- ช่องว่างที่มิได้นิ่งสนิทของ ‘ความเงียบ’ ทำให้ประสาทสัมผัสต่างๆ แจ่มชัดขึ้น และปล่อยให้ความทรงจำในซอกหลืบที่ดูเหมือนว่าสมองได้ คัดทิ้ง ไปแสนนานมาแล้วกลับผุดปรากฏขึ้น
- เรื่องราวที่ถูกปิดเงียบหรือ ‘อย่าไปพูดถึงให้มากนัก’ ในครอบครัว สามารถเชื่อมโยงกับบาดแผลที่ยังไม่ได้เยียวยาและรอยเปรอะที่ลบไม่ออกของบรรพชน ซึ่งพวกเขาไม่ได้อยากถ่ายทอดไปสู่ลูกหลาน
- แม้ความเงียบกริบของเรื่องราวอื่นของบรรพบุรุษ ที่เราไม่อาจเป็นพยานก็ไม่ได้แปลว่าบางอย่างไม่ได้ถูกสืบทอดและกำลังดำเนินไปในตัวเรา แต่รากอดีตนั้น ก็สามารถได้รับการแปรเปลี่ยนรูปแบบและเยียวยาผ่านเราได้ด้วยเช่นกัน
1.
ผู้คนที่รักเสียงดนตรีให้ความสำคัญกับความเงียบ ซึ่งตัวหยุดที่เราเห็นเวลาอ่านโน้ตก็รับรองความสำคัญนั้น
การเงียบฟังเป็นราวกับคำมั่นว่าเสียงของผู้ที่มีอะไรจะบอกจะ ถูกได้ยิน
ช่องว่างที่มิได้นิ่งสนิทของความเงียบทำให้ประสาทสัมผัสต่างๆ แจ่มชัดขึ้น และปล่อยให้ความทรงจำในซอกหลืบที่ดูเหมือนว่าสมองได้ คัดทิ้ง ไปแสนนานมาแล้วกลับผุดปรากฏขึ้น อย่างเช่นจุดสีม่วงที่รวมกลุ่มกันเป็นทรงเรขาคณิตในห้วงราตรีแห่งวัยเด็ก อีกทั้งความรู้สึกและการแสดงออกเกี่ยวกับเพศในวัยเด็กมากที่ไม่ได้นำมาลากต่อจุดเป็นเส้นเรื่องถึงวัยผู้ใหญ่ มันไม่ผิด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะเที่ยวเอามา พูดกัน
หลายโอกาส ความเงียบขับให้เห็นความลุกลนที่จะได้เสพประสบการณ์ใหม่ อีกทั้งแรงขับที่จะพุ่งไปยังจุดหมายที่บางทีก็ไม่ทราบว่าคืออะไรและ เพื่ออะไร กันแน่? และยังมีความหิวโหยที่จะเชื่อมต่อกับมนุษย์คนอื่น จากจุดที่ได้สื่อสารกับใครสักคนแล้ว ความเงียบสามารถเป็นการลากเส้นแห่งการรอคอยนับจากจุดเวลานั้นไปจนกว่าจะได้เชื่อมต่อกับมนุษย์สักคนอีกครั้ง และบางสถานการณ์ ความเงียบของคนอื่นก็กระตุ้นความรู้สึก ‘ถูกปฏิเสธและถูกชิงชัง’ ซึ่งดังกึกก้องจากภายใน โดยที่คนอื่นนั้นไม่สามารถจะชิงชังด้านต่างๆ ของเราได้เท่ากับที่เราชิงชังรังเกียจ ละอายและต้องการลงโทษมันอีกแล้ว
ความเงียบสามารถปลุกเราออกจากความสะลืมสะลือต่อด้านที่เห็นแก่ตัวและชั่วร้ายของตน และทำให้เห็นปลายแง้มเปิดของปากแผลที่ก่อนหน้าได้ทึกทักเอาว่าสมานไปแล้ว มันทำท่ารอคอยให้อุปกรณ์คล้ายอาวุธ คว้านขุดบางอย่างที่แปลกปลอมออกมาพร้อมกับน้ำเลือดน้ำหนอง เพื่อที่เราจะขยับกลับสู่ความจริงแท้ของตัวเองได้ใกล้ขึ้น ซึ่งในนั้นมีความเดิมบางอย่างที่บรรพบุรุษของเราก็ถูกบ่มเพาะให้ไม่ชื่นชมมันด้วย
นอกจากนี้ บางคนผ่านประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ไม่อาจนิ่งรับประสบการณ์เข้มข้นของเขาได้ เขาจึงรู้จักเป็นภาชนะรองรับตรับฟังคนอื่นด้วยการเป็นความเงียบ และใช้ภาษาซุกซ่อนความคิดแทนที่จะคลี่เผยมันออกมา
ส่วนในวงสนทนา ผู้คนรู้สึกดีกับการมีพื้นที่ให้ได้แสดงความรู้สึกนึกคิด และผู้คนไม่น้อยก็ชื่นชมที่กระบวนกรสักคนวางใจในความเงียบโดยปล่อยให้พวกเขาดำรงอยู่ในนั้นโดยมิต้องทำลายมันด้วยแซ่เสียงที่กระสับกระส่าย ไม่ใช่ว่าทุกความตระหนักรู้จะต้องถูกพูดออกมา และหลายสิ่งที่รู้ได้อยู่เฉพาะตนก็มีที่ทางอันปลอดภัยและงอกงามในความเงียบ
อย่างไรก็ตาม สำหรับหลายคนและสถานการณ์ ความเงียบกลับเป็นความโกลาหลมากกว่าความสงบสันติ
2.
ความเงียบร่วมสามารถกลายเป็นการเอื้อต่อระบบที่กดขี่ และในอีกสถานการณ์ก็เป็นปากที่ไม่กล้าเปิดของผู้เสียหายซึ่งเกิดการกระทำที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดขึ้นต่อพวกเขาและเธอ
สำหรับบางคนที่โตมากับการต้องตอบสนองความต้องการของคนที่มีอภิสิทธิ์มากกว่า ความเงียบของอีกฝ่ายก็สามารถสร้างความปั่นป่วนให้ และสำหรับอีกคน ความเงียบคืออันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา เฉกเช่นความเงียบกริบใต้ทะเลลึก ซึ่งฝูงสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยต่างหลบซ่อนหนีหายเพราะตระหนักถึงการดำรงอยู่ของนักล่าซึ่งแม้ยังมองไม่เห็น.. แต่พร้อมจู่โจมชำแรกน้ำนิ่งเข้ามาโดยพลัน
3.
ในครอบครัว เรื่องราวที่ถูกปิดเงียบหรือ ‘อย่าไปพูดถึงให้มากนัก’ สามารถเชื่อมโยงกับบาดแผลที่ยังไม่ได้เยียวยาและรอยเปรอะที่ลบไม่ออกของบรรพชน ซึ่งพวกเขาไม่ได้อยากถ่ายทอดไปสู่ลูกหลาน
ความทรงจำที่อย่างน้อยก็ได้พยายามจะลืมเกี่ยวกับบ้านช่องที่แตกสลาย ความเป็นพ่อแม่ลูกที่สับสนไม่ชัดเจน หรือการถูกสถานการณ์บีบให้โยกย้ายพลัดถิ่นและต้องเริ่มต้นใหม่เกือบทั้งหมดเรื่อยไป ฯลฯ ตกทอดเป็นความรู้สึก “ไร้บ้าน” ที่เป็น บ้านของตนจริงๆ และความกลัวว่าจะทำบางอย่าง ‘ผิด’ ใน บ้านของคนอื่น อีกความรู้สึกที่ต้องดีกว่านี้และกว่านี้จากความรู้สึกพร่อง ที่ตามหลอกหลอนคนมาได้หลายรุ่นแม้ในภายหลังที่มีบ้านช่องห้องหับของตนแล้ว
หรือการเป็นผู้อพยพที่ถูกทำให้พร่าเลือนด้วยการจงใจผสานกับอีกอัตลักษณ์ที่ให้ความรู้สึกเหนือกว่าหรือได้รับการโอบรับมากกว่าในยุคนั้น การโอนสัญชาติได้หรือไม่ได้ และการจำใจให้ลูกย้ายไปอยู่กับครอบครัวที่ดูจะประกันความรอดมากกว่าแม้ไม่อาจเป็น บ้านที่แท้ สำหรับลูกน้อยซึ่งจะกลายเป็นพ่อแม่ของใครสักคน
ศาสนาต่างๆ ที่ยึดโยงกับอำนาจที่ไม่เท่ากัน ได้มีบทบาทในความสัมพันธ์ปริแตกระหว่างคู่รัก ครอบครัว และคนในชุมชนเดียวกันซึ่งเมื่อยิ่งถูกทำให้เป็นชายขอบก็ยิ่งแบ่งความสูงต่ำระหว่างกันเอง ภายใต้การถูกอำนาจบางอย่างกดทับไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ปู่ย่าตายายที่ต้องพลัดพรากจากคนที่ตนผูกพันรักยิ่งเพียงเพราะสัญชาติและศาสนา (เช่น ชาวคริสตังจำใจหย่ากับชาวพุทธ) ไม่อาจเผยอกพูดภาษากำเนิดและต้องหลบซ่อนสอนภาษานั้น ความหวั่นวิตกว่าจะถูกปรักปรำหรือหยามเหยียดเพียงเพราะสิ่งที่เป็น ภายใต้บรรยากาศทางการเมืองเศรษฐกิจแห่งยุคสมัยต่างๆ (เช่น ถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์เพราะมาจากและพูดภาษาเวียดนาม หรือการเป็นคนอีสานในบางบริบท)
ความอยากเปลี่ยนกระดูกกรามบนใบหน้าของฉัน หรือการที่ใครสักคนอยากเปลี่ยนสีผิวพรรณสามารถ(ไม่ได้แปลว่าเสมอไป)สะท้อนมรดกแห่งการล่าอาณานิคมทั้งในระดับข้ามทวีปและในภูมิภาค อีกทั้งการถูกกดทับในทางใดๆ ซึ่งตกทอดมาถึงโฆษณาปัจจุบันเพื่อขายผลิตภัณฑ์และบริการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ ซึ่งเหมือนกระตุ้นให้อยากงามตามมาตรฐานของผู้ชนะสงครามมากกว่าผู้แพ้ ก็ใครอยากเป็นฝ่ายถูกล่าบ้างล่ะ?
