- Beef เป็นซีรีส์จากค่ายหนัง A24 ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเดือด ดาร์ค ลึกซึ้งเรื่องความเป็นมนุษย์ ที่เริ่มจากการระเบิดอารมณ์โมโหไปสู่การแก้แค้นไม่รู้จบ และค่อยๆ พาเราไปพบกับความวายป่วงที่ไม่มีใครคาดคิด
- เรื่องราวการพบกันอันดุเดือดของ ‘เอมี่’ และ ‘แดนนี่’ ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์แปลกๆ ของคนสองคนที่เกลียดกันแต่ก็ยังดึงดูดให้เข้ามาอยู่ใกล้กัน เพราะพวกมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกัน การได้มาปลดปล่อยอารมณ์โกรธใส่กันก็เหมือนเป็นวิธีระบายสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาอย่างจริงใจ
- ซีรีส์พาให้เราได้ไปรู้จักกับพื้นฐานความเป็นชาว Asian Americans หรือ คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียอย่าง เอมี่ แดนนี่และครอบครัว ซึ่งการมีความฝันแบบอเมริกันดรีมในยุคพ่อแม่ ส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเขาในอนาคตที่ต้องกลายเป็นเดอะแบกของครอบครัว
ซีรีส์ใหม่จาก Netflix ที่ผลิตโดยค่ายหนัง A24 ค่ายที่ขึ้นชื่อเรื่องความเดือด ดาร์ค ลึกซึ้งเรื่องความเป็นมนุษย์ และมักมีสัญลักษณ์มากมายที่ทิ้งไว้ให้คนดูได้ตีความ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีลายเซ็นของค่ายหนังนี้อย่างชัดเจน
ซีรีส์เริ่มเล่าด้วยเรื่องราวความเดือดดาลของคนขับรถสองคนบนถนนที่ขับรถไล่ล่า แจกนิ้วกลางและพรั่งพรูคำด่าให้กันในรูปแบบที่เราต่างน่าจะเคยเห็นกันในข่าว หรือไม่ก็อาจเคยประสบมันด้วยตัวเอง แต่ในเรื่องนี้การระเบิดอารมณ์โมโหมันไม่ได้หยุดอยู่ที่ถนนแต่นำไปสู่การแก้แค้นไม่รู้จบ และค่อยๆ พาเราไปพบกับความวายป่วงที่ไม่มีใครคาดคิด แม้เราเองไม่ได้คาดหวังอะไรในตอนแรกที่ดู แต่ก็ไม่คิดเลยว่าซีรีส์จะพาเรามาไกลได้ขนาดนี้ จากอีพีแรกที่แค่ขับรถกวนประสาทกันบนถนนไปสู่เรื่องสยดสยอง สะเทือนใจและลึกซึ้งสุดๆ
‘เอมี่’ หนึ่งในตัวละครหลักที่เป็นคนเริ่มชูนิ้วกลางใส่แดนนี่จนทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด ภาพลักษณ์ของเอมี่ เธอคือหญิงสาว Gen Y ต้นๆ ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เธอสร้างแบรนด์ขายต้นไม้ที่มีคนอยากซื้อกิจการในราคาหลายล้านดอลลาร์ แล้วนั่นก็ทำให้เธอกลายเป็นผู้นำของครอบครัวเพราะเป็นคนหารายได้หลัก
เธอมีสามีเป็นศิลปินที่ขายงานไม่ค่อยออกแต่ก็เป็นชายหนุ่มใจเย็นที่ซัพพอร์ตและรักเธอ เธอมีลูกสาวที่น่ารัก มีบ้านดีไซน์สวยพริ้งที่เธอทั้งออกแบบและออกตังค์ และเธอก็มีความลับที่เก็บกดมานานซึ่งไม่อาจอธิบายให้ใครฟังได้เลยแม้กระทั่งนักจิตวิทยา
‘แดนนี่’ เป็นชายหนุ่มโสด เขาทำงานเป็นผู้รับเหมาที่มีภาพลักษณ์ซึ่งอาจเรียกได้ว่าค่อนไปทางล้มเหลว แม้จะรับจ้างทำงานช่างเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่มีใครอยากใช้บริการของเขา
