- ‘ครูสามเส้า’ ประกอบด้วย ครูโรงเรียน ครูพ่อแม่ และครูชุมชน เป็นหลักในการออกแบบการเรียนรู้ร่วมกับการใช้โครงงานฐานวิจัย ที่ไม่เพียงทลายกำแพงห้องเรียนยังทลายกำแพงการเรียนรู้เพื่อให้เด็กๆ ได้พัฒนาทักษะสมรรถนะของตนเองอย่างเต็มศักยภาพ
- จากปัญหาหลายอย่างในการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เช่น ผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลลูกหลาน, ผู้ปกครองช่วยสอนไม่ได้, ใช้เครื่องมือไม่เป็น, เด็กอยู่หน้าจอมากเกินไป ฯลฯ นำไปสู่การ PLC เพื่อจัดกระบวนการเรียนการสอนใหม่ ทั้งหลักสูตรฐานสมรรถนะ, ครูสามเส้า, โครงงานฐานวิจัย 14 ขั้นตอน และเครื่องมือสำคัญอย่าง ‘นาฬิกาชีวิต’
- ในการนำโครงงานฐานวิจัย (RBL) มาใช้ในสถานการณ์นี้ ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญ คือ การลงพื้นที่จริง ลงมือปฏิบัติจริง แต่เมื่อต้องเรียนออนไลน์เป้าหมายก็เปลี่ยนเป็นนักเรียนต้องได้ทักษะและสมรรถนะติดตัว โดยครูมีบทบาทออกแบบการเรียนรู้และเป็นโค้ช ผู้ปกครองเป็นคนร่วมคิด ร่วมทำ พาทำ
เมื่อเด็กยุคใหม่ไม่ได้เรียนรู้เพียงในห้องเรียน แต่โลกทั้งใบคือตำราเล่มใหญ่ที่เปิดกว้าง พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล โดยโรงเรียนอนุบาลสตูลจึงพัฒนาแนวคิดในการออกแบบการเรียนรู้ที่เรียกว่า “ครูสามเส้า” ประกอบด้วย ครูโรงเรียน ครูพ่อแม่และครูชุมชน เพื่อสนับสนุนให้เด็กๆ เป็นเจ้าของการเรียนรู้บนฐานทุนชีวิตและชุมชน
ในงานเสวนาออนไลน์ ‘ล็อกดาวน์‘ ไม่ล็อกการเรียนรู้ ครั้งที่ 3 บทเรียนครูสามเส้า กรณีศึกษา เครือข่ายโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดสตูล โรงเรียนอนุบาลสตูลได้ขยายความแนวคิด ‘ครูสามเส้า’ ที่เป็นหลักในการออกแบบการเรียนรู้ร่วมกับการใช้โครงงานฐานวิจัย ที่ไม่เพียงทลายกำแพงห้องเรียนยังทลายกำแพงการเรียนรู้เพื่อให้เด็กๆ ได้พัฒนาทักษะสมรรถนะของตนเองอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมกันนี้ยังได้แชร์ประสบการณ์การปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 ในบริบทของพื้นที่ด้วย
จากโครงงานฐานวิจัย สู่ ‘นาฬิกาชีวิต’
ในบริบทของจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา โรงเรียนอนุบาลสตูลได้จัดการเรียนรู้ผ่านโครงงานฐานวิจัย หรือ Research Based Learning ในลักษณะ 1 ห้องเรียน 1 โจทย์วิจัยมาอย่างต่อเนื่อง ทว่าเมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 การลงพื้นที่จริงในชุมชนมีข้อจำกัดมากมาย ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนและหาแนวทางออกแบบการเรียนรู้ใหม่ที่เหมาะสมกับสถานการณ์
ยงยุทธ ยืนยง ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล ชวนคิดว่า โดยปกติแล้วไม่ว่าจะโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรแกนกลาง 51 หรือหลักสูตรฐานสมรรถนะ นักเรียนมีเวลาเรียนจริงๆ ในระดับประถมศึกษาไม่เกินปีละ 1,200 ชั่วโมง ส่วนเวลาที่เหลืออีก 6,360 ชั่วโมง คำถามคือใครเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของเด็ก?
“ถ้าเราต้องการให้เด็กเรียนรู้ตลอดชีวิต เรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ตัวเลขนี้จะไม่ตอบโจทย์กับคำถามดังกล่าว สำหรับหลักสูตรของโรงเรียนอนุบาลสตูลเราแบ่งเป็น ภาคเช้าเรียนวิชาพื้นฐาน ภาคบ่ายวิชาบูรณาการ เราจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงานฐานวิจัย (RBL) แต่ในสถานการณ์โควิดเราเป็นออนไลน์ 100 เปอร์เซ็นต์ ลงพื้นที่ไม่ได้”
เมื่อเป็นการเรียนการสอนออนไลน์ จึงมีปัญหาหลายอย่าง เช่น ผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลลูกหลาน, ผู้ปกครองช่วยสอนไม่ได้, ใช้เครื่องมือไม่เป็น, เด็กอยู่หน้าจอมากเกินไป ฯลฯ จากปัญหาดังกล่าวสู่การ PLC เพื่อจัดกระบวนการเรียนการสอนใหม่ ทั้งหลักสูตรฐานสมรรถนะ, ครูสามเส้า, โครงงานฐานวิจัย 14 ขั้นตอน และเครื่องมือสำคัญอย่าง นาฬิกาชีวิต
ผอ.ยงยุทธ อธิบายว่า ‘นาฬิกาชีวิต’ คือตารางกิจวัตรประจำวันของนักเรียนใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเกิดจากการ PLC แล้วพบประเด็นว่าใน 24 ชั่วโมงเด็กๆ จะใช้อย่างไม่มีคุณภาพและไม่หลากหลาย ดังนั้นกิจวัตรประจำวันจึงเป็นสิ่งที่จะนำมาต่อยอดสู่การพัฒนาตัวเองของเด็กๆ
“นาฬิกาชีวิตทำให้นักเรียนวิเคราะห์กิจวัตรประจำวันของตัวเองตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอนอีกครั้งหนึ่งว่าวิถีชีวิตของตัวเองนั้นต้องทำอะไรบ้าง ขณะเดียวกันต้องวิเคราะห์กิจวัตรประจำวันของผู้ปกครองด้วย พอได้ตารางนาฬิกาชีวิตแล้ว นักเรียนจะมีนาฬิกาชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่เหมือนกันตามบริบทของตัวเอง”
สำหรับกระบวนการ 14 ขั้นตอนในโครงงานฐานวิจัย (RBL) เดิม หลายขั้นตอนทำไม่ได้ในสถานการณ์นี้ เช่น การลงพื้นที่ การรวมกลุ่มกันทำโครงงาน ผอ.ยงยุทธจึงออกแบบใหม่จากเดิม 1 ห้อง 1 โจทย์ เป็น 1 ห้องมากกว่า 1 โจทย์ จากนักเรียนหลายกลุ่ม โดยกระบวนการพัฒนาโจทย์ออกแบบให้เกี่ยวข้องกับตัวนักเรียน ครอบครัว และชุมชน เพื่อให้สามารถลงพื้นที่ทดลองและปฏิบัติได้
ทลายกำแพงห้องเรียน ทลายกำแพงการเรียนรู้สู่สมรรถนะ
ในมุมของครูที่ได้นำ RBL มาใช้ในสถานการณ์โควิด ‘ครูสวย’ นัฐญา ไหมฉิม ครูโรงเรียนอนุบาลสตูล อธิบายว่าเป้าหมายคือการลงพื้นที่จริง ลงมือปฏิบัติจริง แต่เมื่อต้องเรียนออนไลน์เป้าหมายก็เปลี่ยนเป็นนักเรียนต้องได้ทักษะและสมรรถนะติดตัว โดยมีผู้ปกครองเป็นส่วนหนึ่งของครูสามเส้า
“ครูอยากเพิ่มบทบาทให้ผู้ปกครอง และอยากให้ผู้ปกครองพานักเรียนเดินไปด้วยกัน ครูเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเข้ามาในห้องเรียนออนไลน์ได้ ยกตัวอย่างโจทย์ปลากัดของครอบครัวนักเรียนที่เลี้ยงปลากัด เป็นเรื่องใกล้ตัว ลักษณะของโจทย์คือลงมือปฏิบัติและเรียนร่วมกับครอบครัว เมื่อ 6 ครอบครัว ต้องเรียนด้วยกัน
ครูทลายกำแพงห้องเรียน ด้วยการที่เด็กดึงผู้ปกครอง ดึงเพื่อน ดึงเพื่อนต่างโรงเรียน หลังจากนั้นครูก็เพิ่มบทบาทให้ผู้ปกครอง ร่วมตั้งประเด็นระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง ผู้ปกครองจึงได้มาร่วมเป็นเจ้าของโจทย์”
ณัฐรี ทองชู ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนอนุบาลสตูล กล่าวถึงความรู้สึกหลังจากเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้ผ่านโครงงานฐานวิจัยของลูกว่า ดีใจและภูมิใจที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็ก
“จากเดิมที่ลูกเป็นเด็กนักเรียนหลังห้อง เขาไม่มีความมั่นใจ ตั้งแต่มาเรียนออนไลน์ ครูมีอะไรก็เรียกถามเขา เหมือนพอเขาได้ตอบคำถาม ได้เรียนรู้ไป เขาก็ไม่กลัวค่ะ เขาอยากจะเรียน เขาสนุก แม่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นลูกมีความสุขก็ดีใจค่ะ ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก ตื่นมาตอนเช้าก็เห็นเขาอยากเรียน คนเป็นแม่ก็ภูมิใจ เห็นลูกอยากเรียนหนังสือ
แม่เองก็ช่วยลูกทุกอย่างค่ะ ร่วมทำกิจกรรมกับลูก ถามลูกทุกวันว่าวันนี้มีอะไรให้แม่ช่วยได้ไหม ครูสั่งงานอะไรที่คุณแม่ช่วยได้ก็จะช่วยทุกอย่างเลยค่ะ ถ้าคุณแม่ไม่เข้าใจก็จะปรึกษาคุณครูตลอดค่ะ ตอนที่ยังไม่มีโควิด ลูกไปลงพื้นที่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเมล็ดกาแฟ คุณแม่ก็ไปคอย อยากเห็นลูกทำ เขาก็มาถามว่าเมล็ดกาแฟเป็นอย่างไร ก็บอกลูกว่าต้นเป็นแบบนี้ ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม เขาเอาเมล็ดมาคั่ว คือเอาความรู้ของคุณแม่ที่เคยเห็นมาสอนเขา คุยกันว่าเหมือนกันไหมที่ลูกไปเรียน”
สิ่งที่ผู้ปกครองกล่าวมา ครูสวยอธิบายว่าตรงกับบทบาทของ ‘ครูสามเส้า’ ที่วางกันไว้ คือ ครูมีบทบาทออกแบบการเรียนรู้และเป็นโค้ช, ผู้ปกครองเป็นคนร่วมคิด ร่วมทำ พาทำ และนักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติและจัดการตัวเอง
ทั้งนี้ ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ประธานคณะกรรมการด้านการสื่อสารและการมีส่วนร่วมในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ขยายความถึงความสำคัญของกระบวนการโครงงานฐานวิจัย (RBL) ว่า
“จะเห็นเลยว่าโครงงานเดิมๆ ที่เราทำมา เราจะเน้นเรื่อง Active Learning คือให้เด็กลุกขึ้นมารับผิดชอบโครงงานของตัวเอง แต่สำหรับโครงงานฐานวิจัย จะมีกระบวนการวิทยาศาสตร์เข้ามาตลอดเส้นทาง เข้ามาตั้งแต่เรื่องการให้เด็กสืบค้นความรู้ด้วยตัวเอง เพื่อให้ได้ความรู้ Input กับการทำงาน เด็กต้องตั้งคำถามก่อนว่าความรู้อะไรที่เขาไม่มี แล้วเขาจะต้องไปหาความรู้จากไหน มีการเก็บข้อมูล ข้อมูลนั้นเป็นตัวเลข เป็นวิทยาศาสตร์ มีการเฝ้าสังเกต แล้วเอาข้อมูลที่เก็บได้ตลอดทางมาวิเคราะห์ เอาข้อมูลที่วิเคราะห์กลับมาสังเคราะห์ได้เป็นชุดความรู้ใหม่ของเด็กเอง สุดท้ายแล้วอาจจะได้ผลที่ต้องการหรืออาจไม่ได้เลย นั่นคือ Output
กระบวนการ RBL ความสำคัญอยู่ที่ตลอดเส้นทาง เด็กมีสมรรถนะในการไปหาความรู้ มีสมรรถนะในการเก็บข้อมูล มีสมรรถนะในการสังเกต มีสมรรถนะในการวิเคราะห์ผล และมีสมรรถนะในการสังเคราะห์ข้อมูล ความสามารถแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นโจทย์วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคม เศรษฐศาสตร์ เด็กเอาสมรรถนะนี้ไปใช้ได้หมด นี่คือความหมายของการเรียนรู้จากโครงงานฐานวิจัย”
