- ความหวัง (Hope) คือ การที่เราพยายามจะเชื่อและพยายามที่จะมองตัวเองว่ายังคงมีวิธีหรือมีหนทางที่จะเกิดสิ่งที่ดีๆ ในชีวิตได้นะ และเรายังพอรู้สึกว่า ฉันน่าจะไปถึงทางที่แสงสาดส่องได้ แม้ว่าตอนนี้ฉันจะอยู่ในจุดที่มืดมิดก็ตาม
- ในวัยรุ่น แม้จะเป็นวัยแห่งการเติมเชื้อไฟความหวังความฝัน แต่ถ้าพวกเขาเจอสถานการณ์ เช่น แม้พยายามเท่าไรๆ ก็ไม่เคยเรียนได้ดีเสียที พยายามเท่าไรพ่อแม่ก็ไม่เคยชมเสียที พยายามเท่าไรๆ ก็ไม่เคยเจอความรักดีๆ สักที หรือพยายามเท่าไร ผู้ใหญ่ก็ไม่ยอมเข้าใจอยู่ดี สุดท้ายความหวัง อาจแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังได้
- บทความนี้จะช่วยให้เราเข้าใจ ความหวัง มากขึ้น พร้อมๆ กับวิธีหล่อเลี้ยงเติมเชื้อแห่งความหวังให้ยังอยู่ในตัวเรา
“อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย น้ำตาที่ไหลย่อมมีวันจางหาย หากไม่รู้จักเจ็บปวด ก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ”
ท่อนนี้เป็นท่อนโปรดของนีทเลยในเวลาที่นีทกลับไปฟังเพลงฤดูที่แตกต่าง ของพี่บอย โกสิยพงษ์
ต้องบอกกว่าเวลาที่นีทย้อนไปฟังเพลงนี้ แปลว่ามันคือช่วงเวลาที่ตัวนีทกำลังรู้สึกหมดหวัง มองไม่เห็นทางข้างหน้า แต่พอได้ฟังเพลงนี้ และโดยเฉพาะท่อนนี้ มันทำให้นีทรู้สึก ‘ฮึด’ ขึ้นมา มันเหมือน… “เอาล่ะ เรามาลองอีกสักตั้งดู เชื่อมั่นในความหวังดู”
เกริ่นมาตั้งนาน วันนี้เรื่องที่นีทอยากพูดถึงก็คือ ‘ความหวัง’ ค่ะ
นีทไม่แน่ใจว่าทุกคนรู้หรือไม่ว่าวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่ต้องการพลังของความหวัง เพราะบางทีน้องๆ จะต้องเจอกับความเจ็บปวดและความผิดหวัง เรื่องที่มักมาคุยกับนีทบ่อยๆ ก็เช่น
“พวกหนูไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ให้ผู้ใหญ่เข้าใจในตัวพวกหนู”
“พี่คะ/ครับ พวกเรายังสามารถหวังกับอนาคตที่ดีๆ ได้อยู่ไหม”
“พี่คะ หนูไม่หวังแล้วว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถ ตอน ม.ต้น ก็สอบเข้าโรงเรียนดังๆ ไม่ได้ พอ ม.ปลาย พยายามอีกที ก็เข้าโรงเรียนดังที่พ่อแม่คาดหวังไม่ได้ แล้วเวลาสอบเข้าไม่ได้พ่อแม่ก็มักจะต่อว่าหนู”
“ผมสิ้นหวังกับความรักแล้ว เท่าที่ผ่านมาผมยังไม่เคยเจอความรักที่ดีๆ เลยสักครั้ง ผมมักโดนเขาทิ้งตลอดเวลา ผมเหนื่อย และเจ็บต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว”
คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่มันเป็นคำถามจากการไปเจอกับประสบการณ์ที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันน่าสิ้นหวัง จนเขาไม่อยากหวังกับมันแล้ว แต่ในฐานะของพี่สาวและนักจิตวิทยาก็ยังอยากจะให้น้องๆ หวังกันต่อไปมากกว่าสิ้นหวังกับมัน
