Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningEveryone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
Unique Teacher
15 September 2025

เปลี่ยนวิชาน่าเบื่อให้เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมาย: ครูขุนทอง คล้ายทอง ผู้พาเด็กๆ เข้าถึงหัวใจของ ‘วิทยาศาสตร์’

เรื่อง The Potential

  • “ปัจจุบันเด็กหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองเรียนหนังสือเพื่ออะไร แต่การเรียนแบบวิทยาศาสตร์จะเริ่มต้นจากสิ่งที่เราสงสัย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะช่วยให้เราหาคำตอบได้อย่างถูกต้อง และทำให้เด็กมีระบบคิดที่มีทิศทางมากยิ่งขึ้น เด็กจะได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยด้วยตัวเอง เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายและสร้างคุณค่าให้กับเด็กมากยิ่งขึ้น”
  • ครูขุนทอง คล้ายทอง แห่งโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี ทำให้นักเรียนหลายคนเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ และค้นพบความสนใจของตนเองในที่สุด
  • หัวใจสำคัญคือการเปิดโอกาสให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ คิดโจทย์คำถามและแสวงหาคำตอบด้วยตัวเอง

“ผมมีเป้าหมายอยากเป็นครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก” 

ความมุ่งมั่นของ ครูขุนทอง คล้ายทอง แห่งโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี ทำให้เขาวางบทบาทเป็น ‘โค้ช’ และ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ สำหรับหน่วยการเรียนรู้ ‘โครงงานวิทยาศาสตร์’ ที่ตนเองรับผิดชอบ จนทำให้นักเรียนหลายคนเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ และค้นพบความสนใจของตนเองในที่สุด

“วิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นวิชาที่เด็กทุกคนอยากเรียน และวิทยาศาสตร์อาจเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กหลายคน แต่ในขณะเดียวกันความเป็นวิทยาศาสตร์เองมีลักษณะหลายอย่างที่น่าสนใจ และควรค่าแก่การค้นหา 

ปัจจุบันเด็กหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองเรียนหนังสือเพื่ออะไร แต่การเรียนแบบวิทยาศาสตร์จะเริ่มต้นจากสิ่งที่เราสงสัย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะช่วยให้เราหาคำตอบได้อย่างถูกต้อง และทำให้เด็กมีระบบคิดที่มีทิศทางมากยิ่งขึ้น เด็กจะได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยด้วยตัวเอง เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายและสร้างคุณค่าให้กับเด็กมากยิ่งขึ้น”

นี่คือแนวคิดที่ครูขุนทองนำมาใช้ในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านการทำโครงงาน ที่เปิดโอกาสให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ ด้วยการค้นหาหัวข้อที่สนใจ ออกแบบการทดลองและค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง โดยมีครูเป็นเพื่อนคู่คิดและผู้อำนวยความสะดวก เพื่อเปิดประสบการณ์ให้เด็กๆ ได้ฝึกทักษะที่จำเป็น เช่น การตั้งคำถาม การคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม พร้อมๆ ไปกับการบูรณาการองค์ความรู้ต่างๆ ที่ได้เรียนมา

“ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องวิธีคิดและการใช้ชีวิต เพราะมองว่าการใช้ชีวิตคือสิ่งสำคัญมากกว่าการที่เขาได้รับรางวัลหรือว่าประสบความสำเร็จบนเวทีอะไรก็ตาม เพราะถ้าเราสอนวิธีการคิดให้กับเขาได้ ต่อไปถึงไม่มีเรา เขาจะคิดได้ด้วยตัวเขาเอง”

ครูขุนทองจบระดับปริญญาตรีจากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จากนั้นเข้าศึกษาต่อหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และเริ่มต้นเส้นทางอาชีพครูที่โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี จนถึงปัจจุบันเป็นครูมากว่า 16 ปีแล้ว 

“ผมอยากเป็นครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็ก เพราะผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า การที่เรามีแรงบันดาลใจที่ดี เราจะทำอะไรก็ได้ แม้เหนื่อยยากขนาดไหน เราก็จะพยายามทำ ดังนั้นเช่นเดียวกัน ถ้าเด็กมีแรงบันดาลใจที่ดีในการเรียนรู้ เขาจะเรียนรู้ได้อย่างมีเป้าหมาย และเดินไปยังหมุดหมายที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ”

ปัจจุบัน ครูขุนทอง เป็นหัวหน้างาน งานส่งเสริมโครงงานและนวัตกรรมนักเรียน และเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่คอยสนับสนุนโครงงานวิทยาศาสตร์ของลูกศิษย์จำนวนมาก หลายโครงงานช่วยจุดประกายเด็กๆ ให้ค้นพบศักยภาพของตนเอง หลายโครงงานนำพาพวกเขาเจอเป้าหมายในชีวิต ขณะที่อีกหลายโครงงานเป็นใบเบิกทางพาเด็กๆ ก้าวสู่การคว้ารางวัลสร้างชื่อเสียงทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ

มองว่าความท้าทายในการสอนวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์คืออะไร 

ปัญหาของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กไทย หนึ่งคือเด็กไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม บางคนเข้าใจว่าทำเพื่อไปประกวด บางคนเข้าใจว่าทำเพื่อส่งครูในห้องเรียน แต่จริงๆ ผมมองว่ามันมีความสวยงามมากกว่านั้น การเรียนแบบโครงงานวิทยาศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ โดยทั่วไปพอเราได้ปัญหา เราต้องหาว่ามีวิธีการแบบใดที่จะได้คำตอบ ทำให้เราเริ่มต้นตั้งสมมติฐานถึงคำตอบที่จะเป็นไปได้ จากนั้นเด็กจะเข้าสู่กระบวนการออกแบบการทดลองเพื่อหาคำตอบในสิ่งนั้น และเมื่อเขาใช้องค์ความรู้ในสิ่งที่ได้เรียนมา รวมถึงการสืบค้นเพิ่มเติมทั้งหมดแล้วจะทำให้เด็กได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยด้วยตัวเขาเอง

อีกปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่า คือ ครูไทยหลายคนรู้สึกว่าการทำโครงงานเป็นสิ่งที่ยาก ทำให้เขาเสียเวลา เพราะไม่มีใครที่เรียนจบด้านการทำโครงงานวิทยาศาสตร์มาโดยตรง ดังนั้นเราต้องเริ่มต้นเรียนรู้ ถ้าครูมองว่ามันคือโอกาสที่จะได้เรียนรู้ไปกับเด็กในเรื่องที่เขาสนใจ ผมมองว่ามันคือความสนุกและความท้าทาย ซึ่งอยากให้ครูรู้สึกแบบนี้เยอะๆ เพราะการทำโครงงานคือการค้นพบอะไรบางอย่าง ที่แม้ว่าบางทีจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผมว่าเด็กจะเกิดความภูมิใจในสิ่งที่เขาได้คิดค้นหรือค้นพบด้วยตนเอง 

ครูขุนทองมีแนวทางอย่างไรในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ผ่านการทำโครงงานวิทยาศาสตร์

สิ่งที่ผมทำอยู่ อันดับแรกคือพยายามหาให้ได้ก่อนว่า ‘เด็กแต่ละคนมีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างไร’ เด็กบางคนอยากมีเวทีในการแข่งขันเพื่อนำผลงานไปเป็นส่วนหนึ่งของ Portfolio แต่เด็กบางคนแค่รู้สึกว่าอยากหาคำตอบกับเรื่องอะไรง่ายๆ ซึ่งเราเปิดโอกาสให้เด็กทำในทุกรูปแบบ โดยหลักๆ ผมจะแบ่งเด็กเป็น 3 กลุ่ม หนึ่งคือ ‘กลุ่มที่มีความต้องการทำเพียงง่ายๆ แค่ให้ผ่าน’ แต่อย่างน้อยได้เรียนรู้กระบวนการ กลุ่มที่สองคือ ‘กลุ่มที่ทำหรือไม่ทำก็ได้’ และกลุ่มสุดท้ายคือ ‘กลุ่มที่อยากทำและมีความพยายามสูงมาก’ พอรู้ลักษณะเด็กแบบนี้แล้ว จะทำให้ไม่กดดันเด็กมากเกินไป 

หลังจากแบ่งกลุ่มเด็กแล้ว เราก็ใช้ความหลากหลายของเด็กมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ เช่น ผมจะให้เด็กกลุ่มที่ 3 ไปชวนเพื่อนกลุ่มที่ 2 มาทำโครงงานด้วยกัน เพราะมองว่าถ้าเกิดเราชวนเด็กกลุ่มนี้เข้ามาเรียนรู้ได้ก็จะเกิดประโยชน์กับเขามากขึ้น ส่วนเด็กกลุ่มที่ 3 ที่มีเป้าหมายชัดเจน เราก็ส่งเสริมผลักดันให้เต็มที่ เชื่อมั้ยมีเด็กบางคนเดินมาหาผมแล้วบอกว่า ‘อาจารย์ครับ ผมอยากมีโอกาสสักครั้งหนึ่งในการถือธงชาติไทยอยู่ในเวทีระดับนานาชาติ’ ซึ่งถ้าเราเจอเด็กที่มุ่งมั่นขนาดนี้ เราก็ต้องพร้อมส่งเสริมผลักดัน 

ฉะนั้นการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ไม่ใช่วิชาที่อยู่แค่ในห้องเรียนแล้ว กลายเป็นว่าเราต้องคุยกับเด็กแบบรายบุคคลหรือแบบกลุ่ม เพื่อทำความเข้าใจก่อนว่าเขาต้องการอะไร และสิ่งที่เขาต้องการอยู่ตรงไหน เพื่อที่เราเองจะได้สนับสนุนให้ตรงกับความต้องการของเด็ก ก็เลยเป็นความสนุกและความท้าทายไปด้วยกันทั้งเด็กและเรา

เด็กแต่ละกลุ่มอาจมีความสนใจในการทำหัวข้อโครงงานที่ไม่เหมือนกันทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เกษตร ครูมีวิธีจัดการอย่างไร

การที่เด็กๆ สนใจโจทย์โครงงานที่อาจจะแตกต่างหลากหลายสาขาวิชาเลย บางคนอาจจะรู้สึกว่ายาก แต่ผมรู้สึกว่านั่นคือโอกาสที่ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ พอเด็กนำเสนอหัวข้อโครงงานมา ตัวครูเองก็ต้องไปเตรียมตัว ผมเองก็ต้องไปอ่านงานวิจัยเหมือนกัน ไม่ใช่แค่บอกให้เด็กไปอ่านงานวิจัยแล้วมาเล่าให้ครูฟัง แต่เราก็ต้องมีองค์ความรู้ในเรื่องเหล่านั้นด้วย แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องระวังไม่ไปเป็นผู้นำ หรือ Leader เด็ก เพราะบางทีพอเรามีความรู้มากพอก็จะไปเป็นผู้นำเด็ก คราวนี้เด็กจะเสียโอกาสในการเรียนรู้

