- ความสัมพันธ์ของ ‘ผู้ที่ถูกควบคุม’ และ ‘ผู้ที่ควบคุม’ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของลูกและพ่อแม่ ในกรณีที่ฝ่ายหลังปกป้องฝ่ายแรกมากไปกระทั่งกลายเป็นควบคุมบงการสุดขีด ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขายังไม่ได้สัมผัสและทำงานกับความเปราะภายในตนเอง เล่าเรื่องผ่านความสัมพันธ์ของอูเธอร์ เพนดรากอน และ มอร์กานา ตามเนื้อเรื่องจากละครโทรทัศน์ของสหราชอาณาจักรชื่อ เมอร์ลิน (Merlin)
- “สำหรับความสัมพันธ์ในบ้าน อูเธอร์ เพนดรากอน อาจเป็นภาพแทนผู้ปกครองที่พยายามปกป้องลูกหรือคนที่เขารักอย่างสุดโต่ง เขามองว่าโลกภายนอกเต็มไปด้วยภยันอันตราย แต่เขาไม่เห็นว่าด้วยวิธีการเช่นนั้นตัวเองก็สามารถเป็นโทษกับคนใกล้ตัวได้มากเช่นกัน”
“เจ้าไม่รู้ความหมายของการเป็นราชาหรอก ชะตากรรมของคาร์เมลอตอยู่ในกำมือข้า มันเป็นความรับผิดชอบของข้าในการปกป้องผู้คนในดินแดนนี้จากศัตรู” — กษัตริย์อูเธอร์พูดกับมอร์กานา ลูกสาวของเขา
“ข้าต้องการให้ท่านทุกข์ทรมานเหมือนที่ข้ารู้สึก จะได้รู้ว่าความโดดเดี่ยวและหวาดกลัวเป็นเช่นไร” — ราชินีมอร์กานา พูดกับอูเธอร์
ความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายถูกควบคุมอย่างหนัก กระทั่งต้องกลัวที่จะสัมผัสกับสัญชาตญาณซึ่งปรกติสิ่งมีชีวิตใช้มันปกป้องตัวเองได้ หวั่นเกรงที่จะรู้สึกตามจริงและต้องกดมันลงไป เลยไปถึงการถูกปิดกั้นศักยภาพ เป็นความสัมพันธ์ที่ชวนอึดอัด มิใช่เพียงฝ่ายซึ่งถูกควบคุมเท่านั้นที่จะรู้สึกดั่งถูกขัง ผู้ที่ต้องการควบคุมอย่างหนักก็กำลังติดกรงบางอย่างเช่นกัน กระนั้น ในที่สุดธรรมชาติก็จะส่งเสียงเพรียกให้เราตื่นขึ้น ให้ความเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ของทุกฝ่ายค่อยๆ คลี่เผยออกมา
ขอเล่าความสัมพันธ์ลักษณะนี้ ผ่านตัวละครสองตัว คือ อูเธอร์ เพนดรากอน และ มอร์กานา โดยเน้นตามเนื้อเรื่องจากละครโทรทัศน์ของสหราชอาณาจักรชื่อ เมอร์ลิน (Merlin) เนื้อเรื่องดัดแปลงมาจากตำนานอันรู้จักกันในนาม The Matter of Britain ซึ่งมีอาร์เธอร์ บุตรของ อูเธอร์ เพนดรากอน เป็นศูนย์กลางของเรื่องราว ทั้งนี้ นับตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 11 เรื่องราวเกี่ยวกับราชสำนักของอาร์เธอร์และก็ได้รับความนิยมในเวลส์แล้ว ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับ อูเธอร์ ผู้เป็นบิดานั้น กล่าวกันว่าพระองค์ปรากฏอยู่เพียงประปรายในบทกวีโบราณในภาษาเวลช์ นอกจากนี้ ตัวละครมอร์กานาหรือมอร์แกน เลอเฟย์ ก็ไม่ได้เป็นตัวละครหลักในวรรณกรรมอังกฤษช่วงปลายศตวรรษที่ 12 จนถึงประมาณปลายศตวรรษที่ 15 กระนั้นไม่ว่าวรรณกรรมในเวอร์ชั่นไหนๆ จะพูดถึงเธอมากน้อยเพียงใด เห็นด้วยกับ Danielle Gurevitch ว่า ด้วยพฤติกรรมและเวทย์มนตร์ของเธอที่ดูเป็นอันตรายต่อระบบระเบียบของสังคมชายเป็นใหญ่ เธอก็ยังคงเป็นเป็นเสน่ห์ของเรื่องเล่าอย่างยิ่ง
