffolding) ให้แก่ตนเอง ตรงตามสาระในหนังสือ เพื่อครูและนักเรียนเป็นนักพัฒนาตนเอง 

ถอยหลังเพื่อเคลื่อนไปข้างหน้า

R.A. Dickey เกิดมาเป็นดาวเด่นของกีฬาเบสบอลตั้งแต่เรียนเกรด 7 และมีความสำเร็จและชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว ตอนอายุ 22 ปี ไปเตรียมเซ็นสัญญาเข้าทีม The Ranger โค้ชคนหนึ่งสังเกตว่าแขนขวาของเขาห้อยในท่าที่ผิดปกติ จึงส่งไปเอ็กซเรย์ และพบว่าข้อศอกขวาของเขาไม่มีเอ็นเส้นหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการขว้าง มีผลให้เขาได้รับการปฏิเสธให้เข้าทีม

เขาต้องเล่นเบสบอลในทีมเล็กๆ อยู่ 7 ปี The Ranger จึงดึงเขาเข้าทีม แต่ผลงานของเขาไม่ดี แม้จะได้พยายามฝึกวิธีขว้างบอลแบบใหม่ที่หลอกล่อผู้ตีลูกฝ่ายตรงข้าม เขาถูกลดลงไปเล่นในทีมรอง เป็นความล้มเหลวครั้งที่สอง

เขาฝึกซ้อมอย่างหนักในช่วงนอกฤดูกาลแข่งขัน ปีต่อไป The Ranger ให้เขาเล่นใน Major League อีก และล้มเหลวอีกเป็นครั้งที่สาม เมื่ออายุ 31 ปี

อายุ 35 R.A. Dickey เกิดใหม่เป็นนักเบสบอลดาวเด่น ผู้ขว้างลูกแบบซิกแซ็ก ผู้ตีลูกเล็งทิศยาก ที่เรียกว่าการขว้างแบบ Knuckleball จากการฝึกฝนตนเอง สร้างนั่งร้านให้แก่ตนเอง ผ่านการได้รับคำแนะนำที่หลากหลายจากโค้ช

เล็งเป้าแล้วยิงโดยไม่กลัวผิด

แนวทางเก่าที่ไม่ได้ผลไม่สามารถพัฒนาให้นำสู่เป้าหมายที่ต้องการได้ เพื่อแสวงหาแนวทางใหม่เราต้องการเข็มทิศ หรือการชี้นำหรือชี้แนะ แต่การที่จะได้รับการชี้แนะตัวเราต้องแสดงท่าว่าต้องการ ความมุ่งมั่นของ R.A. Dickey ที่จะพัฒนาตัวเป็นนักขว้างเบสบอลชั้นเลิศ แสดงออกโดยการหมั่นฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอนับสิบปี ช่วยให้เขาได้รับคำชี้แนะ ที่ผมเชื่อว่าได้รับมากมายหลากหลาย

ผมเชื่อว่า คนที่จะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในชีวิตนั้น ต้องรู้จักเลือกคำชี้แนะด้วยความปรารถนาดี และ R.A. Dickey เลือกเชื่อคำแนะนำว่า ท่าขว้างลูกของเขานั้น คล้ายกับท่า Knuckleball เขาจึงเลือกเอามาฝึกเป็นท่าพิเศษประจำตัว ที่นอกจากฝึกเองแล้วยังติดต่อขอคำแนะนำ รวมทั้งเดินทางไปพบนักขว้าง Knuckleball จำนวนมาก เพื่อขอให้แสดงท่าให้ดูและสอนวิธีขว้าง

เขานำเอามาฝึกตัวเองให้เลิกใช้ท่าขว้างแบบที่ใช้อยู่ (Unlearn) และเรียน (ฝึก) วิธีใหม่ (Relearn) ซึ่งสุดแสนจะยากเย็น

ผู้เชี่ยวชาญสอนไม่เป็น

มีผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย นอร์ธเวสเทอร์น รวบรวมข้อมูลจากนักศึกษาน้องใหม่ปี 2001 – 2008 จำนวนกว่า 15,000 คน เปรียบเทียบผลการเรียนวิชานั้นในชั้นปีที่ 2 ระหว่างผู้ที่เรียนวิชา บทนำ ในปีที่ 1 กับศาสตราจารย์ กับผู้ที่เรียนกับอาจารย์ธรรมดา พบว่า ไม่ว่าวิชาใด นักศึกษากลุ่มที่เรียนวิชาบทนำกับอาจารย์ธรรมดา มีผลการเรียนวิชานั้นในปีที่ 2 ดีกว่านักศึกษากลุ่มที่เรียนกับศาสตราจารย์ บอกเราว่า คนที่รู้มากมักสอนไม่เก่ง ปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า ‘คำสาปของความรู้’ (Curse of Knowledge)

คนที่จะมาช่วยชี้แนะวิธีพัฒนาตนเองสู่ความเป็นเลิศจึงควรมีหลายคน อย่างที่ R.A. Dickey ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหลายคน คนหนึ่งชี้แนะที่จุดหนึ่ง อีกคนชี้แนะที่อีกจุด แล้วเลือกนำมาทดลองและปรับปรุงให้เหมาะกับตัวเรา นั่นคือ ในที่สุดแล้ว เราเขียนคู่มือฝึกให้แก่ตัวเอง