ดังนั้นการเป็นโค้ชที่ดีให้เด็กที่ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ต้องมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง

สิ่งที่ผมพยายามทำคือใช้วิธี ‘การตั้งคำถาม’ แล้วให้เขามาเป็น Leader ชวนเราคุย โดยผมจะออกแบบจัดเวลาให้เด็กกลุ่มละ 15 นาที ซึ่ง 5 นาทีแรก เด็กต้องมาเล่าให้ฟัง มาขายไอเดียว่าจะทำอะไร หรือออกแบบการทดลองไว้อย่างไร จากนั้น 5 นาทีต่อมา ผมจะให้ Feedback กลับไปว่า ผมเห็นอะไรจากสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ และในมุมมองของครูเป็นอย่างไร แต่เราจะไม่ตัดสินหรือบอกว่าต้องทำแบบนี้นะ ส่วน 5 นาทีสุดท้าย เขาต้องบอกว่าจากคำแนะนำที่เราให้ไป เขาคิดว่าจะนำไปวางแผนต่อยอดหรือทำอะไรต่อ รวมถึงครั้งต่อไปจะนัดคุยกันวันไหน และเป็นหัวข้อเกี่ยวกับอะไร 

สาเหตุที่ออกแบบเช่นนี้ เพราะช่วงแรกผมเจอเด็กที่เข้ามาปรึกษาแล้วบอกว่าคิดไม่ออกว่าจะพูดหรือถามอะไร แต่พอเรามีกรอบที่ชัดเจน เขาจะสามารถวางแผนได้ดี และฝึกเรื่องความรับผิดชอบด้วย เพราะว่าถ้ามาสาย ผมจะให้คิวแทรกเลย ฉะนั้นพอมีระบบแบบนี้ เด็กจะเติบโตอย่างเห็นได้ชัด มีการวางแผนงานที่เป็นระบบ การคุยกันก็จะไม่ใช่แค่ได้คำตอบในเรื่องที่เขาสงสัย แต่ทำให้เขามี Soft Skill ที่ติดตัวไปใช้ต่อในอนาคตได้ ซึ่งผมว่ามองว่าสิ่งนี้สำคัญกว่ารางวัลที่เขาจะได้ในบั้นปลายของโครงงานเขาอีก

นอกจากครูต้องไม่เป็นผู้นำ เปลี่ยนการบอกเป็นการตั้งคำถามแล้ว โค้ชที่ดีต้องมีอะไรอีกบ้าง

แต่ก่อนผมยังไม่มีสิ่งนี้ แต่ตอนนี้มีแล้ว นั่นคือ ‘ความใจเย็น’ ครูต้องใจเย็นรอฟังเด็กเล่าก่อน เพราะแต่ก่อนจะรู้สึกว่าเด็กคิดช้าจังเลย พอคิดช้าก็จะบอก พอบอกปุ๊บนั่นหมายความว่าองค์ความรู้ทั้งหมดจะอยู่ที่ครู และครูเป็นผู้นำไปแล้ว พอตอนนี้ก็จะทำตัวเองให้ช้าลงหน่อย อาจต้องมานั่งคิดว่า ถ้าเกิดเราเป็นเขาในวัยเท่านี้ เขาทำได้ดีขนาดไหนแล้ว

อย่างไรก็ดี สิ่งแรกที่ผมคิดว่าครูทุกคนควรต้องมีเลยคือ ‘ความเข้าใจเด็ก’ เพราะว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน พอเราเข้าใจกันแล้วนั่นหมายความว่า เด็กจะเริ่มรู้สึกปลอดภัย สบายใจ ไว้ใจที่จะคุยกับเราได้ 

พอมีพื้นที่ปลอดภัยเกิดขึ้น เรากับเด็กจะสนทนากันมากขึ้น พอคุยกันเรื่อยๆ ก็เกิดการแลกเปลี่ยน นั่นคือจุดที่ทำให้เด็กบอกเราได้โดยไม่กลัวความผิดพลาด 

สิ่งที่ทุกคนควรมีต่อมา คือ ‘เด็กอาจจะเข้าใจผิด’ แต่เราต้องรอคอยหรือแนะนำบางอย่าง หรือตั้งคำถามกลับไปว่า ถ้าเป็นแบบนี้ หนูคิดว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งสุดท้ายแล้วเด็กอาจค้นพบว่า สิ่งที่เขาบอกเรามาเมื่อครั้งที่แล้วมันผิด และต้องหาข้อมูลใหม่ ดังนั้นสิ่งที่ต้องบอกคุณครูรวมถึงตัวผมเอง คือ เราอาจจะไม่ใช่แค่รอคอยแต่คำตอบที่ถูกต้อง แต่เราต้องแนะแนวทางว่าแหล่งที่เขาจะไปหาองค์ความรู้ได้คือตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ต่างๆ ที่สามารถโหลดงานวิจัย บทความ หรือว่าแหล่งที่จะสามารถไปหาอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือการใช้เครื่องมือต่างๆ ได้ 

