- No hard feelings เป็นภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ ที่บอกเล่าเรื่องราวของ ‘แมดดี้’ บาร์เทนเดอร์สาวที่บังเอิญมีความจำเป็นจะต้องรับงานเดทกับ ‘เพอร์ซี’ เด็กหนุ่มวัยรุ่นลูกชายคนเดียวของครอบครัวคนรวย
- เพอร์ซีมีปัญหากับการเข้าสังคม พ่อแม่จึงเป็นห่วงเขามากและต้องการให้ลูกมีประสบการณ์ชีวิต เลยหวังว่าการจ้างแมดดี้จะช่วยแก้ปัญหาได้
- สิ่งที่พ่อแม่จะช่วยได้ ไม่ใช่การทำเพื่อลูกโดยไม่ถามความเห็นใดๆ แต่ คือการช่วยเป็นกำลังใจในวันที่ลูกล้ม ไม่ต้องซ้ำเติม ช่วยดีใจกับลูกในวันที่เขาทำสำเร็ก็เพียงพอ
No hard feelings เป็นเรื่องราวของ ‘แมดดี้’ บาร์เทนเดอร์สาวรายได้น้อยอายุ 30 ต้นๆ ที่บังเอิญมีความจำเป็นจะต้องรับงานเดทกับ ‘เพอร์ซี’ เด็กหนุ่มวัยรุ่นลูกชายคนเดียวของครอบครัวคนรวยเพื่อแลกกับการจะได้มีรถขับ
พ่อแม่ของเพอร์ซีเห็นว่าเพอร์ซีค่อนข้างเก็บตัว มีปัญหากับการเข้าสังคม ไม่มีเพื่อน ไม่คุยกับสาวๆ ไม่ดื่ม ไม่ขับรถ พวกเขาเป็นห่วงว่าลูกจะเอาตัวไม่รอดเพราะปีหน้าลูกจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเลยอยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้มีประสบการณ์ชีวิต มีความมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ ซึ่งเดทในที่นี้รวมไปถึงการมีเซ็กส์ด้วย โดยพ่อแม่ของเพอร์ซีบอกกับแมดดี้ว่าพวกเขาลองทำทุกวิถีทางที่จะเอาลูกชายออกมาจากกระดอง แต่มันก็ไม่ช่วยเลย พวกเขาอับจนหนทางแล้วจริงๆ ถึงมาเลือกใช้วิธีนี้
โดยตัวพ่อก็ยืนยันจากประสบการณ์ของตัวเองด้วยว่าตอนเป็นเด็กเขาเคยขี้อายแบบเดียวกับเพอร์ซี แต่เขาได้เจอสาวคนนึงที่ช่วยเปิดประสบการณ์ทางเพศให้เขาในช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย แล้วนั่นทำให้เขากล้าออกสู่โลกกว้าง มีความมั่นใจและประสบความสำเร็จในชีวิตเลยหวังว่าการจ้างแมดดี้เข้ามาจะช่วยเพอร์ซีได้เหมือนอย่างที่ตัวพ่อเคยผ่านมา
แต่ปัญหาก็คือเพอร์ซีไม่รู้เลยว่าแมดดี้เข้ามาจีบเพราะต้องการรถ ไม่ได้ต้องการเขา เรื่องราวปวดหัว บ้าๆ บอๆ ก็เลยเกิดขึ้นมากมาย
ซึ่งสุดท้ายแล้วความลับก็แตก ตอนจบความสัมพันธ์ของแมดดี้และเพอร์ซีจะเป็นยังไงก็อยากให้ลองได้ไปดูเอง ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ได้มีพล็อตที่แปลกใหม่อะไรมาก แต่ความตลกร้าย บ้าบอ ผสมความอบอุ่นใจทำให้หนังเรื่องนี้กลายมาเป็นหนังที่ดูเพลินและคุ้มค่าที่จะลองนั่งดูแน่นอน
ซึ่งช่วงที่เราอยากนำมาพูดถึงก็คือช่วงที่เพอร์ซีพูดกับพ่อแม่หลังจากความลับแตกนี่แหละ แน่นอนว่าเขาโกรธที่ทุกคนรวมหัวกันหลอกเขา แม้สารตั้งต้นจะเกิดจากความหวังดีแค่ไหนก็ตาม เขาถามพ่อแม่ว่ามีอะไรอีกมั้ยที่พ่อแม่ทำแล้วเขาไม่รู้
