- คุณลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จ และสามารถอดทนต่ออุปสรรคต่างๆ ได้ เรียกว่า Grit
- คนที่มี Grit จะเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจนและอินกับเป้าหมายมาก พออินหนักเข้าก็จะเข้าโหมด work hard คือจะพยายามอย่างสุดความสามารถโดยไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนน
- บทความนี้จะช่วยให้เราเข้าใจ Grit มากขึ้น ผ่านการแบ่ง Grit เป็นผลึก 3 ก้อน และวิธีหล่อเลี้ยงให้ Grit ยังอยู่ในตัวเรา
อ่าน Character World ตอนที่ 1 ‘รับมือ’ และ ‘สร้างขวัญกำลังใจ’ เพื่อก้าวผ่านความกลัว (แม้ขายังสั่นอยู่) โดยนักจิตวิทยาโรงเรียน
ทำไมกันนะ เด็กฝึกหัดเป็นศิลปินของเกาหลีใต้หรือจีน ในรายการ Produce 101 ถึงสามารถซ้อมเต้นต่อวันได้มากกว่า 8 ชั่วโมง ทำไมกันนะ เด็กฝึกในรายการที่แม้จะร้องไห้บ่อยครั้งและร้องอย่างหนักหนาเพราะเครียดกับการแข่งขัน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้เลิกไป
ทำไมกันนะ การเป็นนักเขียนการ์ตูนมังงะ ที่มักถูกมองว่า ‘ไส้แห้ง’ แต่วงการการ์ตูนญี่ปุ่นก็ยังเจิดจรัสและดำรงอยู่ได้ พวกนักเขียนเขาไม่กลัวว่าจะตกงานกันหรือ? ทำไมเขายังคงกล้าทำในสิ่งที่ตนเองรักมากได้ขนาดนั้นกันนะ
ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียน เสียใจอย่างหนัก แต่ไมเคิล จอร์แดน ก็ยังคงมุ่งมั่นสู่การฝึกฝนเพื่อเป็นนักบาสมืออาชีพ
ทำไมกันนะ พี่ๆ สถาปนิกถึงไม่ยอมหลับยอมนอนแล้วแต่ยอมทนนั่งปั่น ‘ตีฟ (perspective)’ กันให้เสร็จ หรือทำไมเหล่าวิศวกรถึงยังอยากทำอาชีพนี้ ทั้งต้องเรียนกันหนักมาก ทั้งต้องเคยหนีให้ไกลจาก F ของวิชาฟิสิกส์
แล้วตัวฉันเอง จะเป็นแบบนี้ได้ไหมนะ ‘คนที่มุ่งมั่นจนทำฝันให้เป็นจริง’
วันนี้พี่นีทจะมาชวนคุยกัน 2 หัวข้อที่ว่า อะไรที่ทำให้ ‘เขาเหล่านั้น’ ยังพร้อมสู้ต่อไปจนฝันกลายเป็นจริง และ เราจะเป็นแบบ ‘เขาเหล่านั้น’ ได้อย่างไร
Grit คืออะไร
เรามาเริ่มต้นกันที่คำถามแรกก่อนดีกว่าค่ะว่า อะไรที่ทำให้ ‘เขา’ ยังพร้อมสู้ต่อไปได้
คุณลักษณะหนึ่งที่นักจิตวิทยา นามว่า แอนเจลา ลี ดักเวิร์ธ (Angela Lee Duckworth) ศึกษาและเพิ่งค้นพบในปี 2007 โดยบอกว่าคุณลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จ และสามารถอดทนต่ออุปสรรคต่างๆ ได้ เรียกว่า Grit (เอาจริงๆ พี่ไม่รู้ว่าควรแปลคำนี้ว่าอะไรดีเนอะ แต่ในงานวิจัยของพี่จะใช้คำว่า ความเพียร แต่บางคนก็ใช้คำว่า ความมุ่งมั่น ความตั้งมั่น ด้วยความที่ยังไม่แน่ใจว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ในบทความนี้พี่เลยจะขอทับศัพท์ว่า Grit ตลอดบทความ)
ดักเวิร์ธมักบอกว่า คนที่มี grit จะเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจนและอินกับเป้าหมายมาก แบบว่า หายใจเข้าหายใจออก ก็เป็นเธอ เอ้ย! เป็นเป้าหมาย พออินหนักเข้าก็จะเข้าโหมด work hard ค่ะ คือจะพยายามอย่างสุดความสามารถโดยไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนน พี่ว่าความรู้สึก คงใกล้ๆ กับคำว่า ‘ตายเป็นตาย เพราะใจสั่งมา’ ถ้าไม่ได้ทำเราคงจะลงแดงตายอยู่ตรงนี้ หรือที่เรามักใช้กันบ่อยๆ ว่า passion (เรามี passion กับสิ่งนี้) เพราะอย่างนี้เองค่ะ เจ้า Grit เลยมีอิทธิพลในการใช้ชีวิตและการประสบความสำเร็จของเรามาก
Grit ทำให้คนหนึ่งคนประสบความสำเร็จได้อย่างไร สงสัยแบบนี้ใช่ไหมคะ ?