อีกสิ่งสำคัญเลย ผมมองว่าคุณครูที่ปรึกษาเองควรต้องมี ‘เครือข่าย หรือ Connection’ ทั้งระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน และกับอาจารย์มหาวิทยาลัย เพราะต้องยอมรับว่า โรงเรียนมีเครื่องมือไม่เพียงพอต่อการทำงาน ดังนั้นครูในฐานะที่ปรึกษาต้องอำนวยความสะดวกในการพาเด็กไปหาอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งเด็กๆ สมัยนี้มีโอกาสและโชคดีมาก เพราะเรามีระบบออนไลน์ ทำให้ติดต่อพูดคุยกับอาจารย์แบบออนไลน์ได้

การทำโครงงานหรือการหาคำตอบให้กับคำถามบางอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย เวลาที่เด็กเหนื่อย ท้อ หรือผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง มีวิธีการเติมกำลังใจให้เด็กๆ อย่างไร 

เด็กส่วนใหญ่ร้อยละ 80-90 เลย ที่อาจจะรู้สึกว่าทำโครงงานแล้วไปต่อไม่ไหว สิ่งหนึ่งที่ชวนทำคือ ‘ให้เขาลองแบ่งเป้าหมายให้เล็กลง’ จากเคยตั้งเป้าไว้ใหญ่ประมาณนี้ ลองแบ่งลงมาครึ่งหนึ่งก่อนไหม แล้วลองทำเป้าหมายทีละครึ่งให้สำเร็จ 

จากนั้นสิ่งที่ต้องชวนมานั่งดูต่อคือ ‘ความผิดพลาดเกิดขึ้นจากอะไร’ เช่น มาจากตัวเราเอง วันนี้ทำงานอาจจะมีสมาธิไม่มากพอ หรือเป็นปัญหาจากวิธีการหรือเครื่องมือที่ไม่เหมาะสม แต่ถ้ายังหาไม่เจอ ก็ใช้กลไกทางวิทยาศาสตร์ คือลองทำซ้ำว่ายังได้ผลเหมือนเดิมหรือเปล่า ซึ่งผลที่ได้อาจจะได้หรือไม่ได้ในแบบที่เราคิด แต่นั่นคือคำตอบ และเราต้องหาเหตุผลมาอธิบายให้ได้ว่าเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร นั่นคือการอภิปรายผล แต่ถ้ายังเกิดความสงสัยต่อก็คือโจทย์วิจัยใหม่ในขั้นต่อไป ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกว่ามันปิดจบได้นะ เพียงแต่เจอคำถามใหม่ที่ไปต่อได้ ก็จะเห็นกระบวนการที่เป็นขั้นตอน

เราพยายามบอกเด็กเสมอว่า การไม่ได้ค้นพบหรือว่าไม่ได้คำตอบตามสมมติฐาน ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือความท้าทายที่จะทำให้เราได้โจทย์คำถามใหม่ นั่นคือสิ่งที่จะเป็นกำลังใจให้กับเขา 

และที่ชอบบอกเด็กคือ สมมติว่าหนูอยากถามเรื่องวิชาเคมี แต่ครูไม่อยู่แล้วหนูจะมีวิธีการอย่างไร เด็กจะบอกว่าก็ไปหาครูเคมีคนอื่น ผมก็บอกว่านั่นแหละเหมือนกันเลย ถ้าเกิดวิธีการนี้ยังไม่ได้ผล อาจจะมีวิธีอื่นที่ทำได้ เพียงแต่เรายังหาไม่เจอ สิ่งที่ต้องทำคือหาวิธีใหม่ที่อาจจะให้คำตอบในสิ่งที่เราต้องการได้มากกว่า 

นอกจากคอยให้คำปรึกษาในเรื่องการทำโครงงานวิทยาศาสตร์แล้ว ครูยังช่วยให้คำแนะนำเด็กๆ ในเรื่องใดอีกบ้าง 

ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องวิธีคิดและการใช้ชีวิต เพราะมองว่าการใช้ชีวิตคือสิ่งสำคัญมากกว่าการที่เขาได้รับรางวัลหรือว่าประสบความสำเร็จบนเวทีอะไรก็ตาม ถ้าเกิดเราสอนวิธีการคิดให้กับเขาได้ ต่อไปถึงไม่มีเรา เขาจะคิดได้ด้วยตัวเขาเอง หลังๆ มาผมพยายามพาเด็กออกไปเจอโลกภายนอกมากยิ่งขึ้น เพราะชีวิตจริงไม่ได้มีแค่ในโรงเรียน ต้องไปดูว่าคนอื่นเขาคิดอะไรกันอยู่ ไปลองลงเวทีแข่งขัน ไปลองเจอสถานการณ์ต่างๆ  และถ้าเขาสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง เขาจะเกิดความภาคภูมิใจ แล้วก็ยังนำทักษะเหล่านั้นกลับมาต่อยอดการทำโครงงานต่อไปได้อีก  

การต้องเป็นโค้ชให้กับเด็กที่มีความแตกต่างหลากหลาย มีวิธีปรับตัวเข้าหาเด็กๆ อย่างไร 

ผมเรียกสิ่งนี้ว่า ‘พื้นที่ปลอดภัย’ แต่ก็ต้องบอกว่าพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กกลุ่มนี้อาจจะไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กกลุ่มอื่น ผมจะบอกเด็กๆ ว่า หาให้ได้สักหนึ่งคน ครูคนไหนก็ได้ที่เรารู้สึกว่าอยากคุยด้วย คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องมาปรึกษาผม แต่คุณหาใครก็ได้ที่คุณรู้สึกว่า ถ้าคุณมีปัญหาแล้วคุณอยากไปคุยกับเขา เราจะได้มุมมองบางอย่างที่ผ่านจากประสบการณ์ของอาจารย์ที่เขามี ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เขาได้เติบโตขึ้นไปอีก 