ชีวิตเด็กคือตัวตั้งในการออกแบบการเรียนรู้
ในวันที่ฐานการเรียนรู้ย้ายจากโรงเรียนไปที่บ้าน การปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนเริ่มที่โรงเรียนอย่างเดียวคงไม่ได้ แต่ผู้ปกครองและชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมสร้างการเรียนรู้ให้เป็นหนึ่งเดียว
สุทธิ สายสุนีย์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล และ คณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดสตูล กล่าวว่า เป็นเวลากว่า 10 ปีที่ตนย้ำมาเสมอว่าสัดส่วนการสร้างการเรียนรู้ของเด็ก ร้อยละ 40 แรกเกิดขึ้นที่บ้าน ร้อยละ 30 เป็นการเรียนรู้ในโรงเรียน และร้อยละ 30 ที่เหลือเป็นการเรียนรู้จากภายนอก
เป้าหมายร่วมของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล คือ การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่ผู้เรียนปฏิบัติเองและสร้างการเรียนรู้ส่วนบุคคลได้ เพื่อให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าในตนเอง ครูสร้าง Learning Space หรือ พื้นที่การเรียนรู้ได้จากทุนในชุมชน ลดอำนาจและสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างผู้อำนวยการ ครู เด็ก ผู้ปกครอง และชุมชน ทำให้ทุกพื้นที่กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ สร้างสาระการเรียนที่ใช้ชีวิตเป็นฐานแทนการเรียน 8 กลุ่มสาระวิชาที่เห็นผลได้อย่างชัดเจนในสถานการณ์ตอนนี้ว่าเด็กนำมาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้
หลักสูตร ‘ครูสามเส้า’ เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่า ครูเพียงคนเดียวไม่สามารถทำให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจาก ครูในโรงเรียน ครูพ่อแม่ และครูในชุมชน เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้อยู่ในวิถีของเด็ก ประเด็นสำคัญ คือ คนในพื้นที่ควรรู้จักตัวเองก่อนไปเรียนรู้สิ่งอื่น และโรงเรียนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบการศึกษา เป็นกลไกการจัดการหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระบบการศึกษาต่อไป
“ที่ผ่านมาการศึกษาทำลายศักยภาพของเด็กมามากแล้ว จากการเอาความแตกต่างมาทำให้เป็นความเหมือน เราฝากการศึกษาไว้กับเวลา 11% ในโรงเรียน เราจะฝากชีวิตเด็กไว้กับเวลาแค่ 11% นี้จริงๆ หรือ ทั้งที่สาระชีวิตเป็นสาระที่ทิ้งไม่ได้ เอาชีวิตมาเป็นตัวตั้งแล้วออกแบบการเรียนจากตรงนั้น
เด็กคนหนึ่งไปอยู่ที่ไหนบทบาทของตัวเองก็เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ อยู่บ้านเป็นลูก อยู่โรงเรียนเป็นนักเรียน ขึ้นรถโดยสารก็เป็นผู้โดยสาร ไปตลาดก็เป็นผู้จ่ายตลาด เด็กควรรู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้ถูกที่ถูกทาง บทบาทของโรงเรียนเปลี่ยนไปแล้ว โรงเรียนควรเป็นที่ปรึกษา ร่วมออกแบบการเรียนรู้กับครอบครัวและชุมชน จะไปจัดการเองทั้งหมดไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร เมื่อมีตัวตน มีพื้นที่ มีกิจกรรม การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา” สุทธิ สายสุนีย์ กล่าวทิ้งท้าย