อูเธอร์ เพนดรากอน: ราชาผู้ไม่กล้าเปราะบาง
อูเธอร์ เพนดรากอน เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรคาเมลอต เขาเป็นพ่อของอาร์เธอร์ ซึ่งภายหลังก็คือกษัตริย์บริทิชผู้เรืองนามในตำนานตามวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ในยุคกลาง อูเธอร์ปกครองอาณาจักรด้วยความเด็ดขาด แต่ที่เข้าขั้นเหี้ยมโหดคือการจัดการกับเวทย์มนตร์ เพราะเขาเชื่ออย่างมากว่าเวทย์มนตร์ทั้งปวงล้วนชั่วร้าย ใครก็ตามที่บังอาจใช้เวทย์มนตร์จึงต้องถูกประหารชีวิต
กลายเป็นว่าคนที่ใช้เวทย์มนตร์ในทางดีก็ซวยไปด้วย
อูเธอร์เชื่ออย่างแน่นหนักว่าเขาทำทุกอย่างไปเพื่อปกป้องอาณาประชาราษฎร์จากความชั่วร้าย แต่ไปๆ มาๆ เขาก็ร้ายกับคนอื่นเสียเอง อีกทั้งที่แท้แล้วในอดีต อูเธอร์เองนั่นแหละที่เป็นคนขอร้องให้แม่มดนิมเวย์ – หนึ่งในนักบวชหญิงชั้นสูงแห่งศาสนาโบราณ – ช่วยใช้เวทย์มนตร์ทำให้เขาได้รัชทายาท ซึ่งก็คืออาร์เธอร์ แต่ทว่ากฎของศาสนาโบราณเน้นเรื่องความสมดุล ในการให้กำเนิดชีวิตย่อมต้องมีชีวิตที่ถูกพรากเอาไป ดังนั้น เมื่ออีเกรน ภรรยาของอูเธอร์ให้กำเนิดอาร์เธอร์แล้ว ก็ได้ตายจากไปตามกฎนั้น
อูเธอร์ไม่ยอมรับว่าเขาเป็นหนึ่งในเหตุแห่งความสูญเสียนี้ และกลับโยนบาปไปยังทุกคนที่ใช้เวทย์มนตร์ เขากล่าวหาว่านิมเวย์ทรยศและเนรเทศนิมเวย์ไปที่อื่น เขาสั่งกวาดล้างพ่อมดหมอผีนับร้อย ไม่ว่าจะใช้เวทย์มนตร์ในทางร้ายดีอย่างไรรวมถึงผู้ต้องสงสัยทั้งมวล ล้วนต้องถูกประหัตประหารทั้งสิ้น เขาดูหัวร้อนและรุนแรง แต่เขาก็เป็นพ่อที่ปกป้องลูกด้วยรักสุดหัวใจและพร้อมแลกด้วยชีวิตของตัวเอง
มอร์กานา: ตัดขาดกับแก่นสารของตัวเองเพื่อรักษาความสัมพันธ์
นอกจากอาร์เธอร์แล้ว อูเธอร์มีลูกอีกคนชื่อมอร์กานา ลูกสาวนอกสมรส ซึ่งเกิดจากการที่เขาไปเป็นชู้กับวิเวียน ภรรยาของเพื่อนรักของเขา เซอร์กอร์ลอส (Gorlois) มอร์กานาเกิดและโตที่บ้านของกอร์ลอส ทว่าภายหลังจากที่กอร์ลอสได้ตายลงเมื่อมอร์กานาอายุประมาณ 10 ขวบ เธอย้ายเข้าราชสำนักมาอยู่ในการอุปการะเลี้ยงดูของอูเธอร์ โดยที่เกือบตลอดชีวิต เธอเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นลูกจริงๆ ของอูเธอร์ เพราะเขาเลือกที่จะไม่บอกเธอ
มอร์กานาเติบโตขึ้นเป็นเจ้าหญิงผู้มีจิตใจดีงาม ทั้งยังมีความกล้าหาญอย่างนักรบ หลายครั้งเธอท้าทายและขัดขืนนโยบายของพ่อตัวเองเมื่อเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ซึ่งครั้งหนึ่งก็ทำให้เธอถูกขังในคุกใต้ดิน นอกจากนี้เธอยังมีเวทย์มนตร์และเห็นนิมิตในความฝันอันสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ ตอนแรกเธอยังไม่รับรู้เวทย์ที่มีมากนัก แต่อยู่มาวันหนึ่งเธอก็จุดเพลิงขึ้นในห้องอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอรุดไปหาหมอหลวงด้วยความหวาดกลัวว่าเธอจะมีเวทย์มนตร์ แต่หมอหลวงโกหกว่าเธอไม่ได้มีเวทย์มนตร์อย่างที่เธอคิดเพื่อปกป้องให้เธอปลอดภัย เมื่อเธอทราบความจริงในภายหลัง เธอต้องแอบซ่อนไว้มันอย่างหวาดกลัว
ในขณะเดียวกันเธอก็ได้เป็นสักขีพยานการประหารพ่อของสาวรับใช้ของเธอด้วยข้อหาว่าเป็นพ่อมดอย่างอยุติธรรม ความเห็นแย้งกลายเป็นความชิงชังอูเธอร์มากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อผสานกับเหตุการณ์ชวนสับสนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เธอก็ค่อยๆ ถูกด้านมืดครอบงำ กระทั่งกลายเป็นคนอาฆาต เย็นชา และเหี้ยมโหด
ครั้งหนึ่ง มอร์กานาโดนยาพิษ พี่สาวร่วมมารดาซึ่งเป็นนักรบที่เก่งกล้าและเป็นหนึ่งในนักบวชหญิงชั้นสูงแห่งศาสนาโบราณ จึงพาเธอหายตัวไปจากปราสาทของอูเธอร์เพื่อไปรักษาตัวที่อื่น อูเธอร์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่เพียงว่าลูกสาวหายตัวไปและตามหาเธออย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ไม่ว่าต้องสูญเสียทหารจากการถูกลอบโจมตีไปเพียงใด ทว่าสุดท้ายมอร์กานาก็กลับมาพร้อมกับแผนชั่วร้าย เธอปฏิบัติการหลายอย่างจนได้สถานปนาตัวเองขึ้นเป็นราชินีแห่งอาณาจักรคาเมล็อต และจับพ่อของเธอขังคุก เธอบีบให้เหล่าอัศวินสวามิภักดิ์แต่พวกเขาไม่ยอม เธอจึงสั่งให้กองกำลังสังหารชาวนาซึ่งเป็นการเอาผู้บริสุทธิ์มาขู่
แล้วเธอก็ได้กลายเป็นความมืดโดยสมบูรณ์เมื่อใช้เวทย์มนตร์ทำให้พ่อของเธอถึงกาลมรณะ
เรื่องมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
อูเธอร์ แค่ใครคนหนึ่งที่ลืมดูแลด้านอ่อนนุ่มแห่งโลกภายใน
อูเธอร์ทำให้นึกถึงคนลักษณะที่มีความเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ เขาชอบทำสิ่งต่างๆ ด้วยความเข้มข้น เขาไม่ชอบให้ใครมาสั่งว่าต้องทำอะไรในขณะที่ตนเองชอบควบคุมสิ่งแวดล้อม เขาเชื่อว่าโลกนี้เต็มไปด้วยคนไม่ดี เขาเองจึงต้องแข็งแกร่งเพื่อจะจัดการกับภัยที่อาจคุกคาม เขามองเห็นคนที่มีพลังอำนาจและระแวดระวังว่าใครกำลังจะมาบงการเขาหรือทรยศเขาได้ อีกทั้งเขาก็อยากปกป้องผู้อื่นจากสิ่งเหล่านี้ด้วย เมื่อมีอะไรไม่น่าพอใจเกิดขึ้น เขาจะมองหาโดยอัตโนมัติว่าใครต้องรับผิดในเรื่องนี้ เพื่อที่เขาจะได้จัดการเพราะเขาเป็นนักลงมือปฏิบัติ ภายนอกเขาดูแข็งแกร่ง แข็งกร้าว และแน่ว่าไม่พร้อมจะมองเห็นความเปราะบางที่อยู่ภายใน เขามักแปลงความรู้สึกต่างๆ เป็นความโกรธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเศร้าโศกหรืออะไรก็ตามที่ทำให้รู้สึกเปราะบาง เขาจึงมักเข้าไปปกป้องผู้คนที่พวกเขา “คิดว่า” อ่อนแอ ซึ่งอีกนัยก็หนึ่งคือการฉายความเปราะบางภายในที่ไม่อยากรับรู้ไปที่สิ่งอื่นภายนอก และเป็นการสัมผัสด้านนั้นของตนเองผ่านคนอื่นนั่นเอง