ในมุมมองผม ผมจะพยายามเป็นทุกอย่างให้กับเขา เขาอยากให้ผมเป็นอะไร ถ้าอยากให้เป็นพ่อ ผมก็จะเป็นพ่อ อยากให้ผมเป็นเพื่อนผมก็จะเป็นเพื่อน แต่ก็จะบอกเขาว่า ถ้าเกิดในวันที่เราทำโครงงาน เราก็จะเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน แต่เพื่อนในกลุ่มนี้จะมีหน้าที่ที่หลากหลาย ดังนั้นคุณทำหน้าที่ในการค้นหาคำตอบ แต่ผมทำหน้าที่ในการสนับสนุนหรืออำนวยความสะดวกให้กับคุณ แค่เรารู้บทบาทของแต่ละคนว่าเป็นยังไง เราก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ 

ดังนั้นถ้าวันนี้คุณไม่ได้คุยโครงงาน แต่คุณมองว่าผมคือพ่อคุณ คุณก็เล่นกับผมแบบพ่อได้ แต่ถ้าเกิดวันนี้คุณมองว่าผมเป็นครูของคุณ คุณก็จะต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ผมคิดหรือสิ่งที่ผมสอน ดังนั้นจะบอกเด็กๆ เสมอว่า ผมเป็นได้ทุกบทบาท ก็เลยทำให้เราอยู่กับเขาได้โดยที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้น 

ในมุมมองของครูขุนทอง ทำไมการทำโครงงานวิทยาศาสตร์จึงสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็ก และเด็กได้จะเรียนรู้ทักษะอะไรบ้าง

การทำโครงงานคือการได้องค์ความรู้แบบที่เป็นอิสระด้วยตัวเราเอง เป็นการหาคำตอบในสิ่งที่เราสนใจ สิ่งที่เราต้องทำคือหาสิ่งที่จะมาสนับสนุน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในคำตอบนั้นให้ได้  และผมจะบอกเด็กว่า เราไม่อยากลองประเมินตัวเองหรือว่า 10 กว่าปีที่เรียนหนังสือมา เราสามารถสร้างองค์ความรู้อะไรได้บ้าง ผ่านเรื่องราวที่เราสงสัย ซึ่งอาจจะเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือคอมพิวเตอร์ก็ได้ แต่สุดท้าย เราได้เรียนรู้กระบวนการเหล่านี้ไป จะทำให้เรามีทักษะติดตัวไปใช้ต่อได้ในอนาคต 

การทำโครงงาน 1 เรื่อง เด็กจะได้เรียนรู้บูรณาการในแทบทุกวิชา เด็กจะไม่สามารถเขียนงานได้ดี ถ้าไม่มีทักษะในการเขียนเรียงความในภาษาไทย องค์ความรู้ที่ได้มาจากคนอื่น คุณต้องรู้จักวิธีการเขียนอ้างอิง ดังนั้นวิชาห้องสมุดต้องเอามาใช้ การเลือกเครื่องมือต่างๆ ก็ต้องอาศัยวิชางานช่าง หรือแม้การคำนวณตัวเลข วิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ก็จะมาเกี่ยวข้องทันที แม้แต่การทำโปสเตอร์โครงงาน หรือการประชาสัมพันธ์ ก็ต้องอาศัยความรู้ด้านศิลปะ อีกทั้งรูปแบบการนำเสนอต้องออกแบบวางผังเรื่องให้น่าสนใจ รวมถึงดึงข้อมูลในมิติเชิงเศรษฐศาสตร์และสังคมมาใช้ เพื่อให้งานได้รับความสนใจมากที่สุด 

ผมมองว่าถ้าเด็ก ม.ต้น และ ม.ปลาย ได้เรียนรู้การทำโครงงานสักชิ้นหนึ่ง เท่ากับได้เรียนรู้การทำงานทั้งระบบ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้เขาก่อนศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย และพอเขาเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เขาก็จะเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนอื่น ที่สำคัญทักษะหลายอย่างทั้งการสังเกต การคิด การแก้ปัญหา หรือการสื่อสาร ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานและการใช้ชีวิต

หลังจากที่เด็กๆ ได้ทำโครงงาน พวกเขามีพัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง 

การเปลี่ยนแปลงสองอย่างแรกที่เห็นชัดเจนเลย คือ ‘การสื่อสารและบุคลิกภาพ’ แรกๆ เด็กหลายคนที่เดินเข้ามามักจะบอกว่า พูดไม่เก่ง หรือสื่อสารไม่ได้เลย แต่เราจะบอกเลยว่า การเป็นนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์ที่ดี นอกจากการค้นพบองค์ความรู้แล้ว จำเป็นต้องสื่อสารสิ่งที่เรารู้ให้คนอื่นรู้ด้วย ฉะนั้นทักษะการสื่อสารสำคัญมาก เราจะพยายามฝึกเขาตลอดว่าถ้ามีเวลา 1 นาที หนูจะสื่อสารอะไรกับครู ขณะเดียวกันบุคลิกและท่าทางการนำเสนอ ไม่ว่าจะการมอง การวางมือ ทุกอย่างต้องฝึกฝน ฉะนั้นสิ่งที่เห็นได้ชัดคือ เด็กพูดรู้เรื่องขึ้นมาก 

