- ในวันที่เด็กๆ ต้องกลับเข้าสังคม ภายหลังกักตัวอยู่บ้านเป็นระยะเวลายาวนาน การเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจอาจจะเป็นสิ่งที่พ่อแม่และผู้ใหญ่ควรเตรียมให้เขา เพื่อให้พวกเขาก้าวออกจากบ้านด้วยความมั่นใจ
- ในสภาวะที่เด็กต้องอยู่แต่บ้าน ออกไปเจอใครๆ ก็มักมีหน้ากากอนามัยบดบังครึ่งล่างของใบหน้าตลอด ทำให้เด็กๆ ขาดโอกาสในการสังเกตสีหน้าท่าทางผู้อื่น รวมทั้งการที่ตัวเองรู้สึกอย่างไรก็แสดงออกให้คนอื่นรับรู้ได้ลำบาก
- พ่อแม่และคนที่บ้านเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้จักอารมณ์ตัวเองและผู้อื่น การใช้เวลาเล่นกับลูก มองหน้าสบตา ยิ้ม หัวเราะ พูดคุยกัน ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้อารมณ์ตัวเอง
- ก่อนจะส่งลูกออกจากอ้อมอก เด็กควรจะรับรู้ว่า ‘พ่อแม่มีอยู่จริง’ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว การส่งเขาไปโรงเรียนก่อนวัยแยกจาก เด็กอาจจะรับรู้อย่างเข้าใจผิดไปว่า ‘พ่อแม่ไม่ต้องการฉันหรือเปล่า?’ ดังนั้นพ่อแม่ควรมีเวลาคุณภาพให้กับลูก
ในวันที่เด็กปฐมวัยต้องกลับไปโรงเรียนและเผชิญกับการปรับตัวจากการแยกจาก
หลังจากที่เด็กปฐมวัยกักตัวอยู่บ้านเป็นระยะเวลายาวนาน ในวันที่สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ พวกเขาต้องกลับสู่สังคมโรงเรียนอีกครั้ง การเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจอาจจะเป็นสิ่งที่พ่อแม่และผู้ใหญ่สามารถให้ความช่วยเหลือกับเด็กปฐมวัยได้ เพื่อให้พวกเขาก้าวออกจากบ้านด้วยความมั่นใจ
การเตรียมความพร้อมให้เด็กปฐมวัยก่อนเข้าสู่สังคม
ตามพัฒนาการเด็ก ความวิตกกังวลในการแยกจากมักเกิดขึ้นในเด็กปฐมวัย 0 – 6 ปี เนื่องจากเด็กๆ ยังไม่สามารถแยกจากได้อย่างสมบูรณ์ (Ainsworth, 1979) หากเด็กๆ ยังอยู่ในช่วงวัยดังกล่าว การที่พวกเขายังไม่พร้อมจากโดยสมบูรณ์ การแยกจากนั้นนับเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้ หากมีเตรียมความพร้อมให้กับเด็กๆ ทางร่างกายและจิตใจ จะช่วยให้พวกเขาปรับตัวเข้าสู่สังคมได้ดีขึ้น
แนวทางในการเตรียมความพร้อมให้กับลูก
ข้อที่ 1 พ่อแม่มีอยู่จริง