หากเขาเผยความเปราะบางให้ผู้ใดเห็น และความเชื่อใจของเขา ‘ถูกทรยศ’ (เป็นการตีความในแบบของเขาเอง) แวบแรกในความนึกคิดคือ เขาต้องแก้แค้นเอาคืนให้ถึงที่สุด
ราวกับว่าเขามีป้อมปราการเพชรที่ไม่มีผู้ใดทะลวงเข้ามาได้ ผู้ที่อยู่ภายนอกป้อมนั้นเป็นคนไม่สำคัญ ไม่อย่างนั้นก็อาจเป็นภัยคุกคามไปเลย ทว่ากับคนที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในอาณาจักร เขาก็พร้อมจะคุ้มครองดูแลด้วยชีวิตของเขาเอง กระนั้น เมื่อเขาละเลยที่จะมองเห็นด้านอ่อนนุ่มในตนเอง เขาก็มักจะอยากปกป้องคนในจนเกินพอดี การปกป้องจึงมักอยู่คู่กับการปกครอง และกลายร่างเป็นการบงการผู้อื่นไปอย่างสุดโต่งโดยไม่รู้ตัว
แต่คนเก่งอย่างเขาก็มีศักยภาพที่จะเรียนรู้ว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่เขาปักใจเชื่อจะเป็นความจริงและไม่เสมอไปที่ทุกอย่างจะเป็นอันตรายคุกคามที่ต้องป้องปกคนอื่นไม่ให้คนอื่นสัมผัส
แค่คนที่ห่วงใย ไฉนกลายเป็นผู้กลืนกินพลังชีวิต?
ในความสัมพันธ์ในบ้าน อูเธอร์ เพนดรากอน อาจเป็นภาพแทนผู้ปกครองที่พยายามปกป้องลูกหรือคนที่เขารักอย่างสุดโต่ง เขามองว่าโลกภายนอกเต็มไปด้วยภยันอันตรายแต่เขาไม่เห็นว่าตัวเองก็สามารถเป็นโทษกับคนใกล้ตัวได้เช่นกัน
หากคนที่ถูกควบคุมเป็นลูก เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าการทำเช่นนี้สามารถปิดกั้นการพัฒนาศักยภาพของลูกไปพร้อมกับสร้างความขมขื่นให้ลูกด้วย เพราะศักยภาพหลายๆ อย่างที่ลูกคนนั้นมี กลับไม่อาจพัฒนาอย่างเต็มที่และไม่ได้แบ่งปันมันกับโลก หากคนที่ถูกควบคุมเป็นคู่รัก ก็ไม่ยากที่อีกฝ่ายจะรู้สึกอึดอัดและเป็นรอง
ตัวอย่าง ผู้ปกครองบางคนอาจรู้สึกว่าอะไรในโลกภายนอกก็ดูเป็นอันตรายไปหมด กลัวลูกเป็นอันตรายระคนกับกลัวว่าลูกตีจากไป จึงเลี้ยงดูแบบปกป้องเกินควร เขาอาจไม่ยอมให้ลูกออกไปอยู่ที่อื่นนอกบ้านเลยจนตลอดชีวิต หรือไม่ปล่อยให้แก้ปัญหาต่างๆ ในรูปแบบของตัวลูกเอง หรือไม่ยอมให้ลูกสัมผัสกับเล่ห์เหลี่ยมและด้านมืดอื่นๆ ของมนุษย์ด้วยตัวเขาเอง ลูกจึงกลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองศักยภาพน้อยกว่าคนอื่น และรู้สึกว่าต้องพึ่งพิงคนในบ้านอย่างไม่กล้าเป็นเอกเทศกับแทบทุกเรื่อง บ้างก็มีอาการซึมเศร้า ซึ่งน่าสนใจที่คำว่าซึมเศร้า depressed สามารถแปล depress ว่า ‘กดลงไป’ และทำให้จมลง นั่นคือ มีสัญชาตญาณและอารมณ์ต่างๆ เช่น ความโกรธที่เป็นประโยชน์สำหรับการรักษาอาณาเขตของคนๆ นั้นที่ต้องกดเอาไว้