ถัดมาที่เห็นพัฒนาการเด่นชัดมากๆ คือเด็กจะมี ‘วิธีการตั้งคำถามและตอบคำถาม’ ที่ต่างไปจากเดิม แต่ก่อนจะมีคำถามในลักษณะที่เปิดหนังสือก็รู้แล้ว แต่พอผ่านกระบวนการทำโครงงาน เขาเริ่มมีการตั้งคำถามที่ดูยากขึ้น ดูมีกลไกที่ต้องใช้กระบวนการในการคิดหรือว่าหาคำตอบ แล้วเขาก็จะเริ่มมองหาวิธีการในการหาคำตอบว่ามีได้หลากหลาย อยู่แค่ว่าเราจะเลือกใช้วิธีไหน

เวลาเห็นเด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น หรือโครงงานที่เขาทำประสบความสำเร็จได้รับรางวัล ครูรู้สึกอย่างไรบ้าง 

เวลาเห็นเด็กได้รับรางวัล จะนึกย้อนไปวันแรกที่ได้เจอเขา เช่น น้องโชกุน หรือ นายจิรพนธ์ เส็งหนองเเบน ที่มีโอกาสคว้ารางวัลจากการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์สำหรับเยาวชนระดับโลก หรือ REGENERON ISEF (Regeneron International Science and Engineering Fair) 2 ปีซ้อน หลาย ๆ คนอาจรู้สึกว่าเขาคือเด็กที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนมากในห้องเรียน เพราะจริงๆ แล้ว เขาค้นพบว่าเขาถนัดและสนใจบางอย่าง ดังนั้นเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจในวิชาอื่น แต่สิ่งที่เรามองเห็นคือทุกครั้งที่เขามาทำการทดลองอะไรบางอย่าง เขาจะตั้งใจเป็นพิเศษ นั่นคือสิ่งที่เราค้นพบ ก็เลยคิดว่าต้องเติมคุณค่าให้เขาเข้าใจว่า นี่คือความความโดดเด่น นี่คือทักษะที่เขามี แล้วก็พยายามเสริมแรงให้เขาเข้าใจว่านี่คือตัวตนของเขา 

สิ่งต่อมา เราจะพยายามบอกเด็กๆ ว่า คนเราไม่สามารถเก่งได้ทุกอย่าง แต่เราควรต้องรู้ว่าเราเก่งอะไรสักหนึ่งอย่าง จากเด็กที่เขาอาจจะไม่ได้มีเป้าหมายอะไรมาก พอเขาทำไปเรื่อยๆ เขาค่อยๆ ได้คำตอบ แล้วเราก็ชวนเขามาทำในสิ่งที่เขาถนัด เช่น ในการทดลองบางอย่างเขาไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยการไปลงพื้นที่หรืออะไรก็ตาม แต่เขาบอกว่า ถ้าผมใช้เกมมาสร้าง แล้วจำลองให้อาจารย์ดูก่อนแบบนี้ได้ไหม เราก็ให้เขาลองทำในสิ่งที่เขาถนัด พอทำได้จริง เราก็แค่ชื่นชมเขา แล้วก็มองให้เห็นว่า จริงๆ แล้วดีมากเลยนะ การนำสิ่งที่ตัวเองถนัดมาเป็นหนึ่งในการทดลอง พอเราพัฒนาตรงนั้นไปได้ จนเขาไปได้รางวัล จะทำให้เขาเห็นว่า 

จริงๆ แล้วเด็กทุกคนมีคุณค่าในตัวของเขาเอง เพียงแต่ในฐานะครูต้องหาให้ได้ว่าเขาถนัดอะไร แล้วก็ไม่พยายามยัดเยียดในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น แต่ต้องพยายามหาในสิ่งที่เขาอยากเป็น แล้วก็ช่วยให้เขาค้นพบตรงนั้น 

กว่า 16 ปี ในเส้นทางสายอาชีพครู อะไรคือสิ่งที่เป็นความภูมิใจมากที่สุด

โดยส่วนตัวมีความภูมิใจหลายอย่าง ผมเป็นคนชอบตั้งเป้าหมายในชีวิต สิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่าภูมิใจคือเราทำในสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ได้สำเร็จในแบบที่เรายังพอทำไหว เรายังอายุไม่มาก ยังคงยิ้มและมีความสุขสนุกไปกับเด็กได้ แต่สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุดคือในวันที่เด็กๆ เขาเติบโตไปแล้ว เขายังนึกถึงเราหรือว่าเขายังคงมาหาเราอยู่ แล้วถ้าเรายังเห็นว่าเขาเดินต่อไปในเส้นทางที่เขาสนใจอยู่ ก็คงรู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เด็กๆ ได้ค้นพบตัวเอง และดีใจที่ได้เป็นเบื้องหลังเล็กๆ ในการทำให้เขาได้ไปต่อในเส้นทางของเขา ได้ช่วยให้เขารู้ว่าเป้าหมายในชีวิตของเขาคืออะไร 

การที่ต้องรับบทบาทเป็นทั้งครูและโค้ชให้กับเด็กๆ อะไรคือแรงใจที่ทำให้ไม่ย่อท้อและยังคงมุ่งมั่นในเส้นทางนี้  

การทำโครงงานสำหรับผมเองคือความสนุก เป็นการเรียนรู้ที่จะเติบโต เรียนรู้ไปกับสิ่งที่เด็กสงสัย แล้วผมชอบทุกครั้งที่พอเราไปถึงปลายทาง เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของทั้งตัวเด็กและตัวเราด้วย ว่าเราก็เติบโตจากเรื่องที่เขาสนใจ 