ความสิ้นหวังกับความหวังมันเป็นแค่เส้นบางๆ กั้นเอาไว้ แล้วบางทีเราก้าวเดินจากจุดแห่งการมีความหวังไปสู่ความสิ้นหวังโดยไม่รู้ตัว
สมัยที่พี่นีทเรียนวิชาจิตวิทยา เคยได้อ่านการทดลองของมาร์ติน เซลิกแมน (Martin Seligman) และ สตีฟ (Steve Maier) ผู้บุกเบิกทฤษฎีและทำการทดลองเกี่ยวกับความสิ้นหวังอันเกิดจากการเรียนรู้ในสุนัข โดยทั้งคู่ได้ทดลองปรากฎการณ์ที่เรียกว่า ‘ความสิ้นหวัง’ ผ่านการเอาน้องหมาใส่ในกล่องที่มีกระแสไฟฟ้า ถ้าเขาไม่กระโดดออกมาก็จะโดนช็อตไฟฟ้านะ
ตอนแรกที่ก็คิดนะว่า แล้วการทดลองนี้มันจะเข้าสู่เรื่องสิ้นหวังได้อย่างไรนะ ในเมื่อกล่องที่ใส่น้องหมาก็เปิดอยู่ แค่กระโดดออกมาเอง เท่านี้ก็ไม่โดนช็อตไฟฟ้าแล้ว แต่มันมีน้องหมากลุ่มหนึ่งค่ะ ที่ก่อนจะเอามาใส่ในกล่อง น้องหมาเหล่านั้นถูกช็อตไฟฟ้าทุกครั้งที่น้องกระโดด วิ่ง หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามก็จะถูกโดนช็อตไฟฟ้าหมด
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องหมากลุ่มนี้คือ ต่อให้อยู่ในกล่องที่มีไฟฟ้าอยู่ น้องหมาก็ไม่รู้สึกอยากจะสู้หรือพยายามต่อไปแล้ว เพราะน้องอาจรู้สึกว่าต่อให้พยายามอย่างไร ก็จะจบที่การโดนช็อตอยู่ดี เซลิกแมนกับไมเออร์เลยสรุปสิ่งนี้ว่าคือความสิ้นหวัง จากความเชื่อว่า เราไม่สามารถหนีออกมาจากสถานการณ์ตรงนี้ได้ หรือทำให้ดีขึ้นได้ (เรายอมแพ้แล้วแม้ยังไม่เริ่ม เพราะไม่รู้ว่าฉันจะหวังกับอะไรดี)
แม้วัยรุ่นไม่ถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแบบนี้ แต่เขาก็เจอลูปวงจรที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนน้องหมาได้อยู่ค่ะ
เช่น แม้พยายามเท่าไรๆ ก็ไม่เคยเรียนได้ดีเสียที พยายามเท่าไรพ่อแม่ก็ไม่เคยชมเสียที พยายามเท่าไรๆ ก็ไม่เคยเจอความรักดีๆ สักที หรือพยายามเท่าไร ผู้ใหญ่ก็ไม่ยอมเข้าใจอยู่ดี
คำว่า “พยายามเท่าไรๆ ก็ไม่ได้เสียที” ก็เหมือนกับการที่พวกเราถูกช็อตไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา เราจึงสิ้นหวังกันไปในท้ายที่สุด
แต่นีทยังเชื่อว่าความสิ้นหวังก่อเกิดความหวังได้นะ เพราะแม้ช่วงต้นๆ คุณนักจิตวิทยาทั้งคู่จะทำเรื่องดาร์คๆ อย่างความสิ้นหวัง แต่คุณเขาก็ยังพูดถึงวิธีการสร้างความหวังไว้เช่นกันค่ะ
ดังนั้น เราลองมาดูกันไหมคะว่า เราจะสร้างความหวังกันได้อย่างไร
ความหวัง คือการที่เราพยายามจะเชื่อและพยายามที่จะมองตัวเองว่ายังคงมีวิธีหรือมีหนทางที่จะเกิดสิ่งที่ดีๆ ในชีวิตได้นะ และเรายังพอรู้สึกว่าฉันน่าจะไปถึงทางที่แสงสาดส่องได้ แม้ว่าตอนนี้ฉันจะอยู่ในจุดที่มืดมิดก็ตาม เช่น
แม้ว่าฉันจะนกมาแล้ว 20 ครั้ง แต่ฉันก็ยังพยายามอยากจะเชื่อว่าครั้งที่ 21 มันน่าจะดี
แม้ว่าฉันจะตอบได้คะแนนไม่ดี สอบตก แต่ครั้งนี้ฉันน่าจะสอบผ่านนะ
แม้ว่ารอบนี้ผู้ใหญ่จำนวนมากจะไม่เข้าใจฉัน แต่มันอาจจะมีสักคน สองคน ที่เปลี่ยนใจ หันมาเข้าใจฉัน
นีทเชื่อว่าการสร้างความหวังในความสิ้นหวัง เราต้องค่อยๆ เพิ่มความหวังให้กับตัวเองที่ละนิด เชื่อว่าสถานการณ์นั้นมันจะค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิด ถ้าหากเราไปคิดว่ามันต้องดีขึ้นทันตา มันคงไม่ใช่ ไม่ได้
การสร้างความหวัง เหมือนกับการที่เราค่อยๆ เก็บเงินทีละนิด ถ้าเราค่อยๆ เก็บเงินวันละ 10 บาท ผ่านไป 10 วัน เท่ากับ 100 บาท ผ่านไป 1 เดือน เท่ากับ 300 บาท ผ่านไป 1 ปีเท่ากับ 3,650 บาท แม้ว่ามันจะดูเล็กน้อยแต่มันก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นนะ โดยนีทมีวิธีการเพิ่มความหวังให้กับวัยุร่นดังนี้ค่ะ
Just RELAX: หลังผ่านมรสุมชีวิตมานั้น สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือการสร้างสมดุลให้กับตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองได้ระบายหรือได้พักผ่อนค่ะ ส่วนใหญ่สิ่งที่นีทจะแนะนำน้องๆ คือ ถ้าเครียดมาก อึดอัด ให้หาทางระบายมันออกมา ไม่ว่าจะผ่านการร้องไห้ก็ดี ผ่านการพูดคุยกับใครสักคนก็ดี หรือระบายผ่านการเขียน (ย้ำนะคะว่าสิ่งนี้สำคัญมาก) การร้องไห้หรือการระบายไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่ถือว่าเป็นการสำรวจตัวเองอย่างหนึ่งว่าตอนนี้ฉันรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไรกันนะ
ถ้าเหนื่อยมาก ท้อไปทั้งร่างกาย นีทแนะนำว่าเราต้องให้ร่างกายได้พักค่ะ ไม่ว่าจะนอนเยอะก็ดี หรือบางที…นีทชอบอาบน้ำนานๆ ค่ะ เหมือนการให้ร่างกายเราได้ชำระความแย่ออกไป หรืออีกสิ่งหนึ่งที่เติมพลังได้ดีคือ กินของอร่อยค่ะ แม้ว่ามันจะแย่มากๆ นะ แต่วันนี้ก็ได้กินของอร่อยอยู่นะ (ถือว่าเป็นรางวัลในวันที่ฟ้าไม่เป็นใจแล้วกันค่ะ) หรือบางทีอาจไปเที่ยวค่ะเพื่อเอาตัวเองออกจากสถานที่หรือเหตุการณ์ที่รับไม่ได้ เอาเป็นว่าทำอะไรก็ได้ให้ร่างกายเราได้พัก เหมือนนักรบในสนามรบก็ยังมีการนอนพักรบเลย แล้วพอเช้าวันใหม่ ซามูไรก็ค่อยขี่ม้าไปสู้กัน ตามฉากพระอาทิตย์ขึ้น (อันนี้ก็อินการ์ตูนซามูไรญี่ปุ่นไปนิดนึงค่ะ ฮ่าๆ)
Watch HOPE: นีทอยากให้น้องๆ ทุกคนหาวิธีการเพิ่มความหวัง สร้างกำลังใจให้ตนเองใหม่อีกครั้ง เพราะ ตอนที่เราต้องเผชิญกับสิ่งที่โหดร้าย เราคงหมดแรงเหมือนรถที่ไม่มีน้ำมันใช้วิ่ง เหมือนโทรศัพท์ที่ไม่มีแบต ดังนั้น เราจึงต้องหันมาเติมใจ เติมความหวังให้ตนเองค่ะ