4.
ยังมีอีกสารพันเรื่องราวขมขื่นในอดีตที่ความทรงจำของคนรุ่นก่อนสักคนคือบ้านลับหลังสุดท้ายที่จะกลายเป็นสุสานของเรื่องราวนั้นในที่สุด
กระนั้น การ ละไว้ ก็มีความโกรธระทมรั่วซึมออกมา ซึ่งคนรุ่นหลังสัมผัสได้นับแต่วัยเด็กจวบจนเติบโตขึ้นมา.. ประวัติศาสตร์ของบรรพชนดำรงอยู่ภายในและรอบตัวเรา และหลายครั้งเราก็โกรธตัวเองที่แสดงความโกรธออกมาในลักษณะเดียวกับพ่อหรือแม่ของเรา หรือแม้แต่เหมือนคนรุ่นก่อนหน้านั้น
แต่เมื่อคนรุ่นหลังได้เห็นพ่อแม่เป็นวีรบุคคล และ/ หรือได้ผ่านพ้นห้วงความขบถและเชื่อมั่นด้วยเพราะเห็นว่าตนมีศักยภาพพ้นไปจากความผิดพลาดที่คนรุ่นก่อนได้กระทำลงไปและไม่ได้บอกเราเร็วกว่านั้น มาสู่การพยายามทำความเข้าใจ เห็นใจ และทะลวงด่านความกลัวกระทั่งพร้อมเจ็บปวดเพื่อแก้บางปัญหาที่ไม่อาจแก้ด้วยการปล่อยให้สถานการณ์พาไป
ถึงเวลานั้น เรื่องราวที่ถูกปิดผนึกในความเงียบก็ได้รับโอกาสในการถูกสดับฟังและมองในมุมใหม่ ที่พร้อมให้อภัยของความรัก ตลอดจนการเกิดใหม่ และแม้ความเงียบกริบของเรื่องราวอื่นของบรรพบุรุษที่เราไม่อาจเป็นพยานก็หาได้แปลว่าบางอย่างมิได้ถูกสืบทอดและกำลังดำเนินไปในตัวเรา ทว่ารากอดีตนั้นก็สามารถได้รับการแปรเปลี่ยนรูปแบบและเยียวยาผ่านเราได้ด้วยเช่นกันสุดท้าย ความเงียบที่ยังคงเงียบก็ยังสามารถทำให้เราปล่อยมือจากการควบคุม พักด้วยความวางใจ และปลดปล่อยตัวเองออกจากสิ่งที่คิดว่าเป็นและกำลังกลายเป็น อีกทั้งขอบคุณบรรพบุรุษทุกคนอย่างลึกซึ้ง ❄
อ้างอิง
ขอบคุณแรงบันดาลใจจาก จอห์น ฟรานซิส นักสิ่งแวดล้อมผู้ปฏิญาณตนในความเงียบหนึ่งวันแต่กลับเลยเถิดมาถึง 17 ปี และเขาตระหนักว่ามนุษย์เป็นส่วนสำคัญของสิ่งแวดล้อม, ขอบคุณจอห์น เคจ (John Cage), ขอบคุณแม่น้ำโขง ล้านนา ล้านช้าง และประวัติศาสตร์ผู้คนเชื้อสายเวียดนามที่ถือคาทอลิกในภาคอีสานของประเทศไทย, ขอบคุณเรื่องราวของเพื่อนชาวยิวที่เติบโตตามเมืองต่างๆ ในยุโรปซึ่งได้สนทนากันในปีค.ศ. 2008 ถึงการสูญเสียอัตลักษณ์ขณะสื่อสารผ่านภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่ และในปีค.ศ. 2022 ก็ได้ทราบว่าปู่ชาวยิวตูนิส(นครคาร์เธจโบราณ อยู่ในเมืองตูนิส ประเทศตูนีเซีย)ของเพื่อนผ่านประสบการณ์การสูญสลายยิ่งกว่านั้น ด้วยเพราะเขาพูดภาษาที่แทบจะไม่มีใครพูดอีกต่อไปแล้ว, ขอบคุณเรื่องราวที่ได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างกล้าหาญของการต้องเก็บซ่อนบางอย่างเกี่ยวกับตน ในบรรยายกาศกวาดล้างอันโหดร้ายในยุคสตาลิน, ยังมีร่องรอยการผสานความเป็นจีนเข้ากับความเป็นเจ้าดารารัศมี(ในขณะที่ก็มีกลิ่นอายการต่อรองทั้งกับอีกสองอำนาจ)ของผู้ใหญ่ในเชียงใหม่, ขอบคุณร่องรอยของชาติพันธุ์ที่หลากหลายในนครชุม ชากังราว ฯลฯ ในจ.กำแพงเพชร, ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่และบรรพบุรุษ