ก่อนจะส่งลูกออกจากอ้อมอก เด็กควรจะรับรู้ว่า ‘พ่อแม่มีอยู่จริง’ เพราะไม่เช่นนนั้นแล้ว การส่งเขาไปโรงเรียนก่อนวัยแยกจาก เด็กอาจจะรับรู้อย่างเข้าใจผิดไปว่า ‘พ่อแม่ไม่ต้องการฉันหรือเปล่า?’ ดังนั้นพ่อแม่ควรมีเวลาคุณภาพให้กับลูก ถ้าพ่อแม่ต้องทำงานควรแบ่งเวลาให้กับลูกอย่างน้อย 15 นาที – 1 ชั่วโมงต่อวันให้กับเขา อ่านนิทาน เล่นกับลูก นอนกอด ทำงานบ้าน หรือ ทำอะไรด้วยกัน เพื่อให้ลูกได้รับรู้ถึงการมีอยู่จริงของเรา และรับรู้ว่าตัวเขาเองก็มีอยู่จริงสำหรับพ่อแม่ เขายังเป็นที่รักและที่ต้องการจากเรา แม้ในวันที่พ่อแม่จำเป็นต้องส่งเขาไปโรงเรียนก่อนวัยอันควร
เมื่อส่งลูกไปโรงเรียน สัญญากับลูกว่า ‘จะมารับเขาทันทีหลังเลิกเรียน จะมายืนรอรับที่ไหน’ พ่อแม่ต้องทำตามสัญญาด้วย ถ้าทำผิดสัญญา เด็กจะจดจำและอาจจะไม่ไว้ใจเราไปอีกนาน ดังนั้นหากมีเหตุฉุกเฉินควรบอกลูกไว้ก่อน หรือ โทรมาบอกทางโรงเรียนเสมอ
ข้อที่ 2 สอนการช่วยเหลือตนเองตามวัย (Self care)
เด็กปฐมวัยที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดีมักจะมีความมั่นใจในตนเอง เพราะเด็กที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามวัย จะสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ ส่งผลให้เขาไม่กลัวการเจอผู้คนใหม่ๆ ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
ดังนั้น การที่เด็กๆ กินข้าวเองเป็น แต่งตัวเป็น อาบน้ำและแปรงฟันเองได้ แม้จะไม่สะอาดเอี่ยมอ่อง แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอให้ผู้อื่นมาทำให้ เด็กๆ จะรับรู้ถึงศักยภาพที่ตัวเองมี ซึ่งนำไปสู่การมีความมั่นใจในตัวเอง
ข้อที่ 3 การทำตามตารางเวลา
ทุกๆ บ้านควรมีตารางเวลาที่ชัดเจน อย่างน้อยต้องมีเวลาตื่นนอน กินข้าวเช้า กลางวัน เย็น เวลาเล่น ทำงานบ้าน เวลาอาบน้ำ เวลานอน เพราะเมื่อเด็ก ๆ เข้าสู่สังคมโรงเรียน พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะทำตามตารางเวลาที่โรงเรียน แต่ถ้าเขาไม่เคยทำตามตารางเวลามาก่อน เขาอยากกิน อยากนอน อยากเล่น อยากทำอะไรเวลาไหนก็ได้ เด็กจะปรับตัวยากขึ้นที่โรงเรียน เพราะที่โรงเรียนทุกคนกินเวลาเดียวกัน นอนกลางวันเวลาเดียวกัน ดังนั้นเมื่อลูกต้องเข้าโรงเรียน ลองสอบถามตารางเวลาที่โรงเรียนว่า เข้าเรียน กินข้าว นอนกลางวัน เวลาไหนบ้าง ให้นำเวลาดังกล่าวมาลองปรับเป็นตารางเวลาที่บ้าน แล้วให้ลูกทำตามอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เวลานอนของเด็กเล็กต่อคืนควรอยู่ที่ 10-12 ชั่วโมง เวลาเล่นวันละ 2 ชั่วโมงอย่างต่ำ (สามารถแบ่งย่อยเวลาได้)
ข้อที่ 4 การเล่น เพื่อช่วยเตรียมพร้อมร่างกายและจิตใจ
(1) การเล่นเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับกล้ามเนื้อมัดเล็ก-มัดใหญ่