เช่น เราอาจจะไปดูหนังดูการ์ตูนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเรา ให้กลับมาลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง ตัวนีทเองเวลาท้อแท้ มักจะกลับไปดูการ์ตูนค่ะ ซึ่งมีฉากในดวงใจนะคะว่าต้องเป็นตอนนี้เท่านั้น เช่น เรื่อง MY HERO ACADEMIA ค่ะ โดยเฉพาะตอนแรก ที่ตัวเอกถามฮีโร่ว่า “อย่างผมจะเป็นฮีโร่กับเขาได้ไหม” ฉากนี้ เป็นฉากที่สร้างพลังให้นีทอย่างมากค่ะ (ปล. น้องๆ ไม่จำเป็นต้องอินตามพี่นีทนะคะ แต่อยากให้น้องมีหนัง หรืออะไรสักอย่าง ที่เพิ่มพลังหรือสร้างความหวังให้น้องๆ ค่ะ)
หรือบางที นีทก็ชอบฟังเพลงค่ะ เน้นย้ำอีกสักนิดว่า เป็นเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเรานะคะ เช่นเพลง ฤดูที่แตกต่างค่ะ (เก่าไปสำหรับน้องๆ หรือเปล่านะ) ถ้าจะ Go inter หน่อย ก็เพลงของ ROCKET GIRL ค่ะ นีทชอบเพลง LIGHT มาก โดยเฉพาะตอนที่เราร้องว่า “และแล้ว เราก็เป็นดั่งดวงดาวที่เจิดจรัสทั่วฟ้า ในที่สุดก็สามารถส่องประกายให้กับความฝันของตนเองได้” (มีคนแปลให้แบบนี้นะคะ ในคลิปเพลง อิอิ)
นีทเชื่อว่า เมื่อเราได้เติมพลังใจ มันทำให้เราหวังกันต่อไปได้ค่ะ
FACE IT: การกลับมาเผชิญหน้า โดยเริ่มต้นตั้งแต่
- BELIEVE Yourself อยากให้เรา Self-Talk หรือบอกกับตัวเองกันค่ะ เช่น ฉันยังไม่ยอมแพ้ ฉันน่าจะทำได้ มันยังมีหวังอยู่นะ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าเราทำมันได้นะ
- THINK พอเราเริ่มพอ หรือรู้สึกลงตัวมากขึ้นแล้ว อยากให้เราค่อยๆ มาค้นหากับตนเองว่า แล้วเราจะสร้างหนทางกันใหม่อย่างไรเพื่อให้เราไปถึงเป้าหมาย เช่น ฉันจะวางแผนใหม่กับพี่นักจิตวิทยา ฉันอาจจะไปเรียนพิเศษเพิ่มนะ ฉันอาจจะไปปรึกษาเรื่องความรักกับพี่ชายดู หรือฉันตัดสินใจที่จะเขียนโน้ตถึงพ่อแม่ในบางเรื่องแทนการพูดคุยหรือให้ผู้ใหญ่ท่านอื่นช่วยคุยให้ เป็นต้น
- CHEER up นีทอยากให้เราให้กำลังใจตัวเองทุกวันว่า วันนี้เราทำอะไรได้ดีขึ้น หรือวันนี้เรารู้สึกเต็มไปด้วยความหวังอย่างไรค่ะ เช่น ดีใจจังวันนี้ฉันไม่ทะเลาะกับแม่ วันนี้ฉันเรียนเลขรู้เรื่องมากขึ้น วันนี้ฉันร้องไห้น้อยลงแล้ว เป็นต้น
นีทเชื่อว่า มนุษย์มีพลังวิเศษค่ะ ถ้าเราพอมองเห็นหนทาง เราจะพอมีพลังวิ่งต่อไป ดังประโยคที่นีทชอบมากจากการ์ตูนเรื่อง หัตถ์เทวดา เทรุ
“ดีแล้วล่ะ ร้องไห้เยอะๆ กินเยอะๆ แล้วก็นอนเยอะๆ ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว พรุ่งนี้จะต้องมีรอยยิ้มที่สดใสแน่นอน”