- Things No One Taught Us About Love เรื่องที่ไม่มีใครสอนเราเกี่ยวกับความรัก เขียนโดย เว็กซ์ คิงส์ (Vex King) นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดีย แปลไทยโดย กิษรา รัตนาภิรัต คุโด สำนักพิมพ์อมรินทร์ How to
- ในบทที่ว่าด้วย เราทุกคนต่างก็มีนิสัย ‘ที่เป็นภัย’ คิงกล่าวว่า มนุษย์คนทุกคนต่างมี ‘ธงแดง’ หรือนิสัยที่เป็นภัยไม่มากก็น้อย ซึ่งนิสัยดังกล่าวถือเป็นกลไกของเราในการป้องกันตัวจากแผลใจในอดีต
- คำแนะนำคือ การฝึกรู้เท่าทันตัวเอง ซึ่งตามความเข้าใจของผมคือการมี ‘สติ’ ทบทวนไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นแทนที่จะตอบโต้สิ่งนั้นด้วยสัญชาตญาณซึ่งอาจทำร้ายคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ
มีคำกล่าวว่า แม้มนุษย์จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในทางกายภาพ แต่เมื่อเผชิญกับบาดแผลในอดีตที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา จิตใจของเราก็จะกลับไปเป็น ‘เด็ก’ อีกครั้ง
ผมเองก็เช่นกัน ชายวัยกลางคนที่มีบาดแผลทางใจเต็มไปหมด บางแผลอาจกลายเป็นรอยแผลเป็น แต่บางแผลยังเจ็บทุกครั้งที่ถูกสะกิด โดยเฉพาะร่องรอยของบาดแผลจากการเลี้ยงดูในวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและเงื่อนไขของการเป็น ‘เด็กดี’ ตามนิยามที่พ่อแม่กำหนด ซึ่งไม่ใช่ความดีแบบที่คุณครูในห้องเรียนพูดถึง และไม่ใช่แบบที่ผมเข้าใจเอง แต่เป็นความดีที่ถูกตีกรอบไว้อย่างเคร่งครัด และมักมีบทลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับการไม่เชื่อฟัง
กระทั่งเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัย ผมพบว่าตัวเองกลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่ได้ยินเสียงความต้องการของตัวเอง และยังคงชีวิตเพื่อเอาอกเอาใจคนอื่น เพราะลึกๆ ผมกลัวจะถูกมองว่าไม่ดีพอ
ที่น่าเจ็บปวดคือในความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองเริ่มกลายเป็นคนร้ายกาจตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกที ผมก็สร้างความเจ็บปวดให้กับคนที่ผมรักผ่านคำพูดหรือการกระทำของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะเมื่อใครสักคนเริ่มจะสนิทสนมและใกล้ชิดผมมากขึ้น ผมเองกลับเป็นฝ่ายถอยหนี แถมยังปาก้อนหินใส่พวกเขาเสียอย่างนั้น ทั้งที่ลึกๆ ผมไม่เคยอยากเป็นคนที่ดู Toxic เป็นแบบนั้นเลย
ไม่นานนี้ ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง ‘Things No One Taught Us About Love’ ของ เว็กซ์ คิงส์ ตอนหนึ่งเขาได้พูดถึงแนวคิดเกี่ยวกับนิสัยที่เป็นภัย (Red-Flag) พร้อมอธิบายว่า มนุษย์คนทุกคนต่างมี ‘ธงแดง’ หรือนิสัยที่เป็นภัยไม่มากก็น้อย ซึ่งนิสัยดังกล่าวถือเป็นกลไกของเราในการป้องกันตัวจากแผลใจในอดีต
“ทุกคนมีนิสัยแย่เป็นบางอย่าง เพราะพวกเราทุกคนเคยถูกทำให้เจ็บมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอให้สังเกตคนที่พร้อมจะเรียนรู้และเติบโตกับคนที่ยินดีต่อการโทษคนอื่น บางคนมีความรับผิดชอบและพร้อมจะรับผิด ในขณะที่คนอื่นเชื่อว่าตัวเองเป็นอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
เมื่อเราตระหนักว่าพฤติกรรมที่ไม่ดีอาจเกิดจากบาดแผลที่ไม่ได้รับการเยียวยา คิงส์ได้แนะนำให้เราฝึกรู้เท่าทันตัวเอง ซึ่งตามความเข้าใจของผมคือการมีสติ เพราะสติจะเป็นเหมือน ‘เบรกทางความคิด’ ไว้ให้เราได้มีช่วงเวลาสั้นๆ สำหรับการทบทวนไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นแทนที่จะตอบโต้สิ่งนั้นด้วยสัญชาตญาณซึ่งอาจทำร้ายคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ
“การรู้ตัวว่ามีนิสัยเหล่านั้นก็ทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้น และเปิดโอกาสให้เราใส่ใจและเยียวยาความเชื่อและพฤติกรรมที่ไม่ดี
รู้ตัวที่ว่านี้หมายถึงการทราบดีถึงปฏิกิริยาอัตโนมัติที่มีรากมาจากบาดแผลเก่า แม้สัญชาตญาณจะเกิดก่อนที่เราคิด แต่การรู้ตัวทำให้มีช่องว่างมาคั่นระหว่างแรงกระตุ้นและการตอบโต้ ช่องว่างนี้ทำให้เราสามารถเลือกได้ และเราก็ไม่ต้องใช้วิธีปกป้องตัวเองลูกเดียวอย่างที่ผ่านมา”
เมื่อมีสติรู้ตัวแล้ว สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการใจดีกับตัวเองก่อนจะไปใจดีกับคนอื่น ผมชอบที่คิงส์ยกตัวอย่างเรื่องความรักว่า ถ้าใครสักคนรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความรักดีๆ เขาก็มักปฏิเสธมันด้วยวิธีต่างๆ อย่างไม่รู้ตัว ดังนั้นวิธีที่จะแก้ไขคือการเยียวยาตัวเองผ่านความเข้าใจและไม่ทอดทิ้งตัวเอง
“ไม่ว่าจะมีนิสัยที่เป็นภัยหรือไม่ก็ตาม เราทุกคนต่างก็เป็นที่รักได้ อีกทั้งควรจะได้รับความเห็นใจและเข้าใจด้วย
ไม่มีความจำเป็นที่จะตัดสินคนอื่นเลย ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวและรู้จักตัวเองมากน้อยแค่ไหนก็ตาม เราไม่อาจโน้มน้าวกันและกันให้เห็นความสำคัญของการเติบโตได้ เราได้แต่รักคนอื่นเพื่อให้เขาเห็นว่าเขาเองก็สมควรได้รับสันติสุขและพลังที่มาคู่กัน
เมื่อเรามีความอดทน ความรัก และความเข้าอกเข้าใจ เราจะเข้าใจว่าทำไมเราถึงเป็นอย่างที่เราเป็น สุดท้ายแล้วเราก็รู้ว่าตัวเองดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่าการเผื่อแผ่ความอ่อนโยนในปริมาณเดียวกันนี้ไปสู่ผู้อื่นทำได้ยากกว่า เรื่องนิสัยที่เป็นภัยช่วยเตือนคุณได้ว่าคนอื่นก็เป็นคน พวกเขาเองก็มีศักยภาพอย่างเหลือล้นที่จะไม่สมบูรณ์แบบ”
ในช่วงท้าย คิงส์ได้แนะนำแบบฝึกหัดสั้นๆ สำหรับคนที่อยากเริ่มต้นเยียวยาตัวเอง ผ่านการเขียนบันทึกเพื่อสะท้อนคิด ผ่านคำถาม 3 ข้อสำคัญ
“ขอให้คุณเขียนบันทึกหรือพิจารณาว่า คุณจะสร้างความเชื่อใหม่ในเรื่องของนิสัยที่เป็นภัยได้อย่างไร โดยใช้สิ่งกระตุ้นเตือนดังต่อไปนี้
- นึกถึงใครบางคนในชีวิตคุณซึ่งอาจมีนิสัยที่เป็นภัย คุณสามารถยินดีรับฟังและเข้าใจความยากลำบากของเขาได้หรือไม่ โดยไม่รีบด่วนสรุป
- พิจารณามุมมองที่ว่า “ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเขาเจตนาดี” เวลาคุณเห็นนิสัยที่เป็นภัยของคนอื่น ถ้าคุณยอมรับว่าทุกคนเพียงแค่พยายามทำดีที่สุดแล้วเท่าที่เขาทำได้ คุณจะมีปฏิสัมพันธ์กับเขาอย่างมีเมตตากว่าเดิมไหม
- พิจารณามุมมองที่ว่าทุกคนเป็นคนนำการเดินทางของตัวเอง ซึ่งมีทั้งความผิดพลาดและแผลเป็น คุณจะยอมรับความ คุณจะยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบในตัวคนอื่นด้วยใจที่เปิดกว้างได้อย่างไร”
หลังอ่านหัวข้อดังกล่าวจบ แม้ว่าแผลใจของผมจะยังไม่ได้รับการสมาน และยังเจ็บทุกครั้งที่ถูกกระทบ แต่อย่างน้อยผมก็เริ่มใจดีและเห็นอกเห็นใจตัวเองมากขึ้น โทษคนอื่นน้อยลง และยอมเปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้ซ่อมแซมความสัมพันธ์แทนที่จะเลือกถอยหนีหรือปิดประตูใจแบบที่เคยเป็น เหมือนกับที่คิงส์เคยกล่าวเมื่อครั้งมาเมืองไทย
“ถ้าคุณเยียวยาและรักตัวเองอย่างแท้จริง คุณก็สามารถสร้างชีวิตที่คุณรักได้อย่างแท้จริงเช่นกัน”