“เด็กคนหนึ่งจะเรียนรู้ได้ดี ต้องมีร่างกายที่พร้อมก่อนเสมอ” ผู้ใหญ่จึงควรส่งเสริมเรื่อง ร่างกายและการช่วยเหลือตัวเองเป็นสำคัญ ก่อนจะกังวลเรื่องของการเขียนการอ่าน ที่สำคัญเด็กปฐมวัยควรเล่นอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมงต่อวัน
กล้ามเนื้อมัดใหญ่-มัดใหญ่แข็งแรงและเคลื่อนไหวได้ตามวัย ซึ่งเกิดจากการเล่นอย่างเต็มที่
ขา-เท้า เดิน วิ่ง กระโดดขาคู่ ขาเดียว ไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
แขนแกว่งไกว ปีนป่ายอย่างคล่องแคล่ว
มือกำ หยิบ จับ โยน ขว้าง อย่างแม่นยำ
นิ้วมือทั้งสิบ หยิบ หนีบ กด ฉีก ตัด อย่างแข็งแรง
หากที่บ้านมีพื้นที่จำกัด เราสามารถนำเทปกาวมาติดเมื่อทำเป็นเส้นทางให้เด็ก ๆ เดินต่อเท้า กระโดดไปข้างหน้า หรือ จะนำเฟอร์นิเจอร์ หมอน และของใช้ภายในบ้านมาทำเป็นด่านอุปสรรคให้เด็ก ๆ มุด ลอด คลาน ข้ามไป ก็สามารถทำได้เช่นกัน
(2) การเล่นเพื่อช่วยให้เด็กปฐมวัยสามารถปรับตัวกับการแยกจากได้ดีขึ้น
การเล่นซ่อนแอบ การเล่นซ่อนของ เพราะการเล่นแบบนี้ทำให้เด็กพัฒนาความคิดเรื่อง ‘วัตถุมีอยู่จริง (Object permanent)’ อธิบายง่ายๆ ว่า สิ่งของแม้จะไม่ได้อยู่ในลานสายตาเราแล้ว เช่น โดนเอาไปซ่อน อยู่ใต้ผ้าห่ม สิ่งของนั้นมีอยู่จริง ไม่ได้หายไปจากโลกใบนี้ เมื่อเด็กพัฒนาความคิดเรื่องวัตถุมีอยู่จริง บุคคล คือ พ่อแม่ย่อมมีอยู่จริงเช่นกัน แม้พ่อแม่จะมาส่งแล้วไปทำงาน พ่อแม่จะกลับมารับเขาตอนเย็น พ่อแม่ไม่ได้ทิ้งเขาไปไหน
นอกจากนี้การเล่นกับธรรมชาติสามารถช่วยส่งเสริมเด็กในเรื่องของการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้เช่นกัน เพราะการที่เด็กสามารถสัมผัสผิวสัมผัสของธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้งเปียก ทั้งแห้ง มั่นคง ไม่มั่นคง เลอะเทอะ สะอาด ทำให้เด็กมีความมั่นใจที่จะเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนมากมายมากขึ้น คนก็ถือเป็นสภาพแวดล้อมที่คาดเดาได้ยากสำหรับเด็ก เขาต้องเข้าไปอยู่ในห้องเรียนที่มีเพื่อนๆ ที่มีความหลายหลาก
ข้อที่ 5 พ่อแม่ดูแลอยู่ห่างๆ ดูแลความปลอดภัย ลดการช่วยเหลือที่เร็วเกินไป
แม้ว่าเป็นเด็กปฐมวัยจำเป็นต้องมีผู้ใหญ่ดูแลใกล้ชิด แต่ไม่ได้หมายความว่า เราต้องเข้าไปดูแล ทำทุกอย่างให้กับเด็กๆ ในทางกลับกันเราสามารถปล่อยให้พวกเขาเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ หากสิ่งนั้นไม่ได้เป็นอันตรายสำหรับสำหรับเขา หรือ ตัวเขาไม่ได้ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน ผู้ใหญ่ควรปล่อยเด็กๆ ได้เล่น ทดลอง และเรียนรู้ในแบบของพวกเขาเอง ที่สำคัญควรลดการช่วยเหลือที่เร็วเกินไป เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ แก้ปัญหาด้วยตนเองมากขึ้น
ข้อที่ 6 ส่งเสริมการสื่อสารตามวัย
เด็กปฐมวัยอยู่ในช่วงวัยที่กำลังฝึกการสื่อสารผ่านการใช้คำพูด ดังนั้น ถ้าเด็กๆ สื่อสารไม่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น เขาอยากให้ช่วย แต่กลับใช้การร้องไห้ โวยวาย หรือ ใช้คำสั่ง แทน การพูดขอให้ช่วยดีๆ
ในกรณีที่เด็กร้องไห้ อาละวาดโวยวาย ผู้ใหญ่ควรรอเขาสงบให้เรารอเขาสงบ แล้วพูดถามเขาว่า “ลูกอยากให้ช่วยอะไร?” แล้วให้เขาตอบกลับมา จากนั้นเราค่อยช่วยเขา
ในกรณีที่เด็กใช้คำสั่ง ผู้ใหญ่สามารถพูดกับเขาได้ว่า “พ่อ/แม่ยินดีช่วยนะ แต่ให้ลูกพูดขอดีๆ
เช่น ช่วยเปิดหน่อยครับ ขออีกชิ้นครับ ขอหน่อยค่ะ เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ไม่ควรรู้ใจเด็กๆ จนเกินไป และทำสิ่งต่างๆ ให้พวกเขา โดยที่เด็กๆ ยังไม่สื่อสาร หรือ ขอให้เราความช่วยเหลือจากเราเลย การทำเช่นนี้จะส่งผลให้เด็กๆ ขาดโอกาสที่จะสื่อสารอย่างเหมาะสม และเคยชินกับการที่คนอื่นต้องรู้ใจเขา เมื่อเข้าสู่สังคม เด็กๆ อาจจะติดปัญหาเรื่อง การสื่อสารเพื่อบอกความต้องหรือปฏิเสธอย่างเหมาะสมกับผู้อื่น
ข้อที่ 7 เรียนรู้เรื่องอารมณ์จากคนในบ้าน
เด็กปฐมวัย สามารถเริ่มเรียนรู้อารมณ์ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ เศร้า มีความสุข ได้ตั้งแต่เขาเริ่มสื่อสาร และจะเรียนรู้อารมณ์ต่างๆ ที่ละเอียดขึ้นในวัยต่อๆ มา
ยิ่งเด็กได้เรียนรู้ว่า “ตนเองนั้นรู้สึกอย่างไรอยู่” จะนำไปสู่การเข้าใจตนเอง และการแสดงออกที่เหมาะสมมากขึ้น
ผู้ใหญ่สามารถสอนเรื่องอารมณ์ในเด็กผ่านการแสดงสีหน้า หรือเล่นบทบาทสมมติกับเขา
ในสภาวะที่เด็กๆ ต้องอยู่แต่บ้าน และเวลาออกไปเจอใครๆ ก็มักจะมีหน้ากากอนามัยบดบังครึ่งล่างของใบหน้าตลอด ทำให้เด็กๆ ขาดโอกาสในการสังเกตสีหน้าท่าทางผู้อื่น รวมทั้งการที่ตัวเองรู้สึกอย่างไรก็แสดงออกให้คนอื่นรับรู้ได้ลำบาก ดังนั้น พ่อแม่และคนที่บ้านเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จักอารมณ์ตัวเองและผู้อื่น การใช้เวลาเล่นกับลูก มองหน้าสบตา ยิ้ม หัวเราะ พูดคุยกัน ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้อารมณ์ตัวเองและคนที่พวกเขารัก