เราคิดว่านอกจากความลับจะแตกแล้ว ความเชื่อใจที่เขามีให้พ่อแม่ก็แตกสลายไปพร้อมกัน ก่อนหน้านี้เขาไว้ใจพ่อแม่ให้รู้รหัสผ่านโทรศัพท์ของเขา แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจเปลี่ยนใหม่หมด
เพอร์ซีพูดปิดท้ายว่า “เขารู้ว่าพ่อแม่พยายามจะช่วย แต่มันไม่ใช่เลย พ่อแม่ต้องยอมให้เขาล้มเหลวหรือสำเร็จได้ด้วยตัวเอง”
เราคิดว่าสิ่งที่เพอร์ซีพูดน่าจะแทนใจมนุษย์ลูกหลายๆ คนได้เลย พ่อแม่บางคนมักจะกลัวว่าลูกจะทำไม่ได้บ้าง จะอยู่ไม่รอดนู่นนี่บ้าง พวกเขามัดรวมความกลัวและความเป็นห่วงของพวกเขามาใส่บ่าให้ลูกแบก บางครั้งแทนที่ลูกจะมั่นใจในตัวเองกลับกลายเป็นคนขี้กลัว ขี้กังวล ไม่กล้าลงมือทำอะไรจริงจัง เพราะกลัวจะล้มเหลว เพราะกลัวพ่อแม่จะรับไม่ได้ ทั้งๆ ที่ความผิดพลาดคือเรื่องธรรมชาติ ถ้าเราไม่เคยผิดพลาด เราก็ไม่ได้เรียนรู้ว่าจะทำสำเร็จได้ยังไง
แล้วไหนจะเรื่องการไม่มีขอบเขตต่อกัน พ่อแม่ของเพอร์ซีสามารถเข้าไปดูประวัติการใช้อินเตอร์เน็ต หรือติดตามเพอร์ซีตลอดเวลาทั้งที่เขาเป็นวัยรุ่นอายุ 18-19 แล้ว แถมยังมาตัดสินใจหาสาวให้เขาโดยที่ไม่ถามความเห็นอีกตังหาก ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าพ่อแม่ล้ำเส้นจนเกินไปและดูไม่ไว้ใจให้เพอร์ซีได้ใช้ชีวิตในแบบที่เขาเป็นเลย
พูดจากประสบการณ์ตัวเองที่เป็นลูกคนเดียวแบบเพอร์ซี มีแม่คอยเป็นห่วง ความกังวลทั้งหลายมันลงมาที่เราเต็มๆ ไม่มีการกระจายความกังวลให้กับพี่น้องคนอื่น หลายครั้งแม่จะพูดเตือนเราด้วยความเป็นห่วง แต่สิ่งที่แม่พูด มันไม่ใช่การพูดตรงๆ ว่า “แม่เป็นห่วงลูกนะ” แต่คำพูดเหล่านั้นมันหล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนขี้กลัว
อย่างเช่น การกลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้คิดแบบที่เขาพูดบ้าง ต้องคอยมานั่งแปลหลายๆ ชั้น เพราะแม่บอกเราว่าที่เขาพูดดีๆ กับเรา ลึกๆ เขาอาจจะคิดอีกแบบ เรารู้นะว่ามันมีคนแบบนั้นอยู่จริงไม่ใช่แค่ในละครไทย แต่ในวงสังคมของเรา เราแค่เชื่อในตัวพวกเขา
ทุกวันนี้เราเริ่มมองออกว่านั่นคือความกลัวของแม่ ไม่ใช่ของเรา เราจะไม่ยินยอมรับความกลัวนั้นมาเป็นของตัวเองอีกแล้ว
บอกตามตรงว่าสิ่งที่พ่อแม่จะช่วยได้ ไม่ใช่การทำเพื่อลูกโดยไม่ถามความเห็นใดๆ แต่ คือการช่วยเป็นกำลังใจในวันที่ลูกล้ม ไม่ต้องซ้ำเติม ช่วยดีใจกับลูกในวันที่เขาทำสำเร็จ แค่นั้นก็พอ
แม้พ่อแม่จะมีเจตนาที่ดีแค่ไหน แต่ในวันนี้ลูกอยากบอกว่าขอบคุณพ่อแม่ที่เป็นห่วงแต่ลูกจะเรียนรู้และผ่านมันไปได้แน่นอน