ในอดีตครอบครัวของแดนนี่เคยพยายามไขว่คว้าความฝันแบบชาวอเมริกันแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะดันไปพัวพันกับคดีผิดกฎหมายจนพ่อแม่ต้องย้ายกลับไปเกาหลีบ้านเกิดของพวกเขา แดนนี่จึงกลายเป็นผู้นำที่ต้องแบกรับความคาดหวังของทั้งครอบครัว เขามีน้องชายที่เติบโตมาด้วยกัน 1 คน ซึ่งน้องชายก็ไม่ค่อยเคารพในตัวแดนนี่เหมือนตอนพวกเขาเป็นเด็ก ทำให้แดนนี่ต้องคอยพยายามพิสูจน์ตัวเองให้น้องเห็นอยู่เสมอ ตัวแดนนี่เองก็มีความรู้สึกลึกๆ ในจิตใจที่เขาไม่สามารถคุยกับใครเช่นเดียวกับเอมี่
และเมื่อทั้งสองคนได้มาเจอกัน โดยไม่รู้ตัวพวกเขามีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกัน แล้วการที่ทั้งคู่ได้มาปลดปล่อยอารมณ์โกรธใส่กันก็เหมือนเป็นวิธีระบายสิ่งที่อยู่ข้างในของพวกเขาออกมาอย่างจริงใจ ไม่มีใครห้ามใคร ไม่มีใครคิดถึงความผิดชอบชั่วดีอะไร
เหมือนมันเปิดให้โอกาสทั้งสองได้กลับไปเป็นเด็กที่ไม่ต้องแบกรับอะไรเลยอีกครั้ง แค่เอาชนะกันไปมาให้สาแก่ใจ
แล้วสิ่งนี้ก็ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์แปลกๆ ของคนสองคนที่เกลียดกันแต่ก็ยังดึงดูดให้เข้ามาอยู่ใกล้กัน
เรายังรู้สึกชื่นชมเสมอที่ค่ายนี้สามารถเล่าเรื่องความรู้สึกยากๆ ให้ออกมาเป็นรูปธรรม เหมือนกับหนังเรื่อง Everything Everywhere All at once ที่แทนความรู้สึกอยากตายเป็นรูของเบเกิลสีดำที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ก็ทำออกมาได้อย่างลึกซึ้งจริงๆ
นอกจากนี้ ซีรีส์ยังพาให้เราได้ไปรู้จักกับพื้นฐานความเป็นชาว Asian Americans หรือ คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียซึ่งก็คือ เอมี่ แดนนี่และครอบครัวของพวกเขา การมีความฝันแบบอเมริกันดรีมในยุคพ่อแม่ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเขาในอนาคต การเป็นเดอะแบกของครอบครัวที่คอยแบกรับความกดดันในฐานะผู้นำของบ้าน ความเป็นมนุษย์ของตัวละครต่างๆ ที่มีความเทาๆ ไม่มีใครดีและเลวที่สุด ไปจนถึงการแทรกความสยดสยองในแบบของค่าย A24 ที่ใส่เข้ามาอย่างไม่คาดคิด
แน่นอนว่าส่วนที่เรารู้สึกรีเลท หรือมีส่วนร่วมมากก็คืออีพีที่เล่าย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในตอนเด็กๆ ของเอมี่และแดนนี่ ว่ามันได้หล่อหลอมพวกเขามายังไง เพราะอะไรพวกเขาถึงได้มีการตัดสินใจอย่างนี้
ที่เห็นชัดๆ เลยคือเอมี่ เธอเลือกที่จะเก็บกดความรู้สึกและความลับต่างๆ ไว้กับตัวเอง ซึ่งเราว่าสิ่งนี้เป็นหนึ่งในชนวนสำคัญที่ทำให้เรื่องราวมันเลยเถิดมากมาย
เอมี่เคยพูดถึงพ่อแม่ไว้ตอนที่เธอไปพบนักจิตวิทยาครอบครัวว่า พ่อของเธอเป็นชาวจีนที่สื่อสารไม่เก่ง เขามักจะเก็บกดมากๆ จนวันนึงก็ระเบิดออกมา ส่วนแม่ก็รู้สึกว่าการพูดถึงความรู้สึกคือการบ่น เธอบอกว่า “มันยากที่จะยอมรับนะ แต่การโตมากับพ่อแม่แบบนั้น มันสอนให้ฉันกลายเป็นคนเก็บกด”
และเอมี่ยังยอมรับว่าที่ตัวเองปล่อยให้ ‘จอร์จ’ สามีของเธอดูแลลูกมากกว่า เพราะส่วนลึกภายในใจของตัวเอง กลัวว่าจะเผลอส่งต่อสิ่งที่พ่อแม่ของเธอเคยทำ ให้กับลูกสาวของเธอเอง
ซึ่งมีตอนนึงที่เอมี่ไปที่บ้านของพ่อแม่ เรามองว่าเธอพยายามจะปลดล็อคความรู้สึกในใจจากการเป็นคนเก็บกดด้วยการตัดสินใจบอกแม่ว่าในอดีตเธอเคยเจอกับอะไร แต่แม่กลับปฏิเสธอย่างรุนแรงที่จะคุยหรือไม่แม้แต่จะฟังด้วยซ้ำ พร้อมถามเอมี่กลับว่า “นึกมาบอกอะไรเอาตอนนี้” เอมี่ตอบว่า เวลาที่ครอบครัวของเรามีปัญหาอะไรก็ไม่เคยพูดกันเลย เธอแค่อยากให้แม่คุยกับเธอ ในตอนที่เป็นเด็กบ้าง
และบอกอีกว่า
“ตอนนี้เมื่อเธอส่องกระจกแล้วเธอเห็นพ่อกับแม่ เธอรู้สึกไม่ชอบเลย มันเหมือนการตัดสินใจแย่ๆ หลายต่อหลายรุ่นอยู่ในสายเลือดเรา”
เราเองแม้จะไม่ได้มีความลับอะไรลึกซึ้งอย่างเอมี่ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของการไม่กล้าเป็นตัวเอง 100% ต่อหน้าอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าจะไม่เป็นที่รัก แม่ของเราก็เป็นแม่ที่คล้ายกับแม่เอมี่ เขาก็รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดถึงความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้น และเรารู้เสมอว่าความรักนี้ของแม่นั้นมีเงื่อนไข ซึ่งนั่นทำให้เราเป็นคนที่มักจะเก็บกดความคิดความรู้สึกและไม่กล้าเป็นตัวเองจริงๆ
เรามองว่าคนในยุคพ่อแม่ของพวกเราไม่ได้รับชุดข้อมูลรูปแบบเดียวกับที่เราได้เรียนรู้ พ่อแม่ไม่เคยต้องขุดความรู้สึกตัวเองลงไปเพื่อยอมรับตัวเอง ไม่เคยฝึกโอบกอดความผิดพลาดหรือทุกแง่มุมที่ตัวเองเป็น พวกเขากลัวการแตกสลายมากกว่าพวกเรา วิธีที่พวกเขาถนัดคือการปิดฝังหลุมนั้นให้แน่นสนิท และบอกทุกคนให้ ลืมๆ มันไป ซึ่งเราไม่ได้มาเพื่อตัดสินว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำนั้นมันผิดหรือถูก
แต่คนเป็นลูกอย่างเราบางครั้งก็แค่แอบหวังอยากให้พ่อแม่ลองฟังและเปิดใจคุยกับเราบ้าง ไม่จำเป็นจะต้องเข้าใจทั้งหมด หรือต้องทำตามที่เราต้องการหรอก เราเข้าใจแล้วว่าในมุมของเราเองก็คงไม่อาจทำได้ในแบบที่เขาทำเหมือนกัน
ในซีรีส์เอมี่มักจะแสดงให้คนที่เธอรักหรือแม้กระทั่งกับนักจิตวิทยา เห็นว่าเธอเป็นคนใจเย็น เธอเข้าใจชีวิตตัวเองอย่างดีและมีสติ แม้จะมีอ่อนไหวหลุดแสดงอารมณ์ไปบ้าง แต่เธอไม่เคยเปิดเผยตัวตนด้านที่เป็นระเบิดปรมาณูที่สามารถพ่นคำด่าหยาบคายอย่างเดือดดาลออกมาเหมือนตอนที่อยู่กับแดนนี่ให้คนอื่นเห็นเลย เหมือนมันเป็นความลับที่เธอพยายามซ่อนไว้ให้ไกลจากคนที่เธอรัก บ่อยครั้งที่เรามักจะเห็นเอมี่แสดงออกด้วยรอยยิ้มอึดอัดฝืนใจเพื่อเก็บและกลืนความรู้สึกของเธอให้อยู่ข้างในดังเดิม อาจเพราะเธอกลัว กลัวจับใจว่าความรักที่เธอได้รับอยู่นั้นมันมีเงื่อนไข กลัวว่าถ้าหากบอกไปผู้คนจะไม่รักเธอ
ในตอนสุดท้ายถึงเอมี่จะรู้ตัวว่าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ทั้งหมดหรอกที่ทำให้เธอยังคิดแบบเดิมๆ แต่เป็นตัวเธอเองที่ยังเลือกที่จะเป็นแบบนั้น ตัดสินใจแบบนั้น แต่เราว่าก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าพ่อแม่ก็ยังมีส่วนหล่อหลอมและฝังระบบอัตโนมัติบางอย่างให้ลูกคนนึงอยู่ดี ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าพ่อแม่ของเอมี่ไม่ได้ปลูกฝังนิสัยเก็บกดนี้ให้กับเธอ
เรื่องราวทั้งหมดอาจจะไม่จบลงอย่างในซีรีส์ก็ได้นะเพราะเอมี่กับแดนนี่ก็คงไม่มีทางได้มาปลดปล่อยอารมณ์กันอย่างรุนแรงบนถนนอย่างแน่นอน