หลังๆ มา สิ่งที่เป็นกำลังใจและทำให้เรารู้สึกว่าประสบความสำเร็จคือ หลังจากที่เด็กทำโครงงาน 1 เรื่อง แล้วเขาอยากทำโครงงานต่อ สิ่งนี้คือความสำเร็จที่มากเกินกว่ารางวัลที่ได้รับเสียอีก เพราะว่ากระบวนการในการค้นหาคำตอบ หรือว่าความเป็นคนที่อยากรู้เพื่อแก้ปัญหาอะไรบางอย่างได้เข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณของเขาแล้ว ก็เป็นสิ่งดีๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าการทำโครงงานสนุก และอยากเป็นโค้ชต่อไปเรื่อยๆ อีกทั้งการได้เห็นเด็กๆ เติบโตไปในแต่ละขั้น และสามารถใช้สิ่งเหล่านั้นไปสร้างประโยชน์ให้กับตัวเขาเองทั้งในด้านการเรียนรู้ หรือการใช้ชีวิต ก็ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของการตัดสินใจมาเป็นครู 

ผมมักจะมองย้อนกลับไปในวันแรกที่ตัดสินใจมาเป็นครูว่าวันนั้นเราต้องการอะไร และวันนี้เราทำได้ขนาดนั้นแล้วหรือยัง ซึ่งการตัดสินใจเป็นครูของผม ผมมีเป้าหมายอยากเป็นครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ดังนั้นในทุกๆ เช้าที่ตื่นนอน ผมจะบอกตัวเองว่า ผมอยากสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กสัก 1 คน ผมมีเป้าหมายเล็กๆ แบบนี้ และทุกๆ วัน ผมก็จะตามหาว่าวันนี้ใครได้เรียนรู้หรือเติบโตจากการได้เจอหน้าเราหรือยัง 

ถ้าเด็กมีแรงบันดาลใจที่ดีในการเรียนรู้ และเขาสามารถเรียนรู้อย่างมีเป้าหมาย สำหรับผมเพียงพอแล้ว ความเหนื่อยจะหายไป แต่ก็ยังมีแรงบันดาลใจที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆ พบนักเรียนคนใหม่ พบองค์ความรู้ใหม่กับนักเรียนกลุ่มใหม่ มันก็เลยทำให้เราสนุกและไม่เหนื่อยกับเส้นทางนี้ 

ทุกวันนี้เทคโนโลยีมาเร็วมากและรูปแบบการเรียนการสอนปรับเปลี่ยนไปค่อนข้างไว มีคำแนะนำอะไรให้แก่คุณครูที่อาจจะยังปรับตัวไม่ทันหรือยังไม่พร้อมรับกับเทคโนโลยีใหม่ๆ

ผมว่าอย่างแรกเลยที่คุณครูต้องทำคือ ครูต้องเปิดใจก่อนว่าโลกในอดีตกับโลกปัจจุบันไม่เหมือนกัน เราอาจต้องลองดูในสิ่งที่เราไม่เคยทำก่อน ถ้าเกิดเราไปบอกให้เด็กลองทำสิ่งต่างๆ โดยที่ตัวเองครูเองยังไม่เคยลองทำ ก็อาจจะพูดได้ไม่เต็มปาก ยกตัวอย่างเช่น Chat GPT ครูหลายคนหรือหลายโรงเรียนจะห้ามว่าเด็กไม่ควรใช้ แต่สำหรับผมมองว่าเราไม่ควรห้าม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือ จะสอนเด็กอย่างไรให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องและเข้าใจ 

เคยมีครูจากโรงเรียนอื่นทักมาหาว่าพี่ทำยังไงดี เด็กใช้ Chat GPT ทำงานส่งมา ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ผิดนะ แต่ถ้าเป็นผม ก็จะถามเด็กว่า เขาเขียน Prompt อย่างไรเพื่อให้ได้คำตอบนี้มา คำตอบไม่ใช่สิ่งสำคัญแล้ว กระบวนการก่อนที่จะได้คำตอบสำคัญกว่า คือเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีไปไกล และการเรียนวิทยาศาสตร์ต้องใช้เทคโนโลยี เราจึงต้องอยู่กับมันให้ได้ ดังนั้นเราต้องสอนให้เขาใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้อง และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่อยู่รอบๆ ตัวให้ได้มากที่สุด โดยที่ไม่ทำร้ายคนอื่นหรือสิ่งแวดล้อมใดๆ และเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้เทคโนโลยีได้อย่างดี มันจะทำให้เขาเริ่มนำคนอื่น และสิ่งที่เราต้องสอนต่อไปคือ อย่าลืมกลับมาช่วยเหลือคนอื่นที่ยังใช้ไม่ได้ หรือไม่เข้าใจเทคโนโลยีเหล่านั้น 

ดังนั้นอยากให้คุณครูทุกคนลองกล้าที่จะทำอะไรบางอย่างที่นอกเหนือไปจาก Comfort zone ที่ตัวเองเคยอยู่ แล้วลองไปเรียนรู้สิ่งนั้น ผมมองว่าทุกครั้งที่ครูขยับตัวออกไปจะมีเด็กอีก 40-50 คน หรือ 100 คน ได้ประโยชน์จากการขยับตัวของครู อยากชวนครูมาลองทำดู และเป็นกำลังใจให้ครูทุกคนที่กำลังเผชิญปัญหาหรืออะไรก็ตามที่กำลังเจออยู่ในแบบที่แตกต่างกัน แต่เพียงแค่เรามองมาที่เด็ก แล้วรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของเราบางอย่างจะช่วยให้เด็กๆ เติบโตได้ ผมว่าแค่นั้นจะทำให้คุณครูมีความสุข แล้วก็สามารถขยับไปข้างหน้าได้ 