กล่าวโดยย่อ ลูกกดความเป็นตัวเองลงไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับผู้ปกครองที่บ้าน และก็อาจกดตัวเองแบบนั้นเวลาสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย (กล่าวละเอียดในบทที่ 2)
แต่เรื่องนี้ไม่ได้ยกตัวอย่างขึ้นมาให้เราต้องเที่ยวโทษใครต่อใครว่าเขาทำให้เราขมขื่นหรือไม่พัฒนา โดยเฉพาะถ้าคนที่เขาควบคุมเราเป็นพ่อแม่ รู้ไว้เลยว่า พวกเขามักจะทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว เพียงแต่พวกเขาก็มีสถานการณ์ของตัวเองที่ต้องรับมือไปด้วย พวกเขาอาจอยู่ในช่วงที่เครียดหรือมีบาดแผลของตัวเองที่ยังไม่ได้ทำงานกับมัน เช่น ลูกของเขาอาจเคยเฉียดตายมา หรือลูกเคยร่างกายอ่อนแอ เขาอาจจะเจ็บปวดมากเกินไปเมื่อเห็นลูกเจ็บปวด และไม่สามารถทนความรู้สึกว่าจะต้องสูญเสียได้อีก จึงปกป้องลูกเกินเหตุเพียงเพราะรักมากนั่นเอง
ในรูปแบบความสัมพันธ์ลักษณะข้างต้น ฝ่ายที่ถูกควบคุมมักจะเริ่มด้วยการเก็บอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างและยอมสูญเสียตัวเองเพื่อรักษาความสัมพันธ์ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งในตัวเขาก็ย่อมพยายามหาทางสำแดงตัวออกมา บางจังหวะเขาอาจระเบิดความโกรธที่เก็บกดไว้แล้วต่อว่าอีกฝ่าย (คือมีจังหวะเปลี่ยนวิธีรับมือจากสยบยอมสุดขีดไปเป็นการกล่าวโทษโจมตี และพลิกบทเป็นคนควบคุมแทน คล้ายๆ มอร์กานาในตอนท้าย) หรือไม่เช่นนั้น เขาอาจตัดความสัมพันธ์กับฝ่ายที่ตีกรอบควบคุมเขาอย่างแน่นหนาไปในที่สุด เพื่อให้ต้นไม้ที่กำลังขยายขอบเขตมีพื้นที่ได้เติบโตไปเป็นร่มเงาให้ผู้อื่นได้บ้าง
แต่ทางออกตรงกลางระหว่างการสยบยอมโดยสิ้นเชิงกับการตัดสัมพันธ์ สามารถเป็นการทำงานกับพลังงานที่กดไว้ หนึ่งในการทำงานกับมันคือ การทำงานกับภาพสัญลักษณ์ในศิลปะ ในตำนานและในความฝัน ซึ่งน่าสนใจว่าหลายครั้งก็สอดพ้องต้องกันกับอาการเจ็บป่วยทางร่างกายด้วย
มันสามารถทำให้เราค่อยๆ สัมผัสพลังงานลักษณะต่างๆ ที่เก็บกดไว้ในกรุแห่งจิตไร้สำนึก ถึงจุดหนึ่งทุกฝ่ายต้องเติบโตพ้นไปจากกรอบเดิมของตัวเอง ฝ่ายที่ถูกควบคุมมีศักยภาพที่จะเห็นด้านที่ทรงพลังของตัวเอง ซึ่งสามารถนำมาใช้ปกป้องคนที่เคยปกป้องเรา เลยไปถึงสามารถเข้าใจความเปราะบางหรือรอยแผลของผู้ควบคุมเรา ส่วนผู้ชอบควบคุมก็มีศักยภาพในการตระหนักรู้ถึงความอ่อนโยนและเปราะบางของตนเอง อีกทั้งยอมให้ผู้อื่นปกป้องดูแลบ้าง
หากยินดีเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายก็คือผู้กู้สมดุลของความสัมพันธ์ให้กันและกัน และไม่ต้องจากกันไป