พี่ขออนุญาตย่องานวิจัยปริญญาโท* เกือบร้อยหน้าของตัวเองให้เหลือเพียงสั้นๆ และเปลี่ยนจากภาษาทางการให้เป็นภาษาคนคุยกัน มันเป็นอย่างนี้ค่ะ…
เวลาที่เรามีเป้าหมายหรือสิ่งที่อยากทำ เช่น อยากเป็น youtuber ตรงนี้มันก็จะมีความอิน อินแล้วเราก็จะค่อยๆ พยายาม อาจเริ่มต้นจากการลงคลิปบน Youtube ยิ่งเยอะยิ่งดีเพราะจะได้มีคนมาติดตาม แต่เราก็ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า บางทีช่องของเราก็อาจจะไม่ปัง ไม่ดัง (คือถ้าดังมันก็จบ เราก็เป็น youtuber ต่อไปอย่างมีความสุข) และเจ้าความไม่ดังนี้มันจะก่อกวนจิตใจทำให้เรารู้สึกอยากยอมแพ้
ทำมาเป็นสิบคลิปแล้วยอดคนดูยังไม่เพิ่มเลย / คนติดตามก็มีแต่เพื่อนตัวเอง ไม่มีคนอื่นๆ เลย เลิกทำดีไหม / เหนื่อยใจจังเลย ทำไปก็น่าจะได้เท่านี้
ถ้าเราสังเกตดีๆ เราจะพบว่า ก้อนความคิดที่มาก่อกวนเรา มันคือความคิดแง่ลบที่มาจากใจเราทั้งนั้น เป็นความคิดที่พยายามบอกเราให้หยุดหรือล้มเลิกเถอะ ซึ่งตอนนี้เอง หากคนที่อยากเป็น youtuber เป็นคนที่มี Grit เจ้า Grit ตัวนี้ก็จะมาสู้กับความคิดทางลบ เหมือนเป็นเสียงนางฟ้าในตัวเอง (หรือจริงๆ ก็คือเราเองนั่นแหละ) ที่คอยกระซิบบอกว่า…
“อย่าเพิ่งยอมแพ้เลย เพราะมันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง”
“เธอลองดูสิ ภูเขานั้นสูงมากก็จริง แต่ภาพทิวทัศน์ข้างบนนั้นสวยมากเลยนะ ไม่อยากเห็นหรือ”
หรือ “มันแค่อุปสรรคเล็กๆ เอง อดทนอีกหน่อยนะ”
จึงไม่แปลกใจว่าคนที่มี Grit จะเลือกไม่ยอมแพ้เพียงเพราะความคิดแง่ลบ ความเหนื่อยล้าต่ออุปสรรคทำอะไรเขาไม่ได้ก็เพราะเขามีกำลังใจ/ความคิดมุมบวกแบบนี้อยู่ในหัว จุดแตกต่าง (แม้จะฟังดูโหดร้าย) คือ คนที่มี Grit จะยังอยากพยายามต่อไป คนที่ไม่มี Grit อาจทิ้งฝันไว้กลางทาง
อ่านกันมาถึงตอนนี้ เราก็คงรู้แล้วใช่ไหมคะว่า ‘คนเหล่านั้น’ ที่พี่ยกตัวอย่าง เขามี Grit อยู่เต็มหัวใจเลย เขาถึงได้เลือกที่จะไปต่อแม้รู้อยู่ว่าจะต้องเสียน้ำตา
แล้วเราจะเป็นแบบเขาได้ไหมนะ ก็นำมาสู่คำถามที่ 2 ของบทความนี้ค่ะ
จะมี grit ในเรื่องที่ไม่อินมากๆ ได้อย่างไร?