ผมเชื่อว่าครูไทย 70-80% มีความพยายามและทุ่มเทให้แก่นักเรียนอย่างมาก  แต่หลายคนก็อาจจะมีบทบาทหรือมุมมองวิธีคิดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าเกิดคุณครูทำอย่างเต็มที่ในแบบที่คุณครูทำได้ก็จะเกิดประโยชน์กับเด็กในทุกๆ มิติได้เหมือนกัน

สุดท้ายอยากฝากอะไรไปถึงคุณครู นักเรียน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของเด็กไทยในปัจจุบัน 

ผมว่าทุกภาคส่วนรู้อยู่ว่าปัญหาของประเทศไทยคืออะไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความพยายามมากน้อยแค่ไหนในการแก้ปัญหาเหล่านั้น หากฝากไปถึงครู ในส่วนที่ครูมีบทบาทจะทำได้ นั่นคือ การรับผิดชอบในหน้าที่สอนของเรา รวมถึงรับผิดชอบต่อเด็กที่อยู่รอบตัวเราให้ดีมากที่สุด ผมอยากให้คุณครูทุกคนมีแรงบันดาลใจในการเป็นครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กได้ 

ส่วนสำคัญคือทำอย่างไรให้เขาได้ค้นพบตัวเองและสามารถขับเคลื่อนการเรียนรู้ของเขาได้ เมื่อเด็กรู้ว่าต้องการอะไร เขาจะสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีความหมายและเข้าใจในสิ่งนั้นได้อย่างดีที่สุด

สิ่งที่อยากฝากถึงเด็กๆ คือ อยากให้ลองคิดว่าในการเรียนรู้แต่ละวันช่วยให้เราเติบได้อย่างไรบ้าง และถ้าเกิดเราต้องการสร้างอะไรสักอย่างหนึ่ง องค์ความรู้ที่มีนั้นมากพอแล้วหรือยัง และจะมีวิธีการเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นเพิ่มเติมได้อย่างไร โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอให้ครูสอน ลองสนุกไปกับมัน ลองผิดลองถูก ช่วงเวลามัธยมเป็นช่วงเวลาที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้สนุกที่สุดแล้ว ดังนั้นอยากให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานอื่นๆ หรืออะไรก็ได้ที่สนใจ 

สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเยาวชน อยากจะบอกว่าทุกวันนี้โอกาสจะว่ามีเยอะก็เยอะ แต่ก็อาจจะยังไม่เพียงต่อความต้องการของเด็กจริงๆ  หรือบางครั้งโอกาสในมุมมองของผู้ใหญ่กับเด็กก็ไม่เหมือนกัน การที่เราจะให้โอกาสเด็ก เราอาจต้องพยายามมองก่อนว่า เด็กที่เขากำลังทำสิ่งนี้อยู่ เขาต้องการอะไร และลองเข้าไปเรียนรู้ในความต้องการของเขา แล้วจากนั้นเราค่อยทำหน้าที่เป็นผู้หยิบยื่นโอกาสในบริบทที่เราช่วยเขาได้ 

ทุกวันนี้ผมมองว่าประเทศไทยมีเวทีการแข่งขันหลายเวทีที่ช่วยสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาสแสดงศักยภาพอยู่มาก แต่อาจจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเด็กทั้งหมด หรือว่าอาจจะได้เฉพาะแค่เด็กบางกลุ่มเท่านั้น 

Tags:

โค้ชโครงงานวิทยาศาสตร์โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยวิชาวิทยาศาสตร์ครูขุนทอง คล้ายทองพื้นที่ปลอดภัย

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    ‘เรียนวิทย์ให้เวิร์ก’ กับโครงงานที่เด็กออกแบบเอง: กะทิ – เจได เจ้าของเหรียญทองแดง GENIUS Olympiad 2025

    เรื่อง The Potential

  • Pakorn_1
    Everyone can be an EducatorSocial Issues
    “เราก็แค่ส่องไฟให้เขาเลือกเส้นทางเอง” ปกรณ์ นาวาจะ นักออกแบบการเรียนรู้ผู้ขอเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้เด็กนอกระบบ

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • School of future-building-2
    Transformative learning
    โรงเรียนต้องเป็น ‘โรงสร้าง’ ไม่ใช่ ‘โรงสอน’ สร้างนิเวศการเรียนรู้ หนุนเด็กปล่อยพลัง สร้างสมรรถนะใส่ตัว

    เรื่อง The Potential

  • How to enjoy life
    เรียนหนัก อกหัก ทะเลาะกับพ่อแม่… ทุกเรื่องที่น้องอยากระบาย ‘สายเด็ก’ (Childline Thailand) ยินดีรับฟัง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    “ความคาดหวังของพ่อแม่อาจรังแกลูก” ชวนพ่อแม่ปรับมายเซ็ตในความสัมพันธ์ สร้างพื้นที่ปลอดภัยในบ้าน กับ ‘พ่อโต้ง’ สุระ จารุศศิธร เพจดีต่อลูก

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel