- A Little girl’s Dream เป็นสารคดีที่เล่าถึง ‘โทโมมิ’ เด็กน้อยวัยประถมผู้มีความฝันว่าจะเติบโตไปเป็นสัตวแพทย์ แม้ครอบครัวไม่ค่อยเห็นด้วยกับความฝันของเธอในตอนแรกก็ตาม
- โทโมมิมีความมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันนั้น ซึ่งผู้กำกับก็ได้ใช้เวลาเก็บฟุตเทจวีดีโอช่วงเวลาสำคัญของเธอเป็นเวลายาวนานกว่า 26 ปี จนเธอทำความฝันสำเร็จ
- แม้ว่าสารคดีเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวที่เรียบง่าย แต่การได้เห็นคนๆ หนึ่งเติบโต เห็นว่าอะไรบ้างที่ค่อยๆ หลอมรวมมาเป็นเขาในวันนี้ ก็ทำให้รู้สึกคุ้มค่าที่ได้ดู
Spoile Alert : มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน
เราเชื่อว่าหลายคนต่างเคยมีความฝันในวัยเด็กว่า ‘โตขึ้นอยากจะทำอาชีพอะไร’ บ้างอาจทำสำเร็จอย่างที่เคยคิดไว้ บ้างอาจมีความฝันที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
สารคดีเรื่องนี้ได้เล่าถึงเด็กน้อยวัยประถมที่รักสัตว์มาก เธอมีความฝันว่าจะเติบโตไปเป็นสัตวแพทย์ที่ช่วยเหลือดูแลสัตว์ที่ป่วยให้ดีขึ้น เธอมีความมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันนั้นและผู้กำกับก็ได้ใช้เวลาเก็บฟุตเทจวีดีโอช่วงเวลาสำคัญของเธอเป็นเวลายาวนานกว่า 26 ปี จนเธอทำความฝันสำเร็จ
‘โทโมมิ’ สาวน้อยชาวญี่ปุ่นอายุ 9 ขวบ อาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆ ในจังหวัดนีงาตะ วันหนึ่งเธอและเพื่อนๆ ร่วมชั้น ได้เข้าร่วมกิจกรรมการช่วยเลี้ยงสัตว์ของโรงเรียน สัตว์ชนิดแรกที่พวกเขาได้ช่วยกันดูแลคือ ‘น้องวัว พันธุ์โคนม’ พวกเขาต้องคอยให้อาหาร หวีขน เก็บอึและใช้เวลาร่วมกันทุกวันนานถึง 8 เดือน
เมื่อครบเวลาที่กำหนดไว้ เด็กๆ ได้วางแผนให้มีพิธีอำลาเจ้าวัวที่ต้องจากไปอยู่ที่อื่น เด็กๆ ทั้งร้องเพลงไป ร้องไห้ไป พวกเขามองเจ้าวัวเป็นเหมือนเพื่อนร่วมชั้น มีตัวแทนมากล่าวคำขอบคุณวัวที่มอบทั้งความรู้สึกและสอนสิ่งต่างๆ ให้กับพวกเขา ซึ่งเรามองว่าสิ่งนี้มันแสดงให้เห็นถึงความรักและความผูกพันของเด็กๆ ที่มีต่อเจ้าวัวและยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โทโมมิมีความฝันอยากเป็นสัตวแพทย์
นอกจากกิจกรรมช่วยเลี้ยงสัตว์ที่โรงเรียนที่เป็นจุดเริ่มต้นความรักที่มีต่อสัตว์ของโทโมมิจังแล้ว ครอบครัวของโทโมมิก็ทำปศุสัตว์ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กน้อย และที่บ้านของเธอยังมีสัตว์เลี้ยงอีกหลายชนิด ทั้งหมา แมว หนู หมูและรวมถึงวัวตัวเล็กที่โทโมมิขอให้พ่อมอบให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุ 11 ปี
แม้ว่าในตอนแรกครอบครัวของเธอไม่ค่อยเห็นด้วยกับความฝันของโทโมมิที่อยากเป็นสัตวแพทย์ซักเท่าไหร่ พ่อของโทโมมิผู้เป็นเกษตกรเจ้าของฟาร์มได้ให้สัมภาษณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า เพราะโทโมมิเป็นผู้หญิง แล้วในอุตสาหกรรมนี้ต้องใช้แรงและพละกำลังมากในการดูแลวัวหรือหมูซึ่งเป็นสัตว์ตัวใหญ่ เขาเลยไม่แน่ใจว่าลูกสาวจะทำไหวมั้ย
แต่ระหว่างทางนั้นสารคดีก็ค่อยๆ เล่าถึงความมุ่งมั่นของโทโมมิจังที่พยายามเดินตามความฝันของตัวเอง ช่วงเวลาสามปีในชีวิตม.ปลาย เธออาศัยอยู่ในหอที่ไม่มีทีวีเลยเพื่อตั้งใจเตรียมสอบเข้ามหาลัยอย่างเข้มข้น
โทโมมิเล่าว่า เธอกับครอบครัวได้มีเงื่อนไขต่อกันว่า ถ้าเธอไม่สามารถสอบเข้าเพื่อเป็นสัตวแพทย์ได้ในครั้งแรก โทโมมิตัดสินใจจะยอมแพ้กับความฝันนี้ทันที ด้วยสถานการณ์ของครอบครัวในตอนนั้นที่การทำปศุสัตว์ยังมีความไม่แน่นอน เธอจึงไม่อยากทำให้ครอบครัวต้องลำบากกว่าเดิม
เมื่อวันสอบเข้ามหาลัยมาถึง พ่อก็พาโทโมมิจังเดินทางไปสอบ เขาพูดหน้ากล้องหลังจากลูกเดินเข้าไปสอบว่า “เขาอยากให้ลูกทำความฝันได้สำเร็จ เพราะเห็นถึงความมุ่งมั่นของโทโมมิจริงๆ” และบอกว่า “ถ้าลูกทำไม่ได้เขาคงบอกให้เธอลองใหม่ครั้งหน้า” แล้วพ่อของโทโมมิจังก็อยู่รอเธอข้างนอกท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างหนาวจนเธอสอบเสร็จ
หลังจากสอบเสร็จ พ่อก็คุยกับโทโมมิว่า “ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ตาม ลูกได้ทำอย่างที่ตั้งใจแล้ว” โทโมมิตอบว่า “หนูก็คิดว่าไม่มีอะไรที่จะต้องเสียดายแล้วล่ะ”
และพ่อก็พูดต่อว่า “การไม่มีอะไรให้เสียดายเป็นสิ่งที่ดีนะ”
เราชอบสิ่งที่พ่อของโทโมมิแสดงออก แม้ว่าตอนแรกเขาจะมีท่าทีที่กังวลใจ แต่สุดท้ายก็เป็นพ่อคนเดิมนี่แหละ ที่ช่วยซัพพอร์ตและให้กำลังใจเธออย่างเต็มที่
เราคิดว่าเขาเลือกเป็นพ่อที่ไม่ได้กดดันว่าลูกจะต้องทำดีมากกว่านี้ เขาเห็นว่าลูกพยายามแล้วและนั่นก็เพียงพอ ซึ่งทำให้เห็นว่าเขาให้คุณค่ากับความรู้สึกของลูก และการเดินทางตามความฝันของลูกมากกว่าผลลัพธ์ใดๆ
และอีกสิ่งที่เราชอบคือการที่ครอบครัวไม่จำเป็นต้องร้ายกาจพูดจาดุเชือดเฉือนลูกเพื่อให้ลูกได้ดี
เอาเข้าจริงเรารู้สึกว่าตัวโทโมมิจังอาจจะกดดันตัวเองมากกว่าที่ครอบครัวของเธอคาดหวังซะอีก ดังนั้นการได้เห็นว่าครอบครัวพร้อมจะโอบกอดเธอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมันเลยเป็นความรู้สึกที่ดีมาก
ต่อมาวันที่โทโมมิรอผลสอบอยู่ที่บ้าน แล้วผลสอบออกมาว่าเธอสอบติดนั้น ครอบครัวก็เข้ามาแสดงความยินดีกับเธอ พวกเขาบอกเธอว่า “ดีจังเลยนะ” (ในซัพไตเติ้ลภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Good for you”) ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเป็นคำที่ดีมากๆ เลย ยายก็บอกว่า “หลานทำได้ดีมาก ขอบคุณมากเลยนะ”
โทโมมิเองเมื่อรู้ผล เธอก็ร้องไห้ด้วยความยินดี เราดูฉากนี้แล้วก็ร้องไห้เหมือนสอบติดเอง มันสัมผัสได้ถึงความดีใจของเธอและคนรอบๆ ตัวเธอ ได้เห็นว่าสิ่งที่เธอตั้งใจและมุ่งมั่นมาตลอดมันสำเร็จให้เห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว
ต่อจากนั้นสารคดีก็จะเล่าถึงเดินทางต่อๆ มาของโทโมมิ ทั้งการเรียน การฝึกงานนอกสถานที่ การสอบที่จะทำให้โทโมมิกลายเป็นสัตวแพทย์เต็มตัว และการเริ่มออกไปทำงานเองของเธอ และเล่าต่อมาเรื่อยๆ จนเป็นเวลาสิบปีที่โทโมมิได้เป็นสัตวแพทย์ให้กับน้องวัว
ในตอนท้าย โทโมมิในวัย 30 กว่า บอกว่าเธอดีใจที่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับเกษตรกรในจังหวัด รวมไปถึงพ่อแม่ของเธอที่พวกเขาไว้ใจและพึ่งพาเธอให้ช่วยดูแลวัวในฟาร์ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
‘ความกังวลในอดีตว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะทำงานนี้ไหวมั้ย’ ถูกพังลงไป เพราะเธอสามารถรับมืองานนี้ได้ และพวกเขามองว่าเธอเป็นมืออาชีพ
แม้ว่าสารคดีเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวที่เรียบง่าย มีฟุตเทจเก่าๆ เบลอๆ บ้างตามเทคโนโลยีในสมัยนั้น แต่สำหรับเราแล้วการได้เห็นคนเล็กๆ คนหนึ่งเติบโต ได้เห็นว่าอะไรบ้างที่ค่อยๆ หลอมรวมมาเป็นเขาในวันนี้ และการที่คนนั้นมีความฝันและได้ทำตามสิ่งที่ใจต้องการ ระหว่างทางอาจมีอุปสรรค มีปัญหาต้องรับมือแต่สุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จตามที่ฝันไว้ มันทำให้เรารู้สึกทึ่งผสมอบอุ่นจิตใจมากๆ รู้สึกคุ้มค่าที่ได้ดู
ปล. ครั้งนี้ต้องขอบคุณเว็บไซต์ของ Japan Foundation ที่ได้นำหนังเรื่องนี้มาฉายให้ดูออนไลน์ฟรี (แต่เราเพิ่งมาเห็นก่อนจะหมดเขตไม่กี่อาทิตย์) ซึ่งหวังว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกในอนาคต เพราะอยากให้ทุกคนได้ลองดูจริงๆ