เราจะเป็นแบบเขาได้ไหม? – พี่ขอตอบเลยค่ะว่าทุกคนเป็นได้แน่นอน เพราะ Grit มีอยู่ในตัวพวกเราทุกคน เพียงแต่เราจะได้นำมันมาใช้หรือไม่ เท่านั้นเอง
แต่หลายคนอาจตั้งคำถาม “บางทีชีวิตจริงก็ไม่ได้เป็นเหมือน ‘ตัวอย่าง’ ที่พี่ยกมา เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ได้อินนะ” หรือ “ไม่อยากทำด้วยซ้ำ บางทีเรายังไม่รู้เลยว่าฝันอยากเป็นอะไร แล้วจะมี Grit ได้อย่างไร จะทำสำเร็จได้อย่างไร” “แล้วการที่พวกเราไม่อินกับอะไรมากๆ ก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จหรอ?”
พี่ขอตอบแบบนี้แล้วกันค่ะว่า ในทุกๆ สถานการณ์และทุกๆ เรื่องราว มันมี Grit อยู่ในนั้นได้จริงๆ นะ เพียงแต่หน้าตาของ grit นั้นอาจแตกต่างกันไป พี่เชื่อว่าหน้าตาของ Grit เท่าที่พี่ศึกษามาและขอนำมาเล่ามี 3 แบบค่ะ (ต่อไปนี้ ขอเรียกว่า ผลึก นะคะ)
ผลึก Grit ก้อนแรก คือผลึกสีแดง ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของความอิน ว่าฉันอยากเป็น ฉันอยากได้ เช่น อยากไปเดบิวต์ เหมือน Lisa Blackpink หรือ เหมือน Sunnee อดีตวง Rocket Girl, อยากสอบชิงทุนไปแลกเปลี่ยนตอนม.ปลาย, ถ้าได้เป็นทูตก็ดีนะ เป็นต้น โดยข้อเสียของผลึกก้อนสีแดงคือ มีแต่ความฝัน ขาดการกระทำ
ผลึก Grit ก้อนที่สอง คือผลึกสีเหลือง ที่เต็มไปด้วยความพยายามกระทำ อาจจะมาจากพฤติกรรมที่เต็มใจ หรือไม่เต็มใจก็ตามที เช่น ต้องทำการบ้านให้เสร็จ เดี๋ยวไม่มีส่ง, ต้องอ่านหนังสือเดี๋ยวสอบตก, พยายามซ้อมเปียโน เพราะใกล้ถึงงานแสดงเปียโนแล้ว, ซ้อมว่ายน้ำหนักมากเพราะเป็นนักกีฬาโรงเรียน เป็นต้น โดยข้อเสียของผลึกก้อนสีเหลืองคือ ต้องลงมือทำแม้บางทีไม่อยากทำ หรือหาเหตุผลที่ดีให้กับการกระทำของตัวเองไม่ได้
ผลึก Grit ก้อนที่สาม (สุดท้ายแล้ว) คือ ผลึกสีส้ม ที่เกิดมาจากผลึกสีแดงแห่งความอิน และ สีเหลืองจากความพยายาม เช่น ฉันอยากเป็นไกด์ทัวร์มากเลยเพราะฉันชอบไปเที่ยวในที่ต่างๆ ได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ ฉันจึงพยายามเรียนภาษาหลายๆ ภาษา, ผมเต็มใจที่จะไปเรียนพิเศษเสาร์-อาทิตย์อย่างไม่มีบ่น เพราะผมอยากเป็นสัตวแพทย์ เนื่องจากตอนเด็กๆ คุณลุงสัตวแพทย์ได้ช่วยหมาของผมที่ป่วย เขาเลยเป็นไอดอลของผมเลย
แน่นอนว่า ผลึกก้อนที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นผลึกก้อนสีส้มสด แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราสามารถทำให้มันเป็นสีส้มสดได้ แต่พี่ก็อยากให้น้องๆ ค่อยๆ เบลนสีผลึกให้มันมีความเป็นส้มไว้บ้างก็พอ นี่คือ grit ตามสถานการณ์ของน้องแล้วค่ะ
เช่น หากน้องอยากไปเดบิวต์ต่างประเทศ (เป็นผลึกสีแดง) พี่อยากให้น้องลองใส่การกระทำกับมันดู เช่น น้องอาจจะลองหาสถานที่ที่มีการคัดตัว หรือเปลี่ยน/เลือก โรงเรียนสอนร้องเพลงหรือสอนเต้น ที่มีเครือค่าย สามารถส่งน้องไปเดบิวต์ได้ หรือเรียนภาษาของประเทศนั้นๆ ไว้ หรือบางทีที่น้องฝันอยากไปแลกเปลี่ยนเมืองนอกแต่ไม่ได้แสดงพฤติกรรม (อาจจะยังเหมือนฝันอยู่ เพราะคิดวิธีไม่ออก) อาจจะเป็นเพราะน้องไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นอย่างไรดี พี่คิดว่าน้องอาจเริ่มต้นดูว่าเขาสมัครสอบกันช่วงไหน เขาสอบอะไรกันบ้าง หรือเราควรเรียนเสริมอะไรดี เพื่อให้สอบได้ พฤติกรรมเช่นนี้เอง คือการเบลนให้ผลึกของเป็น สีแดงอมส้ม
ถ้าหาก น้องต้องทำการบ้านเยอะมาก แต่ไม่ได้อยากทำ มันเป็นผลึกสีเหลือง พี่อยากให้น้องลองใส่เหตุผลที่ยอมรับได้ให้กับมัน เช่น จริงๆ แล้วทำการบ้านก็ดีนะ เวลาสอบจะไม่ได้ต้องอ่านหนังสือเยอะ เพราะเราเข้าใจมันอยู่แล้ว หรือจริงๆ หากเราสอบได้ดี มันก็มีผลต่อการเลือกเรียนต่อนะ ประมาณว่าอยากเข้าที่ไหนก็ได้ เพราะคะแนนดี หรือในสถานการณ์ที่เราเป็นนักกีฬา เราอาจจะไม่ได้ชอบ แต่พี่ก็อยากให้น้องลองใส่เหตุผลกับมันว่า การที่เราได้อยู่กับมันนานๆ ก็อาจจะเป็นเครื่องมือในการตอบคำถามว่า มันใช่สิ่งที่เราอยากจะทำหรือเปล่า (ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็หาใหม่) การที่น้องๆ ได้ลองใส่เหตุผลกับมัน จะค่อยๆ เบลนผลึกให้เป็น สีเหลืองอมสม
สำหรับน้องบางคนที่มี Grit เป็นผลึกสีเหลืองและยังสงสัยในตนเองว่า ฉันอยากจะเป็นอะไร ยังไม่เจอกับสิ่งที่อิน พี่ก็เชื่อว่า การที่น้องค่อยๆ หาเหตุผล ค่อยๆ เลือกและพิจารณา เดี๋ยวเราจะเจอ เพราะเรากำลังเริ่มต้นตัดตัวเลือกในสิ่งที่ไม่ใช่ จนเจอในสิ่งที่ใช่ค่ะ (ใช้เวลานิดนึง) ซึ่งสิ่งนี้มันหมายถึงน้องไม่ยอมตัดใจนะ (มี Grit ที่เต็มเปี่ยมไปเลยค่ะ)
อาจจะเห็นแล้วว่าในทุกสถานการณ์เรามีผลึกของ Grit ได้ทั้งหมด เพียงแต่บางทีสีของมันอาจแตกต่างกันเท่านั้น ซึ่งพี่คิดว่าสีที่แตกต่างนั้นไม่สำคัญเพราะเราต่างให้น้ำหนักแต่ละเรื่องไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่ก็ขอให้เราพยายามในทุกๆ เรื่องเท่านั้นเอง
สุดท้ายนี้ สำคัญมากจริงๆ ค่ะ คือการทำให้ผลึกเปล่งประกายได้ตลอดเวลานั้น มักเป็นเรื่องราวของคนที่พยายามทำตามฝันแล้วผิดหวัง และกำลังอยากล้มเลิกหรือทิ้งความฝันไป (ผลึกก้อนสีส้มสด ที่เจอกับอุปสรรค และสีส้มสดกำลังจะกลายเป็นสีดำ) เช่น อยากเป็นนักเปียโนแต่ไปแข่งก็ไม่เคยชนะเลิศสักที คว้าโอกาสแสดงงานสำคัญหรือเป็นตัวเด่นในงานโชว์ไม่ได้ บางทีมันก็ท้อนะ สงสัยในตัวเองว่าเส้นทางนี้มันเป็นเส้นทางของฉันจริงๆ หรือเปล่า
เวลาที่น้องๆ เกิดความสงสัยในตัวเอง พี่อยากให้น้องๆ กลับไปมองหาความหวังอีกครั้งหนึ่ง ว่าทำไมเราถึงอยากเป็น เรื่องราวที่ผ่านมากับสิ่งๆ นี้มีอะไรที่น่าจดจำหรือประทับใจบ้าง การที่เราได้กลับไปย้อนดูเรื่องราวต่างๆ ในอดีตที่เต็มไปด้วยความพยายาม ความน่ายินดี และปลื้มใจ จะช่วยหล่อหลอมให้เรามีความหวังอีกครั้งหนึ่งและพร้อมจะเริ่มต้นอีกครั้ง ซึ่งการเริ่มต้นใหม่ในครั้งนี้ พี่เชื่อว่าสิ่งที่จะทำให้น้องเดินได้อย่างมั่นคงมากขึ้น คือ หาที่ปรึกษา พูดคุยกับครูฝึกมากขึ้น ทบทวนว่าความผิดพลาดครั้งที่แล้วเกิดมาจากอะไรแล้วแก้ไขความผิดพลาดเก่า เพื่อที่ครั้งหน้าน้องจะได้ไม่ผิดแบบเดิมและเขยิบเข้าใกล้เส้นชัยมากขึ้นไปทีละนิด
อย่ากลัวว่าเราจะไปถึงเป้าหมายช้า อย่ากลัวว่าเราจะใช้เวลานานในการทำฝันให้เป็นจริง Life is a marathon, not a sprint ชีวิตเราไม่ได้ถูกกำหนดด้วยเวลา ด้วยจำนวนครั้งของความสำเร็จ หรือด้วยความผิดพลาด แต่ชีวิตเราเหมือนการวิ่งระยะไกลในการตั้งเป้าหมายไว้เพื่อไปให้ถึง จะช้าหรือเร็วก็อยู่ที่พลังของเราค่ะ
ช่วงไหนมีไฟ ก็ไปเร็วหน่อย (เหมือนกับการวิ่งระยะไกลในจุดเริ่มต้นเลยเนอะ) ช่วงไหนเจออุปสรรคเยอะก็ไปช้าหน่อย (เหมือนอารมณ์ตอนมองหาว่า จุดพักดื่มน้ำอยู่ไหนนะ) แต่ในทุกจุดของการวิ่งและใช้ชีวิต เราจะมีจุดพักและจุดบริการน้ำด้วยเจ้า Grit เสมอ Grit จึงเป็นพลังที่ทำให้เราไม่ยอมแพ้และไปต่อจากไฟความมุ่งมั่นและเพียรพยายามของเพื่อให้เรามีพลังพร้อมพุ่งชนกับอุปสรรคต่างๆ นั่นเอง
พี่เชื่อว่า ความหวังและความอินทำให้คนเราเริ่มที่จะฝัน และการลงมือทำนั้นจะช่วยทำฝันนั้นให้เป็นจริง ดังนั้น ต่อให้เราจะสงสัยในตัวเองกี่ร้อยครั้ง ผิดพลาดกี่สิบครั้งก็ตาม แต่ถ้าสุดท้ายเราทำสำเร็จได้ในครั้งที่พันพี่ว่ามันก็คุ้มที่จะลงมือทำนะ มาเดินตามความฝันบนวิถีทางแห่งความมุ่งมั่นและมั่นคงดั่งภูผาหรือ Gritty style กันเถอะ