ข้อที่ 8 การทำตามกติกา เรียนรู้การรอคอยและผลัดกันเล่นกับคนในบ้าน
ครอบครัว คือ สังคมแรกที่เด็ก ๆ สามารถสอนเด็ก ๆ ในเรื่องของการทำตามกติกาและการรอคอย เวลาเล่นกับลูก พ่อแม่สามารถสอนเขาให้รู้จักการรอคอยให้ถึงตาตัวเอง และกติกาอย่างง่ายได้
เช่น กิจกรรมรับส่งบอล เด็กโยนให้พ่อ/แม่ โยนเสร็จต้องรอพ่อ/แม่ส่งกลับมาให้, กิจกรรมบอร์ดเกม เมื่อทอยลูกเต๋า ต้องเดินจากเลขที่ได้ ไม่ใช่เดินตามใจชอบ และเมื่อถึงตาคนอื่น ก็ต้องรู้จักรอคอย เมื่อผลออกมาว่า แพ้-ชนะ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับผลนั้น เป็นต้น
นอกจากเด็กๆ จะได้เรียนรู้เรื่องการทำตามกติกา และการรอคอยแล้ว พวกเขายังได้เรียนรู้การเข้าสังคมจากการเล่นกับพ่อแม่ พี่น้อง และผู้ใหญ่คนอื่นๆ ภายในบ้านอีกด้วย
ข้อสำคัญ ผู้ใหญ่ไม่ควรยอมให้เด็กๆ ชนะตลอด เพราะพวกเขาจะคิดว่าทุกคนจะต้องยอมเขา การเล่นเกมหรือเล่นกับลูก เราอาจจะผลัดกันนำ ผลัดกันตามตามบ้าง เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทั้งความรู้สึกของการเป็นผู้นำและผู้ตาม ที่สำคัญคือเกมมีกติกาไว้แบบไหน ให้เรายึดตามกติกาของเกมนั้น ไม่จำเป็นต้องตามใจเด็ก ๆ จะช่วยให้เขาเรียนรู้กติกาและการอยู่ร่วมกับผู้อื่นมากยิ่งขึ้น
ในวันที่เด็ก ๆ ก้าวขาออกจากบ้านเข้าสู่รั่วโรงเรียน วันนั้นหน้าที่ของพ่อแม่ คือ การสนับสนุนลูกและให้คำแนะนำยามที่ลูกต้องการ แม้จะไม่ได้ช่วยประคับประครองเขาตลอดเวลาเหมือนตอนวัยแบเบาะ แต่พ่อแม่จะอยู่เคียงข้างเพื่อให้ลูกมั่นใจได้ว่า ถ้าหากเขาล้มหรือเจออุปสรรคใด ๆ พ่อแม่จะรอเขาอยู่ที่บ้าน ให้เขาได้มาพักใจจากสิ่งที่เขาต้องเผชิญ เพื่อว่าในวันพรุ่งนี้เขาจะไปสู่กับมันใหม่
ดังนั้น บ้านจึงควรเป็นสถานที่ปลอดภัย อบอุ่น สบายใจ และสามารถเป็นที่พึ่งพิงให้เขาได้ ถ้าเด็ก ๆ กลับบ้านมา มีพ่อแม่ที่คอยรับฟังพวกเขา เด็ก ๆ จะอยากเล่าเรื่องราวให้เราฟัง ไม่ว่าเรื่องจะร้ายหรือดี พวกเขาจะกล้าเล่าให้เราฟัง เมื่อมีปัญหาหรือมีสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง คนที่บ้านพร้อมจะให้คำแนะนำหรือให้ความช่วยเหลือแก่เขา เช่น ในวันที่ลูกทำการบ้านไม่ได้ พ่อแม่ยินดีที่จะสอนเขา แม้ว่าพ่อแม่จะทำไม่ได้ ก็พร้อมจะหาคำตอบไปพร้อมกับลูก
สุดท้าย เด็กปฐมวัยทุกคน ควรได้รับความรักจากผู้เลี้ยงดูที่รักเขาอย่างปราศจากเงื่อนไข รักเขาในแบบที่เขาเป็น และเตรียมความพร้อมให้เขาออกไปเผชิญโลกที่แสนกว้างใหญ่ต่อไป