- ซีรีส์ Young Sheldon เล่าเรื่องราววัยเด็กของเชลดอน (Sheldon) คาแรคเตอร์หลักที่จี๊ดจ๊าดที่สุดในซีรีส์คอมเมดี ‘The Big bang Theory’ นักฟิสิกส์ผู้มีความอัจฉริยะด้านไอคิวสูง ที่นอกจากความฉลาดก็คือความซื่อตรงจริงใจที่บางครั้งก็เป็นทั้งด้านดี และทำให้คนรอบข้างรู้สึกเจ็บหัวไปตามๆ กัน
- แม่ของเชลดอนเป็นคนเคร่งศาสนา ในขณะที่เชลดอนไม่เชื่อในพระเจ้า ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เขาเชื่อในตัวแม่ของเขา
- เชลดอนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดและความเชื่อที่ต่างออกไปได้โดยไม่มีผู้ใหญ่หรือฝ่ายไหนก็ตามตัดสินว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเชื่อนั้น ‘โง่’ หรือ ‘แย่’ กว่า
ถ้าใครเป็นแฟนคลับซีรีส์ The Big bang Theory จะต้องแอบกรี๊ดเบาๆ แบบเราแน่นอนเมื่อรู้ว่าซีรีส์ Young Sheldon ได้เข้ามาสตรีมมิ่งใน Netflix แล้ว!
เชลดอน (Sheldon) คือคาแรคเตอร์หลักที่จี๊ดจ๊าดที่สุดในซีรีส์คอมเมดี ‘The Big bang Theory’ เขาคือนักฟิสิกส์ผู้มีความอัจฉริยะด้านไอคิวสูงปรี๊ด มีความรอบรู้และมีความจำเป็นเลิศจนบางครั้งก็เหมือนหุ่นยนต์เอไอเดินได้ บางคนก็บอกว่าเขาบ้า แต่เขาก็มักจะตอบกลับไปว่า “เขาไม่ได้บ้า แม่พาเขาไปตรวจแล้ว” (I’m not crazy, my mother had me tested.) จุดเด่นของเขานอกจากความฉลาดก็คือความซื่อตรงจริงใจที่บางครั้งก็เป็นทั้งด้านดี และทำให้คนรอบข้างรู้สึกเจ็บหัวไปตามๆ กัน
เรามักจะคิดว่า เชลดอนเติบโตมายังไงกันนะถึงได้กลายมาเป็นคนแบบนี้ (ฮ่าาา) และซีรีส์ Young Sheldon ก็คือโอกาสที่จะได้รู้เรื่องราวของเชลดอนให้มากขึ้น โดยซีรีส์ได้ย้อนกลับไปเล่าเรื่องของเชลดอนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ
เชลดอนเติบโตในเมืองเทคซัส สหรัฐอเมริกา เขาอาศัยอยู่กับพ่อ แม่ มีมอ (Meemaw ชื่อที่เขาใช้เรียกยายของเขา) พี่ชาย และน้องสาวฝาแฝด เชลดอนเข้าเรียนชั้นม.ปลายตั้งแต่อายุ 9 ขวบและเริ่มเรียนมหาลัยตอนอายุ 11 ขวบ
‘แมรี’ แม่ของเชลดอนเป็นคนเคร่งศาสนา ในขณะที่เชลดอนไม่เชื่อในพระเจ้า แน่นอนว่าสิ่งที่เขาเชื่อคือสิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างวิทยาศาสตร์ แล้วมันจะมีตอนหนึ่งที่เขาไปโบสถ์กับแม่เพราะกลัวว่าแม่จะรู้สึกเหงา เขาบอกว่าถึงเขาจะไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เขาเชื่อในตัวแม่ของเขา
แต่เมื่อเชลดอนไปโบสถ์ เขาก็ได้ไปถามคำถามที่ท้าทายความเชื่อของบาทหลวง จนบาทหลวงต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
บาทหลวงเลยลองตั้งคำถามชวนคิดว่า นักวิทยาศาสตร์ตัวจริงต้องไม่ด่วนตัดสินใจไปก่อนรึเปล่า เชลดอนควรได้วิจัยก่อนจะสรุปว่าพระเจ้ามีจริงมั้ย
เมื่อเชลดอนเริ่มหันมาสนใจในศาสนา เขาบอกกับครอบครัวว่าเขาตัดสินใจจะศึกษาทุกศาสนารวมถึงความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ด้วย เพราะมันคือการขยายฐานข้อมูลตามหลักวิทยาศาสตร์ แน่นอนว่า แมรี แม่ของเขาผู้เคร่งในศาสนาคริสต์แบบแบปติสต์ไม่เห็นด้วยอย่างแรง เชลดอนเลยถามกลับด้วยความซื่อตรงว่า “ชาวอเมริกันอย่างผมไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกศาสนาเองหรอ” ซึ่งนี่คือคำถามของเด็กอายุ 9 ขวบอย่างเชลดอนที่ทำให้แมรีถึงกับไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว
วันหนึ่งหลังจากเชลดอนศึกษาหลากหลายศาสนามาสักพัก แมรีเข้ามาพูดคุยเพราะหวังใจลึกๆ ว่าเชลดอนจะหันมาเชื่อในศาสนานิกายเดียวกับที่เธอนับถือ เชลดอนถามว่า
“แม่จะโกรธมั้ย ถ้าผมไม่ได้เลือกศาสนาเดียวกับแม่” แมรีตอบว่า “แม่ไม่มีทางที่จะโกรธลูกลง ลูกคือผู้แสวงหาความจริงของตัวเอง”
แม้สุดท้ายผลจะออกมาว่าเชลดอนก็ยังคงเชื่อในวิทยาศาสตร์มากกว่าพระเจ้าอยู่ดี (แน่ล่ะ) แต่เขาก็ได้ความรู้เกี่ยวกับศาสนามาอย่างแน่นปึ้ก และยังคงไปเข้าร่วมที่โบสถ์อยู่เรื่อยๆ พร้อมกับการตั้งคำถามท้าทายความเชื่อตลอดไป โดยที่แม่ก็ไม่โกรธอย่างที่ได้พูดไว้กับเขา
จากประสบการณ์ที่เราเจอมาทำให้เรารู้สึกประทับใจในเหตุการณ์นี้เป็นพิเศษ เพราะเราเติบโตมากับการต้องเชื่อฟังสิ่งที่ผู้ใหญ่สอน
แต่เชลดอนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดและความเชื่อที่ต่างออกไปได้โดยไม่มีผู้ใหญ่หรือฝ่ายไหนก็ตามตัดสินว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเชื่อนั้น ‘โง่’ หรือ ‘แย่’ กว่า
แล้วยิ่งเป็นเรื่องศาสนาด้วย เราว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเปิดใจให้กัน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดและต้องป้องกันตัวเอง การที่ต่างฝ่ายต่างรับฟังกันมันได้เผื่อที่ว่างให้กับการเป็นครอบครัวที่ยังรักและเคารพซึ่งกันและกัน
และซีรีส์นี้ยังเต็มไปด้วยประเด็นเรื่องชีวิตและครอบครัวที่เราสนใจอีกมากมาย อย่างตอนนึงที่เชลดอนกับ ‘มิสซี่’ ได้เข้าร่วมวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการของฝาแฝด
มิสซี่ เป็นพี่น้องฝาแฝดของเชลดอน ที่ไม่มีอะไรเหมือนเชลดอนเลย เธอไม่ใช่เด็กที่จะถูกเรียกว่าเด็กน้อยอัจฉริยะ เธอเข้าเรียนตามวัยและสนใจเรื่องทั่วไปอย่างที่เด็กประถมส่วนใหญ่สนใจ
งานวิจัยที่พวกเขาเข้าร่วม นอกจากการตอบคำถาม ก็มีกิจกรรมให้ดูภาพที่ไม่มีคำอธิบายเพื่อให้มิสซี่และเชลดอนอธิบายภาพจากท่าทางและบรรยากาศ มิสซี่สามารถเล่าเรื่องราวและคาดเดาอารมณ์ของสิ่งมีชีวิตในภาพได้ รวมถึงจินตนาการเรื่องราวต่อจากประสบการณ์ของตัวเองได้อีกตังหาก
ต่างกับเชลดอนที่มองเห็นแต่ข้อเท็จจริงที่ตรงไปตรงมาและเมื่อถูกถามจี้ถึงความหมายของท่าทางต่างๆ ในภาพ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจเพราะไม่เข้าใจว่านักวิจัยต้องการอะไรจากเขา เขาคิดว่าจุดประสงค์ของการวิจัยคือการทดสอบว่าเขาฉลาดแค่ไหน นักวิจัยจึงบอกว่า ‘ความอัจฉริยะมีหลายรูปแบบ’ (There are different kinds of Intelligence.) แต่เชลดอนไม่ซื้อความคิดนั้น และยืนยันว่ามันมีรูปแบบเดียวก็คือแบบที่เขาเป็นอยู่
กลับมาที่มิสซี่ เธอถูกนักวิจัยชมว่า เธอมีสายตาที่แหลมคม สามารถมองเห็นสิ่งที่บางครั้งคนก็มองข้าม ซึ่งทำให้มิสซี่เผยออกมาว่า เธอมักจะอยู่คนเดียวบ่อยๆ เธอเลยคิดว่ามันทำให้เธอกลายเป็นคนช่างสังเกต “พ่อกับพี่ชายคนโตอยู่ทีมเดียวกัน แม่กับยายมักจะดูแลเชลดอน เลยไม่มีใครสนใจเธอเท่าไหร่ เธอบอกว่าเหมือนพวกเขาอยู่ทีมเดียวกัน แล้วทีมของเธอมีแค่เธอคนเดียว” ซึ่งคำตอบนั้นของมิสซี่ทำให้ทั้งครอบครัวตระหนักได้ว่าควรเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับเธออีกครั้ง
เรารู้สึกว่าเขาเอาประเด็นเหล่านี้มาเล่าได้อย่างดี ทั้งเรื่องความฉลาดเฉลียวที่แตกต่างกัน ไม่ได้มีอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่ควรถูกชื่นชมแค่อย่างเดียว หรือการถูกครอบครัวมองข้ามโดยไม่ตั้งใจ และรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้เก็บรายละเอียดความเป็นเชลดอนไว้ครบถ้วน ทั้งความฉลาดที่น่าทึ่ง และความจริงใจจนกวนประสาท เหตุการณ์หลายอย่างที่เชลดอนเคยเล่าให้เพื่อนๆ ฟังในตอนโตก็โผล่มาให้เราได้ดูจนต้องแอบกรี๊ดคนเดียวเบาๆ
เราคิดว่า ไม่ว่าจะเริ่มจากดูซีรีส์เรื่องไหนก่อน ระหว่าง Young Sheldon กับ The Big bang Theory ก็น่าจะดูรู้เรื่องทั้งนั้น และทำให้รู้สึกว่าคาแรคเตอร์เชลดอนสมบูรณ์และเสมือนจริงยิ่งขึ้นไปอีก หรือถึงไม่อินกับคาแรคเตอร์ของเชลดอนก็เหมือนได้ไปรู้จักครอบครัวตลกๆ (มีทั้งครอบครัวที่เราเติบโตมาและครอบครัวที่เราเลือกเอง) ผสมความอบอุ่น และมีพาร์ทน้ำตาซึมแน่นอน