เขียนหนังสือคู่มือฝึกให้แก่ตนเอง

ในกรณีของ R.A. Dickey ไม่มีการเขียนคู่มือจริงๆ เป็นการเปรียบเทียบ ว่าคล้ายเขียนคู่มือฝึกให้แก่ตนเอง ผ่านการไปขอคำแนะนำจากนักขว้าง Knuckleball ระดับดาราหลายคน บางคนไปหลายครั้ง ไปขว้างให้ดู แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญแนะว่าควรปรับตรงไหนอีกบ้าง เขาจดจำนำมาฝึก ทดลองปรับ รวมทั้งออกแบบวิธีฝึก รวมทั้งความยาวของเล็บที่ใช้จิกลูกบอล ให้แก่ตนเอง รวมแล้วมีการฝึกขว้างลูกกว่าสามหมื่นครั้ง จึงสามารถขว้างท่า Knuckleball ได้เป็นอย่างดี

แต่การขว้างลูกท่านี้มีจุดอ่อนรุนแรง คือผู้ขว้างเองก็ไม่รู้ว่าลูกในจะแล่นไปทางไหน การเล่นโดยใช้ท่าขว้างนี้จึงต้องการความมั่นคงทางอารมณ์ที่สูงมาก

สามปีหลังการฝึกท่านี้ เขาลงเล่นด้วยการขว้างแบบนี้ และล้มเหลว นำสู่สภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (Languish) หรือหมดไฟอยู่เป็นเวลาหนึ่ง นี่คือสภาพทางอารมณ์ที่คนที่มุ่งมั่นจะพัฒนาตนเองสู่เป้าหมายยิ่งใหญ่ทุกคนต้องเผชิญ

เดินออกนอกเส้นทางเพื่อพิชิตเส้นทาง   

เรามักเข้าใจกันว่า การฝึกฝนเพื่อบรรลุทักษะชั้นเลิศนั้น ต้องพุ่งพลังทั้งหมดให้แก่เรื่องนั้น ไม่สนใจเรื่องอื่นที่จะมาแย่งพลังไปจากเรื่องนั้น นั่นคือความเข้าใจผิด

ในความเป็นจริง เราต้องเพิ่มพลังโดยการหยุดพักไปทำอย่างอื่นบ้าง การหยุดพักไปทำอย่างอื่นไม่เป็นการเสียเวลาและเสียพลัง แต่จะเป็นการเพิ่มพลัง ช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และยากยิ่งนั้น ได้ง่ายขึ้น คือช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจ (Motivation)

มีผลงานวิจัย บอกว่าการมีงานอดิเรกที่บ้าน ช่วยให้งานในที่ทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น หากงานอดิเรกนั้นเป็นคนละเรื่องหรือไม่เกี่ยวข้องกับงาน ทำให้ผมตีความว่า เป็นการประยุกต์หลักการ ‘แทรกสลับ’ (Interleaving) ในการเรียน

หลักการทางจิตวิทยาบอกว่า คนเราต้องการกำลังใจจากการได้เห็นความก้าวหน้า หากงานที่กำลังทำมีความก้าวหน้าช้าหรือยังไม่ค่อยเห็น หากเรามีงานอดิเรก หรือกิจกรรมเสริมที่มองเห็นความก้าวหน้าชัดเจน โดยที่อาจเป็นเพียงความก้าวหน้าเล็กๆ น้อยๆ ก็จะช่วยให้เรามีกำลังใจทำงานหลักได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ในกรณีของ R.A. Dickey การเดินออกนอกเส้นทางนี้ไปไกลและสูง คือไปปีนยอดเขาคิลิมันจาโร (Kilimanjaro) ที่สูงที่สุดในอัฟริกา เพื่อรวบรวมทุนการกุศล 1 แสนเหรียญ ไม่ทราบว่าความแกร่งจากการปีนเขา หรือจิตสุขที่ได้ทำบุญ เมื่อเขากลับมาลงเล่นเกมแข่งขัน ก็นำเขาสู่ผลงานที่เป็นจุดสูงสุดในชีวิต

ขอสะท้อนคิดเชื่อมโยงการมีทักษะเชิงลักษณะนิสัย (Character Skills) ของ R.A. Dickey ที่ช่วยให้เขามุ่งมั่นฟันฝ่าสู่ความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ จะเห็นว่าเขามีสามในสี่มิติของทักษะเชิงลักษณะนิสัย อันได้แก่ พฤติกรรมเชิงรุก (Proactive) มีวินัย (Disciplined) ตั้งจิตมั่น (Determined) โดยมิติที่ไม่ชัดคือ เห็นแก่ส่วนรวม (Prosocial)

ข้อเรียนรู้ต่อวงการศึกษา

Generative AI Perplexity ให้คำแนะนำว่า ข้อเรียนรู้สำหรับวงการศึกษาจากชีวิตของ R.A. Dickey ตามที่เล่าในหนังสือ Hidden Potential ได้แก่

  • มีใจกว้างต่อเส้นทางความสำเร็จในชีวิตของนักเรียน ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามความชอบหรือหลงใหลของตน
  • ฝึกนิสัยให้เป็นคนมานะพยายาม ต่อสู้ฟันฝ่า ไม่ท้อถอยเมื่อล้มเหลว
  • ส่งเสริมให้เด็กที่มีเป้าหมายการฝึกฝนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง ได้มีครูฝึก (Mentorship)
  • สอนเรื่องการปรับตัว ที่ในอนาคตอาจต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และละทิ้ง (Unlearn) บางวิธีการ อย่างที่ R.A. Dickey ทำ เพื่อหันไปเรียนรู้วิธีการใหม่ (Relearn)
  • ทำความเข้าใจต่อ ความล้มเหลว (Failure) เสียใหม่ ว่าเป็นเส้นทางที่ดีเยี่ยมต่อการเรียนรู้ ที่จะนำสู่ความสำเร็จในที่สุด คนเราต้องรู้จักเรียนรู้จากความล้มเหลว มองความล้มเหลวเป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู

สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP6 ได้ที่นี่

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

Tags:

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชความสำเร็จความล้มเหลวการฝึกฝนปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์หนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023)

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel