Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: January 2022

นิทานพื้นบ้าน : สื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กคิดวิเคราะห์และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
Learning Theory
12 January 2022

นิทานพื้นบ้าน : สื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กคิดวิเคราะห์และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

เรื่อง กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร

  • การเล่านิทานพื้นบ้าน (Folklore) ทำให้เด็กมีโอกาสเรียนรู้ค่านิยมและความเชื่อจากสังคมที่ตนเองเติบโตขึ้นมา พวกเขาจะสามารถสร้างความคิดรวบยอดได้ว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรในสังคม
  • เมื่อใช้รูปแบบการเล่าเรื่องที่เน้นการพูดคุยระหว่างผู้เล่ากับเด็ก เน้นการถามตอบอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้คิด เป็นการใช้เทคนิคกระตุ้นความทรงจำมีประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะความคิดเชิงลึก
  • การที่ตัวเอกในนิทานพื้นบ้านส่วนใหญ่เป็นสัตว์ คือ การเปรียบเปรยที่ทำให้เด็กเชื่อมโยงตัวละครกับการกระทำของมนุษย์โดยอ้อม และส่งเสริมจินตนาการได้อย่างเต็มที่

การศึกษาแบบองค์รวม (Holistic Education) เป็นรูปแบบการศึกษาที่มีเป้าหมายพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านกายภาพ ศีลธรรม วัฒนธรรม หรือสติปัญญา ทำให้เด็กเข้าใจตัวเอง ผู้อื่น และใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริงได้อย่างเต็มศักยภาพ จากการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของนิทานพื้นบ้านต่อพัฒนาการทางความคิดและพัฒนาการของเด็ก เรื่อง Folklore epistemology: how does traditional folklore contribute to children’s thinking and concept development? ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติด้านการศึกษาปฐมวัย (International Journal of Early Years Education) นักวิจัยได้ทำการศึกษาระบบการศึกษาในชนพื้นเมืองอาคัน (Akan) ประเทศกานา ซึ่งใช้นิทานพื้นบ้านเป็นสื่อการเรียนการสอน 

นิทานพื้นบ้านและเทคนิคกระตุ้นความทรงจำช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็ก

นิทานพื้นบ้านส่งผลต่อจินตนาการและการสร้างความคิดรวบยอด (Concept Formation) ในเด็กปฐมวัยอย่างไร? เป็นคำถามสำคัญของการศึกษาครั้งนี้

นักวิจัย พบว่า จินตนาการและความคิดรวบยอดมีความสัมพันธ์กับสังคมและวัฒนธรรม 

จินตนาการไม่ได้กำเนิดมาจากความว่างเปล่าแต่มาจากประสบการณ์และการรับรู้จากบริบททางสังคมของแต่ละคน 

เมื่อเด็กมีโอกาสได้เรียนรู้ค่านิยมและความเชื่อจากสังคมที่ตนเองเติบโตขึ้นมา พวกเขาจะสามารถสร้างความคิดรวบยอดได้ว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรในสังคม นักทฤษฎีประวัติศาสตร์วัฒนธรรมพบว่า นิทานพื้นบ้านที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ใหญ่และคนในชุมชนช่วยพัฒนาทักษะการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมให้กับเด็ก และช่วยสร้างความเข้าใจถึงที่มาที่ไป ตัวตน และรากเหง้าของตัวเอง

บริบททางสังคมของประเทศกานาในปัจจุบันกำลังเผชิญปัญหาสังคมยุคดิจิทัลไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ  ไม่ว่าจะเป็นการขาดความเคารพซึ่งกันและกัน หรือความรู้เท่าทันเรื่องเพศสัมพันธ์ จากสถิติพบว่า เด็กอายุ 8 ขวบเริ่มมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกมีความหนักเบาต่างกัน การใช้เรื่องเล่า นิทานพื้นบ้านหรือนิทานปรัมปรา เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมกระบวนการคิดและสร้างการเรียนรู้ได้

นิทานพื้นบ้านที่ชนพื้นเมืองอาคันใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัย เป็นรูปแบบการเล่าเรื่องเน้นการพูดคุยระหว่างผู้เล่ากับเด็กคล้ายนิทานรอบกองไฟ ใช้เทคนิคการกระตุ้นความทรงจำ (Stimulated Recall) เน้นการถามตอบอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้เด็กคิด นักวิจัยศึกษากระบวนการตอบคำถามของเด็กๆ 23 คน อายุ 5 – 6 ขวบ เริ่มด้วยเสียงกลองบรรเลงพร้อมกับการเต้นประกอบเพื่อเชิญผู้อาวุโสในชุมชน 2 ท่านมาเล่านิทานใต้ต้นไม้ จากนั้นผู้อาวุโสวางข้อตกลงการถามตอบระหว่างเล่าเรื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ มีส่วนร่วม หลังจากเล่าเรื่องจบผู้อาวุโสช่วยเด็กย้อนคิดถึงข้อคิดของนิทาน ทุกขั้นตอนถูกบันทึกวิดีโอไว้ จากนั้นผู้อาวุโสเปิดวิดีโอที่ถูกบันทึกให้เด็กๆ ดูอีกครั้งเพื่อกระตุ้นความทรงจำ (Stimulated Recall) และกระบวนการถามตอบเกิดขึ้นอีกครั้ง 

เรียนรู้จากการตั้งคำถามกลับกับตัวเอง

ผลการวิเคราะห์ พบว่า เทคนิคกระตุ้นความทรงจำมีประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาทักษะการใช้ความคิดในเชิงลึก (Deep Thinking) เพราะเด็กมีโอกาสได้ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรื่องเล่าจากผู้อาวุโสที่ดำเนินบทบาทเป็นทั้งผู้เล่าเรื่องและผู้ถาม เด็กๆ ได้พัฒนากระบวนการคิด พิจารณาความหมายและเหตุผลจากกระทำของตัวละคร เช่น ผู้อาวุโสถามว่า ‘ตัวละครในเนื้อเรื่องทำอะไรอยู่’ เด็กตอบว่า ‘เขากำลังขโมยถั่วร้อนๆ’ และเด็กอีกคนตอบกลับว่า ‘ขโมยเป็นสิ่งที่ไม่ดีเพราะทำให้คนอื่นไม่มีความสุข’ เด็กแสดงความไม่พอใจต่อตัวละครที่ประพฤติตนไม่ดี บางคนตอบกลับว่า ‘ถ้าเราทำอะไรไม่ดี สิ่งนั้นจะติดตัวเราไปตลอด’

ในสถานการณ์ดังกล่าว เด็กได้เรียนรู้กฎว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรในสังคม ในขณะเดียวกันการที่ตัวเอกในนิทานพื้นบ้านส่วนใหญ่เป็นสัตว์ คือ การเปรียบเปรยที่ทำให้เด็กเชื่อมโยงตัวละครกับการกระทำของมนุษย์โดยอ้อม และส่งเสริมจินตนาการได้อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจจากการวิจัยนี้ คือ นิทานพื้นบ้านที่ใช้เทคนิคกระตุ้นความทรงจำส่งเสริมให้เด็กเป็นทั้งผู้ชมจากข้างนอกและผู้แสดงในเนื้อเรื่อง นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า ความคิดนามธรรม (Abstract Thinking) ที่ไม่ยึดเด็กติดกับพื้นที่ (Space) รวมทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต การที่เด็กจินตนาการเห็นตนเองเป็นผู้แสดงเปรียบเสมือนว่าเด็กได้ปฏิสัมพันธ์ในสังคมวัฒนธรรมผ่านเรื่องเล่าเหล่านั้นในความเป็นจริง 

กระบวนการที่เกิดขึ้นส่งเสริมให้เด็กคิดถึงตนเองเชื่อมโยงกับคนอื่น 

  • คนอื่นในสังคมจะมองฉันอย่างไร?
  • ฉันควรปฏิบัติตนเองอย่างไรในสังคม? 

เลือกนิทานและคำถามให้เหมาะสม

ทั้งนี้ ผลการศึกษาแนะนำว่านิทานพื้นบ้านที่มีเนื้อหาเหมาะสมทำให้เทคนิคกระตุ้นความทรงจำ ส่งผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งคำถามที่ช่วยให้เด็กคิดวิเคราะห์ในเชิงลึก ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสหรือผู้เล่าเรื่องจึงมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการสนับสนุนการคิด ช่วยให้เด็กคิดตามและสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ กระบวนการที่ใช้ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของกลุ่มไม่ใช่การแข่งขันระหว่างกัน เพราะการศึกษาแบบองค์รวมควรช่วยให้เด็กเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นมากกว่าการสร้างความขัดแย้ง

หลายคนอาจคิดว่านิทานพื้นบ้านไม่เหมาะสมกับการสอนเด็กในยุคปัจจุบันที่โลกพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เรื่องเล่าในนิทานพื้นบ้านอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง การวิจัยตอบข้อโต้แย้งนี้ว่านิทานพื้นบ้านไม่ได้สอนแค่วิถีดำเนินชีวิตในอดีต แต่นำเสนอคุณค่าสากลที่มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบันด้วย จะเห็นได้ว่านิทานพื้นบ้านมักแฝงไปด้วยเรื่องราวที่ทำให้มองเห็นคุณค่า ความเป็นธรรม สิทธิ และศีลธรรมผ่านข้อคิดของนิทาน ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การเลือกนิทานที่มีเนื้อหาเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ในชีวิตประจำวันและผู้เล่าเรื่องที่เข้าใจกระบวนการสร้างการเรียนรู้

อ้างอิง
Joseph S. Agbenyega, Deborah E. Tamakloe & Sunanta Klibthong (2017) Folklore epistemology: how does traditional folklore contribute to children’s thinking and concept development?, International Journal of Early Years Education, 25:2, 112-126, DOI: 10.1080/09669760.2017.12870

Tags:

ปฐมวัยนิทาน

Author:

illustrator

กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร

Related Posts

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.5 เม่นทะเล

    เรื่อง The Potential

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.4 ปลาฉลามฟันหลอ

    เรื่อง The Potential

  • Early childhood
    เพราะเด็กคือความหวัง และนิทานมีพลังกว่าที่คิด: “ป่าดอยบ้านของเรา” ให้นิทานสร้างเด็กเพื่อให้เด็กสร้างเมือง

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

สมรรถนะ ‘การทำงานเป็นทีม’ จิ๊กซอว์ความสำเร็จที่สอนเด็กว่ากระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์
Character building
10 January 2022

สมรรถนะ ‘การทำงานเป็นทีม’ จิ๊กซอว์ความสำเร็จที่สอนเด็กว่ากระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ความสำเร็จของการทำงานสักชิ้นหนึ่งก็เหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ที่ไม่มีทางเสร็จสมบูรณ์ได้ หากขาดชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งไป แม้ทีมจะต้องการผู้นำ แต่ทุกคนในทีมมีความสำคัญเท่าเทียมกัน
  • โครงสร้างหลักที่จำเป็นสำหรับการรวมพลังทำงานเป็นทีม ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความรู้และทักษะส่วนบุคคล ระบบการจัดการ และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การมีส่วนร่วมของนักเรียนแต่ละคนเป็นองค์ประกอบของความสำเร็จ และมีส่วนช่วยสร้างบรรยากาศในการทำงาน ครูต้องสื่อสารให้นักเรียนเห็นคุณค่าของตัวเอง ทุกคนมีความสามารถที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่ม ทำให้นักเรียนเข้าใจว่าการมีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานสำคัญมากกว่าผลลัพธ์

ถ้ามีนักเรียนคนหนึ่งลุกขึ้นเดินมาบอกครูว่า “หนู/ ผมไม่อยากทำงานกลุ่ม ขอทำคนเดียวได้ไหม?”

ครูจะจัดการกับเหตุการณ์นี้อย่างไร?

อริสโตเติล นักปราชญ์ชาวกรีก กล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมโดยธรรมชาติ จำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันและพึ่งพาอาศัยกันและกันอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายจากนวัตกรรม เครื่องอุปโภคบริโภคที่มีมากขึ้นทำให้มนุษย์คนหนึ่งจัดการชีวิตตัวเองได้ดีขึ้น พึ่งพาคนอื่นได้น้อยลงแม้ยังต้องอาศัยอยู่ร่วมกัน จนทำให้หลายๆ คนปฏิเสธและรู้สึกไม่ชอบการเข้าสังคมกับผู้อื่น รวมถึงการทำงานร่วมกับผู้อื่น

ข้อมูลจาก สำนักแนะแนวอาชีพ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard Bureau of Vocational Guidance) ระบุว่า ร้อยละ 66 ของพนักงานที่ถูกไล่ออกจากงานเป็นผลมาจากทำงานร่วมกับผู้อื่นไม่ได้ จากสถิตินี้ดูเหมือนว่าการเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ในปัจจุบัน จำเป็นต้องอาศัยการสร้างการเรียนรู้ ปรับตัวและทำความเข้าใจกันใหม่

การทำงานร่วมกัน สามารถนิยามได้ถึง กระบวนการและผลลัพธ์จากการทำกิจกรรมระหว่างบุคคล กลุ่ม หรือองค์กร ในแวดวงการศึกษาเมื่อเอ่ยถึงทักษะในศตวรรษที่ 21 การทำงานร่วมกันเป็นทีม ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหนึ่งในทักษะที่จำเป็น เพราะการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน แม้จะชอบหรือไม่ก็ตาม เราต้องทำงานเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น

  • นักเรียนทำงานกลุ่มด้วยกัน ต่างก็ต้องพึ่งพาความรู้ ทักษะและไอเดียของกันและกัน
  • พนักงานในองค์กรหนึ่งทำงานร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาหรือทำงานโปรเจคตามโจทย์ลูกค้า
  • การทำงานโปรเจคหนึ่ง ที่ต้องอาศัยความรู้ ทักษะ และการลงมือลงแรงร่วมกันจากหลายฝ่าย

ในหลักสูตรสมรรถนะให้ความหมาย การรวมพลังทำงานเป็นทีม (Teamwork and Collaboration) หมายถึง การทำงานร่วมกันให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย โดยการเป็นสมาชิกทีมที่ดีและมีภาวะผู้นำ ใช้กระบวนการทำงานแบบร่วมมือ รวมพลังอย่างเป็นระบบ ด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ มีการประสานความคิดเห็นที่แตกต่างสู่การตัดสินใจเป็นทีมอย่างรับผิดชอบร่วมกัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ปกติ และสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน 

จากคำนิยามข้างต้น ความสำเร็จของการทำงานสักชิ้นหนึ่งก็เหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ที่ไม่มีทางเสร็จสมบูรณ์ได้ หากขาดชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งไป แม้ทีมจะต้องการผู้นำ แต่ทุกคนในทีมมีความสำคัญเท่าเทียมกัน โครงสร้างหลักที่จำเป็นสำหรับการรวมพลังทำงานเป็นทีม ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่

  1. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  2. ความรู้และทักษะส่วนบุคคล
  3. ระบบการจัดการ
  4. การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

3-Co ที่สะท้อนการทำงานเป็นทีม

จอห์น เจ. เมอร์ฟีย์ (John J. Murphy) ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาด้านธุรกิจและผู้เขียนหนังสือ ‘Pulling Together: 10 Rules for High-Performance Teamwork’ กล่าวว่าหากมนุษย์ร่วมมือทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด ความร่วมมือนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ช่วยบันดาลความคิดสร้างสรรค์ ศักยภาพ การมีส่วนร่วม การสื่อสารและประสิทธิภาพในการทำงาน

“มนุษย์แต่ละคนมีของขวัญที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงพรสวรรค์และทักษะติดตัวมา เมื่อเรานำสิ่งเหล่านี้มาแลกเปลี่ยนเพื่อเป้าหมายทางธุรกิจอย่างหนึ่งร่วมกัน สิ่งที่เกิดขึ้นสามารถทำให้บริษัทได้เปรียบคู่แข่งในธุรกิจได้”

แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาและวิจัยด้านจิตวิทยา ปีที่ผ่านมา (ปี 2020) วารสารนักจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychologist Journal) ตีพิมพ์ชิ้นงานเรื่อง The Science of Teamwork (วิทยาศาสตร์ของการทำงานร่วมกันเป็นทีม) เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาของการทำงานร่วมกัน พบว่า การทำงานเป็นทีมทำให้เราฉลาดขึ้น สร้างสรรค์มากขึ้น และประสบความสำเร็จได้มากขึ้น

ก่อนจะลงลึกถึงการปลูกฝังและพัฒนาสมรรถนะด้านการรวมพลังทำงานเป็นทีม อยากชวนมาทำความรู้จักกับความหมายของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 3 คำ ที่เกี่ยวข้องกับสมรรถนะด้านนี้กันก่อน ได้แก่ คำว่า ‘Collaboration’ ‘Cooperation’ และ ‘Coordination’

  • Collaboration หมายถึง การร่วมงานกันระหว่างสองฝ่าย เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่มีเป้าหมายร่วมกัน อย่างที่มักพูดทับศัพท์กันติดปากว่า ‘คอลแลบ’ เช่น สินค้าแบรนด์ดังร่วมงานกันเพื่อรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ – แบรนด์หรูอย่าง พราด้า (Prada) จับมือกับ แบรนด์กีฬาอย่าง อดิดาส (Adidas) หรือ ศิลปิน/ นักร้องสร้างสรรค์ผลงานใหม่ร่วมกัน เป็นต้น 
  • Cooperation หมายถึง การให้ความร่วมมือทำงาน มักไม่มีเป้าหมายเพื่อสร้างสรรค์งานใหม่ แต่เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การให้ความร่วมมือให้ข้อมูลกับตำรวจเพื่อหาผู้กระทำผิด การให้ความร่วมมือในการสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้น
  • Coordination หมายถึง การประสานงานภายในกลุ่มเครือข่าย/ หน่วยงาน เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูล ทรัพยากรบุคคล/ สถานที่ เพื่อทำงานให้บรรลุเป้าหมาย

เมื่อนำ 3 คำมารวมในบริบทเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น พราด้าและอดิดาส ทำงานร่วมกัน (collaborate) มอบหมายให้ผู้จัดการโปรเจกต์จากทั้ง 2 บริษัท ประสานงาน (coordinate) กับฝ่ายต่างๆ เพื่อวางแผนงานอย่างละเอียด และขอความร่วมมือ (cooperate) จากทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายและความสำเร็จของโปรเจกต์

ความชัดเจนและการยอมรับความหลากหลายช่วยผลักดันทีมเวิร์ก

ปัญหาของการทำงานร่วมกันส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากความแตกต่างในตัวบุคคล เช่น อุปนิสัย จุดอ่อนจุดแข็ง ประสบการณ์ชีวิตหรือพื้นฐานทางวัฒนธรรม ที่นำมาสู่ความคิดเห็นในมุมมองที่หลากหลาย ด้วยเหตุนี้ การทำงานร่วมกับผู้อื่นจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หากแต่ละฝ่ายสื่อสารความเป็นตัวเองและความต้องการของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจน โดยมีเป้าหมายการทำงานเป็นตัวยึดเหนี่ยว 

บางคนคิดเร็วทำเร็วมีความมั่นใจในการนำเสนอไอเดียในทันที บางคนมีความรอบคอบต้องการใช้เวลาในการคิด แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้หากได้รับบทบาทที่เหมาะสม

สำหรับการสร้างการเรียนรู้ในชั้นเรียน เป้าหมาย เนื้อหา ลักษณะและบริบทของกิจกรรมที่ทำ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะด้านการรวมพลังทำงานเป็นทีม ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนสามารถทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อพวกเขามีความรู้ มีทักษะ หรือมีความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาและบริบทของเรื่องที่กำลังเรียนรู้หรือโปรเจกต์ที่กำลังทำอยู่ ในทางตรงกันข้ามหากเด็กๆ ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย พวกเขามักวางบทบาทเป็นผู้สังเกตการณ์มากกว่าลงมือทำ 

ดังนั้น การออกแบบกิจกรรมควรเป็นเรื่องที่นักเรียนสนใจ อย่างน้อยถึงแม้เด็กๆ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นมาก่อน พวกเขาก็พร้อมลงมือค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องที่พวกเขาอยากรู้

ครูสามารถเข้ามาช่วยกำหนดเงื่อนไขและกติกาการทำงานร่วมกับเด็กๆ เพื่อจัดกิจกรรมพัฒนาสมรรถนะด้านการรวมพลังทำงานเป็นทีม ดังนี้

  • การจัดกลุ่ม: การจัดกลุ่มให้มีนักเรียนในกลุ่มมากเกินไป มีความเป็นไปได้ที่นักเรียนบางคนจะนิ่งเฉย ปล่อยให้นักเรียนคนอื่นทำงาน การจัดกลุ่มจึงควรดูความเหมาะสมของกิจกรรม เช่น บทบาทหน้าที่ นอกจากนี้ การจัดกลุ่มคละนักเรียนที่ระดับผลการเรียนต่างกัน จะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น

นักวิจัยจากโรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน (Wharton Business School) มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ค้นพบว่า การจัดกลุ่มเล็กๆ เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับของความสำเร็จ งานวิจัยพบว่า ทีม 2 คนใช้เวลา 36 นาทีในการต่อเลโก้ ขณะที่ทีม 4 คน ใช้เวลาทั้งหมด 52 นาทีต่อเลโก้ชุดเดียวกัน ซึ่งใช้เวลามากกว่าถึงร้อยละ 44 ขณะที่เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) ผู้ก่อตั้ง Amazon.com กล่าวถึงกฎพิซซ่า 2 ถาด (2 Pizza Rule) ว่า ไม่สำคัญว่าบริษัทจะใหญ่ขนาดไหน แต่การสร้างทีมทำงานสัก 1 ทีม ไม่ควรจะใหญ่เกินกว่าที่จะแบ่งพิซซ่า 2 ถาด กินด้วยกันได้

  • การกำหนดแนวทางเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม: ยิ่งครูช่วยกำหนดแนวทางการทำงานให้นักเรียนได้ชัดเจนเท่าไหร่ ยิ่งช่วยสร้างการมีส่วนร่วมได้มากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น กำหนดว่าการนำเสนอแต่ละครั้งให้นักเรียนในกลุ่มสลับสับเปลี่ยนกันมาเป็นผู้นำเสนอ เพื่อให้นักเรียนเตรียมตัวและเตรียมความพร้อม รวมถึงการกำหนดเป้าหมายการทำกิจกรรมและชี้แจงให้นักเรียนรับรู้ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้นักเรียนเห็นทิศทางการทำงาน
  • ลักษณะกิจกรรมใช้ความสามารถของผู้เรียนหลายด้าน: กิจกรรมควรเปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนได้แสดงความสามารถ เพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกัน ออกแบบกิจกรรมให้นักเรียนแบ่งหน้าที่กันทำตามความเหมาะสม 
  • การสะท้อนกลับของครู: ครูเฝ้าติดตาม สังเกตการทำงานร่วมกันของนักเรียน ทั้งในภาพรวมและเฉพาะบุคคล ให้คำแนะนำแต่ไม่ชักจูงความคิดแม้ครูมองเห็นว่าขั้นตอนที่นักเรียนวางแผนร่วมกันทำงานอาจไม่ได้ผล เพราะจุดมุ่งหมายสำคัญของการพัฒนาผู้เรียนคือการสร้างกระบวนการเรียนรู้และการทำงานเป็นทีม ปล่อยให้นักเรียนเรียนรู้ผ่านข้อผิดพลาด แล้วปรับปรุงแก้ไข 
  • การสะท้อนกลับของผู้เรียน: เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สะท้อนความคืบหน้า ความคิดเห็น และความรู้สึกระหว่างการทำงาน รวมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันเมื่อทำงานเสร็จสิ้น กระบวนการนี้ช่วยสร้างประสบการณ์ผ่านการเรียนรู้ข้อผิดพลาด ทำให้ผู้เรียนได้พิจารณาไตร่ตรองถึงเหตุผลและคิดหาวิธีการปรับปรุงแก้ไขปัญหา

พลังของการทำงานเป็นทีม เริ่มจากความพยายามส่วนบุคคล

การประเมินผลการทำงานร่วมกันเป็นทีม ไม่ได้ดูที่ผลลัพธ์ความสำเร็จของโปรเจกต์/ชิ้นงาน แต่ควรให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงานของนักเรียนเป็นรายบุคคล เพราะการมีส่วนร่วมของนักเรียนแต่ละคนเป็นองค์ประกอบของความสำเร็จ และมีส่วนช่วยสร้างบรรยากาศในการทำงาน ครูต้องสื่อสารให้นักเรียนเห็นคุณค่าของตัวเอง ทุกคนมีความสามารถที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่ม ทำให้นักเรียนเข้าใจว่าการมีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานสำคัญมากกว่าผลลัพธ์

มีวิธีการสังเกตหรือประเมินอย่างไรว่าการรวมพลังทำงานเป็นทีมเกิดขึ้นแล้ว?

  • มีการแบ่งปันความรู้ และ อุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นร่วมกัน
  • ให้ความร่วมมือ (cooperate) กับกิจกรรมของกลุ่ม เช่น แสดงความคิดเห็นอย่างกระตือรือร้น อาสารับหน้าที่ที่ตนถนัดโดยไม่บ่ายเบี่ยง และพร้อมเรียนรู้พัฒนาทักษะที่ไม่ถนัด เพื่อสนับสนุนการทำงานของทีม ถ้าทีมต้องการ
  • รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน 
  • เสนอความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล และต่อยอดความคิดผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์
  • สื่อสารระหว่างกันด้วยความเคารพและให้เกียรติผู้อื่น ไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
  • ตัดสินใจเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน อย่างเป็นประชาธิปไตย

เห็นได้ว่ากระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างการรวมพลังทำงานเป็นทีมไม่ได้ส่งผลเชิงบวกต่องานที่ทำเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนแต่ละบุคคลด้วย 

การเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่มีคุณภาพทำให้เราเติบโตขึ้นจากการรับฟัง ฝึกฝน และลงมือลองผิดลองถูกไปพร้อมๆ กัน 

ผู้เรียนได้ค้นพบแนวคิดใหม่ๆ ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดผ่านประสบการณ์ของเพื่อนๆ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาก้าวข้ามข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

“เราทุกคนต่างมีจุดบอดของตัวเอง อาจเป็นพฤติกรรมหรืออุปนิสัยบางอย่าง เป็นจุดอ่อนจุดแข็งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำเมื่อทำงานคนเดียว สิ่งเหล่านี้จะถูกสะท้อนออกมาให้ได้เรียนรู้เมื่อทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยให้เรามีโอกาสพัฒนาจุดอ่อน ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีขึ้นและได้พัฒนาตัวเอง ความเติบโตที่เกิดขึ้นนี้สามารถนำกลับไปใช้พัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัวได้อีกด้วย” ซูซาน แมคแดเนียล (Susan McDaniel) นักจิตวิทยาและหนึ่งในบรรณาธิการ “The Science of Teamwork” กล่าว

อ้างอิง

https://www.nciea.org/blog/educational-assessment/instructing-assessing-21st-century-skills-focus-collaboration

https://intranet.ecu.edu.au/__data/assets/pdf_file/0004/771574/teaching-tips-for-teamwork-skills.pdf

https://www.youtube.com/watch?v=DmGn2X9SETk

https://www.atlassian.com/blog/teamwork/the-importance-of-teamwork

Tags:

Competency-based Curriculumทักษะการร่วมงานกับผู้อื่น(collaborative skill)หลักสูตรฐานสมรรถนะTeamwork

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Character building
    ชวนเด็กเปื้อนดิน ติดตั้ง ‘สมรรถนะการอยู่กับธรรมชาติและวิทยาการ’ ให้เขาอยู่รอดและอยู่ร่วมกับโลกได้อย่างยั่งยืน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ทุกคน คือ ‘Active Citizen’: สร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ จากเรื่องใกล้ตัว

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่ใช่แค่ได้ยินแต่เข้าใจ : บันไดขั้นแรกของ ‘สมรรถนะการสื่อสาร’ ที่ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ‘การคิดเชิงระบบ’ สมรรถนะการคิดขั้นสูงที่ช่วยเด็กรับมือกับความซับซ้อนของโลกในอนาคต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    Self-Management : สมรรถนะการจัดการตนเอง ปูทางเด็กสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของชีวิต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘การสื่อสารในครอบครัว’ เรื่องใกล้ตัวที่ควรเปิดใจและเข้าใจ ก่อนที่เราจะหมางเมินกัน
Family Psychology
7 January 2022

‘การสื่อสารในครอบครัว’ เรื่องใกล้ตัวที่ควรเปิดใจและเข้าใจ ก่อนที่เราจะหมางเมินกัน

เรื่อง ภณิชชา ไชยกวิน

  • การสื่อสารถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ บ่อยครั้งที่การสื่อสารไม่ถูกวิธีนำมาซึ่งความขัดแย้ง โดยเฉพาะการสื่อสารในครอบครัว หากเกิดปัญหาแต่สมาชิกเลือกปล่อยผ่าน อาจทำให้บรรยากาศครอบครัวอึดอัด
  • ในเด็กเล็กมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะอยู่ในช่วงวัยเรียนรู้เลียนแบบการสื่อสารจากคนในครอบครัว เช่น เด็กเห็นแม่พูดห้วนๆ กับยาย เขาก็อาจเลียนแบบตาม
  • การสื่อสารถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยความตระหนักรู้ในตนเอง การจัดการอารมณ์ และการเข้าใจบริบทต่างๆ รอบตัว การเข้าใจตนเองและผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง

การสื่อสารในครอบครัวเป็นพื้นฐานของสัมพันธภาพในครอบครัว ซึ่งถือเป็นหน้าที่หนึ่งของสมาชิกในครอบครัว บ่อยครั้งเราจะเห็นได้ว่าการสื่อสารที่ไม่เหมาะสมนั้นก่อเกิดผลกระทบตามมามากมาย ทั้งด้านอารมณ์จิตใจ และพฤติกรรมของทั้งตัวผู้พูดและตัวผู้ฟังเอง บางครั้งกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด ไม่ได้นำกลับมาแก้ไขหรือสื่อสารใหม่ จนสมาชิกในครอบครัวก็เลือกที่จะไม่พูดคุยกันเลย หลบหน้า หลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ทำให้บรรยากาศในครอบครัวชวนน่าอึดอัด ขาดความสุขในครอบครัว เกิดความเครียดและเสียพลังงานในการใช้ชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งปัญหาการสื่อสารในครอบครัวที่พบได้บ่อย คือ

  • ครอบครัวที่ไม่ค่อยพูดคุยหรือไม่เล่าอะไรให้คนในครอบครัวฟัง
  • ครอบครัวที่มีการใช้อำนาจบังคับ หรือขู่เข็ญ 
  • ครอบครัวที่ไม่ค่อยใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา ด่าทอ หยาบคาย หรือพูดทำร้ายจิตใจ ประชดประชัน

หากลักษณะการสื่อสารเหล่านี้ยังคงอยู่ สัมพันธภาพในครอบครัวก็จะมีแนวโน้มแย่งลงไปเรื่อยๆ วิธีที่พ่อแม่พูดคุยกับลูกๆ หรือวิธีที่พี่น้องใช้พูดคุยกัน ส่งผลต่อพัฒนาการด้านสังคมตั้งแต่ในวัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ เนื่องจากตั้งแต่ในวัยเด็กนั้นเขาสามารถเรียนรู้วิธีการสื่อสารจากการเลียนแบบคนในครอบครัวได้ เช่น ถ้าเด็กเห็นแม่พูดกับยายแบบห้วนๆ ไม่มีหางเสียง เด็กก็จะเลียนแบบโดยอัตโนมัติ และหากแม่บังคับให้ลูกพูดมีหางเสียงกับตัวเอง เด็กก็จะรู้สึกคับข้องใจ ขัดแย้งได้เมื่อโตขึ้น อาจจะยอมพูดมีหางเสียงกับแม่ แต่ก็มีพฤติกรรมการพูดห้วนกับคนข้างนอก เป็นต้น จะเห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองเอง สามารถเป็นต้นแบบที่เหมาะสม หรือไม่เหมาะสมในการสื่อสารได้ 

นอกจากนี้วัฒนธรรมในครอบครัว ความเชื่อ และการใช้รูปแบบความคิดที่บิดเบือนไปจากความจริงบ่อยๆ ก็เป็นอีกสาเหตุในการเกิดรูปแบบการสื่อสารที่ไม่เหมาะสมในครอบครัวได้ เช่น เมื่อลูกกลับบ้านไม่ตรงเวลา พ่อแม่อาจจะมีความคิดที่บิดเบือนไปจากความจริง คือความคิดที่ด่วนสรุปไปแล้วว่า เพราะลูกติดเพื่อนแอบไปทำอะไรไม่ดี จึงเกิดอารมณ์หงุดหงิดไม่พอใจ เมื่อเจอหน้าลูกก็ตำหนิและต่อว่าทันที โดยขาดการรับฟังข้อมูลจากตัวเด็ก ส่งผลกระทบต่อความเชื่อใจในครอบครัว ความผูกพันทางจิตใจ ซึ่งถือเป็นฐานหลักของสัมพันธภาพในครอบครัว

เมื่อลูกไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เป็นข้อมูลของฝั่งตัวเองได้เพราะพ่อแม่ด่วนสรุปไปแล้ว เด็กเกิดความกังวล ความกลัว มีมุมมองต่อตัวเองที่ไม่ดี ความนับถือตนเองอาจลดลง เด็กเกิดความคับข้องใจไม่รู้จะพูดคุยกับใครในครอบครัวนำไปสู่ความเครียด และปัญหาอื่นๆ ได้

ดังนั้น การสื่อสารจึงเป็นสิ่งสำคัญในทุกด้านของชีวิต ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งก็ว่าได้ ที่ต้องอาศัยทั้งความตระหนักรู้ในตนเอง การจัดการอารมณ์ และการเข้าใจบริบทต่างๆ รอบตัว การเข้าใจตนเองและผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะยิ่งหากเป็นการสื่อสารในครอบครัวแล้ว จำเป็นต้องมีฐานความผูกพันทางจิตใจที่ดีก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้นในการฝึกฝน 

อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าทักษะการสื่อสารมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว ดังนั้น หากครอบครัวมีการสื่อสารที่ดีก็จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เกิดเป็นช่วงเวลาที่ดีในครอบครัว และแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ความเครียดในครอบครัวลดลง ความสุขเพิ่มมากขึ้น มีพลังงานที่ดีในการใช้ชีวิต รวมถึงมีทักษะการสื่อสารที่ดีไปใช้ในการสื่อสารกับผู้อื่นด้วย 

ซึ่งทักษะการสื่อสารนั้นหมายรวมทั้งการพูด การฟัง และการสื่อสารด้านอวัจนภาษา โดยการฝึกทักษะการสื่อสารในครอบครัวทางบวก สามารถเริ่มต้นได้จาก การเคารพซึ่งกันและกัน, การเปิดใจไม่ด่วนตัดสิน, ซื่อสัตย์จริงใจทั้งต่อตัวเองและสมาชิกในครอบครัว, ตรงไปตรงมาในลักษณะของเหตุและผล และสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและปลอดภัยในการสื่อสาร

อ้างอิง
The Effects of Poor Family Communication
Family Communication
รอลูกเลิกเรียน สสส.ชวนพ่อแม่เข้าใจวัยรุ่น ลดช่องว่างสานสัมพันธ์ครอบครัว 

Tags:

แบบแผนทางความสัมพันธ์ทักษะการสื่อสาร(Communication Skill)การสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ความขัดแย้ง

Author:

illustrator

ภณิชชา ไชยกวิน

Related Posts

  • Family Psychology
    เรียนรู้ที่จะ “ใจกว้าง” ในความขัดแย้งกับครอบครัว เพื่อเราจะได้ไม่ต้องปล่อยมือจากกัน : คุยกับหมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Dear ParentsMovie
    About time: ความสัมพันธ์ต้องไม่พยายามฝ่ายเดียว คนในครอบครัวก็เช่นเดียวกัน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    สานสัมพันธ์พี่ – น้องให้แน่นแฟ้นด้วยการเลี้ยงดูของพ่อแม่ : ใช้เวลาร่วมทุกข์ – สุขและให้ความยุติธรรม

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Everyone can be an Educator
    มุมมองใหม่ในการรู้จักตัวเอง ผ่านการดูไพ่ทาโรต์

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

เคารพสิทธิของลูก เพราะร่างกายเป็นของลูก ไม่ใช่ของใคร
Early childhood
5 January 2022

เคารพสิทธิของลูก เพราะร่างกายเป็นของลูก ไม่ใช่ของใคร

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ในเด็กเล็กอาจยอมให้คนอื่นๆ สามารถสัมผัสหรือจับตัวได้ แต่เมื่อถึงวัยหนึ่งเขาจะเริ่มแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ใครแตะตัวบ้าง สิ่งที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่ดูแลควรทำ คือ สอนเขาว่าต้องปกป้องตัวเองอย่างไร
  • หากมีใครอยากมาเล่น สัมผัสลูกเรา โดยที่เขาไม่รู้สึกยินยอม พ่อแม่ควรพาลูกออกมาทันที ไม่ควรเกรงใจแล้วปล่อยให้เขาสัมผัสลูก แม้จะเป็นการหยอกล้อก็ตาม ไม่มีคำว่า ‘หวงลูก’ ‘เล่นตัว’ หรือ ‘หยิ่ง’ เกินไปในกรณีนี้
  • ก่อนจะโพสเรื่องลูกลงโซเชียล ควรขออนุญาตเขาก่อน เพราะบางครั้งลูกไม่ต้องการให้ใครรับรู้เรื่องราวของเขา และเมื่อโพสไปแล้วไม่อาจหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมได้ อาจส่งผลต่อลูกเมื่อโตขึ้น
หมายเหตุ: บทความนี้เขียนขึ้นโดยอ้างอิงและยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของผู้ที่เข้ามาขอรับการปรึกษา ทำให้ ประสบการณ์ของบางคนอาจจะไม่ตรงกับในบทความได้ 

“สิทธิของร่างกายของลูก พ่อแม่ต้องปกป้องในวันที่เขายังปกป้องตัวเองไม่ได้”

คุณแม่ท่านหนึ่งถามว่า “แต่ก่อนลูกเคยยอมให้คนทุกคนอุ้ม อุ้มแล้วไม่ร้อง วางไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นได้ กับคนแปลกหน้ายังยิ้มให้เขาเลย พอมา 2 ขวบ เขาไม่ให้ใครแตะเขาเลยยกเว้นพ่อแม่ ทำไมกลายเป็นแบบนั้นและต้องทำอย่างไรดี?” 

อยากจะเรียนคุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ทุกท่านว่า “ลูกๆ ของคุณพ่อคุณแม่ปกติดี และพฤติกรรมของเขาที่แสดงออกชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้ใครมาแตะตัวเขายกเว้นพ่อแม่นั้น ถูกต้องตามหลักพัฒนาการของเขาแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เขายอมเพราะเขายังจดจำไม่ได้ว่า ใครเป็นพ่อแม่หรือผู้ดูแลเขา แต่เมื่อเขารู้แล้ว เขาจำได้แล้ว พ่อแม่มีอยู่จริงสำหรับเขาแล้ว เขาจะไม่ยอมให้คนแปลกหน้ามายุ่งกับเขา ถ้าเด็กยอมนั่นแปลก เพราะเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับพ่อแม่ ดังนั้นไม่ว่าใครคนไหนเขาก็ไม่ยอมให้อุ้มแน่นอน” 

สิ่งที่พ่อแม่และผู้ใหญ่ควรรู้เพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจกับคำตอบข้อนี้ พัฒนาการพฤติกรรมผูกพันที่เกิดขึ้นในเด็กในแต่ละวัยที่แตกต่างกัน ส่งผลให้เด็กตอบสนองต่อคนรอบข้างแตกต่างกัน 

Mary Ainsworth (1979) กล่าวถึงพัฒนาการของพฤติกรรมผูกพันที่เกิดขึ้นในเด็กไว้ดังนี้… 

  • ระยะที่ 1เด็กทารกวัย 8 สัปดาห์แรกจะเริ่มต้นสร้างความผูกพันกับผู้เลี้ยงดู (พ่อแม่) ด้วยการยิ้ม ส่งเสียงร้องอ้อแอ้ และร้องไห้เพื่อให้ผู้เลี้ยงดูสนใจเขา เขายังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของคนที่เขามาดูแลเขาได้ วัยนี้ไม่ว่าใครเด็กก็ยอมให้อุ้มทั้งนั้น 
  • ระยะที่ 2 เด็กทารกวัย 2 – 6 เดือน จะเริ่มจำแนกระหว่างผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยได้มากขึ้น และตอบสนองต่อผู้ดูแลมากกว่า เขาจะเริ่มติดและอยากตามพ่อแม่ช่วงนี้ 
  • ระยะที่ 3 เด็กระหว่างวัย 6 เดือนถึง 2 ขวบ คือ ช่วงที่เด็กเกิดความผูกพันกับผู้เลี้ยงดูอย่างชัดเจน ดังนั้นหากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กวัยนี้ควรมีความมั่นคง ให้ความรัก และความเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ เป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริงสำหรับเขาด้วยการมีเวลาคุณภาพให้ลูก เพราะเด็กวัยนี้จะเริ่มเข้าไปสำรวจสิ่งแวดล้อม หากเสาหลักสำหรับยึดเหนี่ยว (พ่อแม่) ของเขายังคลอนแคลน เด็กจะรับรู้ว่าไม่ปลอดภัย และไม่กล้าออกไปเผชิญโลก 

ส่วนใหญ่หลังเด็กอายุครบ 1 ขวบ เด็กจะสามารถแสดงพฤติกรรมผูกพันชัดเจน เขาจะปฏิเสธทันทีเมื่อต้องจากพ่อแม่ของเขาไปไกล หรือจะประท้วงการจากไปของพ่อแม่ เขาจะทักทายเมื่อพ่อแม่กลับมาบ้าน โดยชะเง้อมองหาเราตามเสียงที่ได้ยิน เขาจะเริ่มเกาะแขน เกาะขา เกาะเรา ติดแจเมื่อกลัว และจะพยายามตามติดพ่อแม่ไปทุกที่เมื่อเริ่มเคลื่อนที่ได้ 

เมื่อเด็กอายุครบ 2 ขวบ เขาจะรับรู้ว่ามีผู้ดูแลเขาได้มากกว่าสองคน (มากกว่าพ่อแม่) เขาสามารถวางแผนเพื่อให้คนอื่นเอาใจเขาได้ จากแต่ก่อนเด็กอาจจะร้องไห้เมื่อได้รับความเจ็บปวดหรือหิวเท่านั้น แต่เมื่อ 2 ขวบเด็กจะเริ่มเรียนรู้ที่จะร้องไห้เพื่อเรียกร้องให้คนมาสนใจ หรือเพื่อให้ได้ดั่งใจ และถ้าไม่มีใครสนใจเขา เขาจะร้องดังขึ้นจนกว่าจะสำเร็จ 

ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่ควรให้ความรักและสายสัมพันธ์เพื่อสร้างตัวตนที่มีคุณค่าให้กับลูก เพื่อให้เขารับรู้ว่าตัวเขามีความสำคัญและมีอยู่จริง เพื่อจะเรียนรู้การปกป้องร่างกายและคุณค่าภายในตนเองในอนาคต 

“ร่างกายเป็นของลูก” 

ให้การปกป้องลูกในวันที่เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ 

เด็กจะเกิดความรักและหวงแหนร่างกายของเขาได้ ก็ต่อเมื่อในวัยเยาว์ของเขาได้รับการปกป้องจากพ่อแม่ของเขา หากมีใครอยากมากอด มาอุ้ม มาหอม ลูกของเราในวัยแรกเกิดถึงวัยเตาะแตะที่ยังสื่อสารและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พ่อแม่ควรปกป้องลูกและบอกปฏิเสธชัดเจนเมื่อผู้อื่นพยายามเข้ามาสัมผัสลูกทันที หรือเล่นกับลูกในแบบที่เขาไม่ชอบ โดยเราอาจจะให้คำอธิบายกับอีกฝ่ายว่า “ขอโทษนะ คะ/ครับ น้องยังเล็ก ไม่มีภูมิคุ้มกันเท่าเราผู้ใหญ่” ถ้าอีกฝ่ายไม่เข้าใจ ขอให้พ่อแม่ปล่อยวางและยืนหยัดต่อไป ในกรณีที่เด็กโตพอจะสื่อสารได้เอง ผู้ใหญ่ควรขออนุญาตเขาก่อนการสัมผัสตัวหรือเข้าไปเล่นกับเขา 

นอกจากนี้ หากมีใครอยากมาเล่น มาหยอกล้อ มากอด มาอุ้ม มาสัมผัสตัวเด็ก โดยที่เขาไม่ได้รู้สึกยินยอม พ่อแม่ควรเข้าไปพาลูกออกมาจากผู้ใหญ่คนดังกล่าว ไม่ควรเกรงใจแล้วปล่อยให้เขาสัมผัสลูกของเรา แม้จะเป็นการหยอกล้อก็ตาม 

ไม่มีคำว่า ‘หวงลูก’ ‘เล่นตัว’ หรือ ‘หยิ่ง’ เกินไปในกรณีนี้ เพราะสำหรับเด็กไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไหร่ จะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง การที่เขาไม่ยินยอม เขาควรได้รับการปกป้องจากเรา 

“ร่างกายนี้เป็นของลูก ลูกมีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ให้ใครมาสัมผัสได้เสมอ” 

“สอนลูกว่าร่างกายเป็นของเรา” 

ลูกมีสิทธิ์ที่จะไม่อนุญาตให้ใครมาสัมผัส และบริเวณใดบนร่างกายที่ไม่ควรให้ใครมาสัมผัสเด็ดขาด 

สอนลูกให้รู้จักร่างกายของตัวเอง และสอนเขาให้ปกป้องร่างกายของเขาจากการสัมผัสจากผู้อื่น แม้จะเป็นผู้ใหญ่ในบ้าน ก็ไม่ควรสัมผัสเด็กในส่วนใดของร่างกาย หากเขาไม่ได้อนุญาตหรือไม่ชอบวิธีการสัมผัสของเรา 

โดยเฉพาะจุดต้องห้าม 4 จุด ได้แก่ 

  1. ริมฝีปาก 
  2. หน้าอก
  3. อวัยวะเพศและบริเวณระหว่างขา 
  4. ก้น 

เหตุผล คือ จุดเหล่านี้เป็นจุดที่ไวต่อการสัมผัสและละเอียดอ่อน ถ้าคนอื่นมาสัมผัสแล้วเขาอาจจะเกิดความรู้สึกอยากทำอะไรมากกว่าแค่สัมผัส ซึ่งเขาอาจจะทำร้ายลูกเราได้

สิ่งสำคัญ คือ ผู้ใหญ่ไม่ควรหยอกล้อเด็กๆ โดยการสัมผัสร่างกายของเขาในบริเวณเหล่านี้

“ไม่ใช่แค่เพียงร่างกาย แต่หมายรวมถึงสิทธิต่างๆ ของลูกที่ไม่ควรถูกละเมิดในวันที่เขายังไม่รู้เดียงสา” 

การโพสภาพของลูกลงโซเชียลเน็ตเวิร์ก

ถ้าหลีกเลี่ยงได้ แนะนำให้หลีกเลี่ยง เพราะภาพที่โพสลงไปแล้วจะคงอยู่ตลอดไปในอินเตอร์เน็ต เมื่อลูกของเราโตขึ้นเขาอาจจะรู้สึกอับอาย และอาจจะโดนกลั่นแกล้งจากสังคมจากภาพที่เราโพสตอนที่เขายังเป็นเด็กก็ได้ 

พ่อแม่หลายคนมองว่า ภาพลูกโป๊ ภาพลูกทำอะไรตลกๆ เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดู แต่สำหรับลูกที่อยู่ในวัยเยาว์ เขาถูกเราละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวโดยที่เขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย ที่สำคัญภาพเหล่านั้นอาจะนำไปสู่การอันตรายอันใหญ่หลวง เช่น การลักพาตัว การล่วงละเมิดทางเพศ และ อื่นๆ เพราะภาพเหล่านั้นมีรายละเอียดของเด็ก โรงเรียน ชื่อ ที่อยู่ และกิจวัตรที่เด็กทำเป็นประจำ

ดังนั้น อยากอวดความน่ารักของลูก เราแบ่งปันไว้ดูในครอบครัวของเราดีกว่า อย่าโพสลงโซเชียลเน็ตเวิร์กเลย หรือ เปลี่ยนมาเป็นเขียนเล่าเรื่องถึงสิ่งที่ลูกท อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า 

ในกรณีที่ลูกของเราโตแล้ว ถามเขาก่อนว่า เขารู้สึกสะดวกใจไหมที่เราจะลงภาพถ่ายของเขาลงในโซ เชียลเน็ตเวิร์กของเรา 

การโพสเรื่องราวของลูกลงไปในโซเชียลเน็ตเวิร์ก

ก่อนจะโพสเรื่องราวของลูกลงไป เราควรขออนุญาตลูกก่อน เพราะบางครั้งลูกไม่ได้ต้องการให้ใครรับรู้เรื่องราวของเขา ที่สำคัญเมื่อเราโพสเรื่องราวของลูกลงไปในที่สาธารณะแล้ว (การตั้งค่า Public) เราไม่อาจหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์โดยคนในสังคมได้ ซึ่งเมื่อลูกโตขึ้นเขากลับมาย้อนดูเรื่องราวของตัวเอง ลูกอาจจะรู้สึกเสียใจ อับอาย และอื่นๆ ซึ่งไม่ได้ส่งผลดีกับลูกเลย 

เรื่องราวแม้จะจบลงไปแล้ว แต่เมื่อลงไปในโซเชียลเน็ตเวิร์ก เรื่องราวนั้นจะคงอยู่ต่อไป เป็นร่องรอยทางดิจิทัล (Digital Footprint) บาดแผลที่เคยได้รับการเยียวยาไป อาจจะถูกสะกิดขึ้นมาใหม่เมื่อเข้ามาเจอ 

ในความเป็นจริงแล้วการบันทึกความทรงจำที่ดีที่สุด คือ การใช้ตัวของเราเข้าไปอยู่กับลูกตรงนั้น… ใช้สายตาทั้งสองของเรามองไปที่ลูก 

ใช้หูของรับฟังเสียงของเขา 

ใช้มือทั้งสองสัมผัสเขาอย่างอ่อนโยน ลูบหัว จูงมือ เล่นด้วยกัน 

และใช้หัวใจของเราจดจำช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันกับเขาเอาไว้ 

“พ่อแม่แสดงความรักอย่างเหมาะสมต่อลูกได้อย่างไร” 

  • ‘ภาษากาย’ ที่สื่อสารความรักให้ลูกรู้ 

สายตา ที่มอบให้เขา 

หู ที่รับฟังเขาทุกเรื่องราว ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ 

มือ ที่ว่างพร้อมเล่นกับเขา และเป็นผู้ช่วยสอนยามที่ลูกต้องการความช่วยเหลือ วงแขนที่พร้อมเป็นที่พักพิงยามที่เหนื่อยล้า 

ทั้งหมดทั้งมวล คือ “ตัวเราที่พร้อมอยู่ตรงนั้นเพื่อเขา”

  • ‘พูดสื่อสาร’ ให้ลูกรู้ว่า “พ่อแม่รักเขา” 

สื่อสารอย่างจริงใจ 

ให้การชื่นชมมากกว่าตำหนิ 

ให้การสอนมากกว่าลงโทษ 

พูดบอกรักมากกว่าพูดทำร้าย 

  • ‘รัก’ และ ‘ยอมรับ’ ในแบบที่ลูกเป็น 

ไม่เปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น 

ไม่เรียกร้องให้ลูกต้องทำตามที่เราต้องการ 

ไม่คาดหวังไม่ตรงตามความเป็นจริง 

แต่เชื่อมั่นในตัวลูก และให้การสอนสิ่งสำคัญตามวัยของเขา 

  • ให้เกียรติซึ่งกันและกัน 

หากต้องการให้ลูกตอบสนองเราเช่นไร พ่อแม่ควรปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นก่อน อยากให้ลูกรักและเคารพเรา เราเองก็ควรรักและเคารพเขาเช่นกัน การทำข้อตกลง และกำหนดกติกาภายในครอบครัวให้ชัดเจน จะช่วยให้คนในบ้านเข้าใจและเคารพกันมากขึ้น 

‘ร่างกาย’ เป็นของลูก ในวันที่เขายังเล็ก เราให้ความรักและการปกป้อง ในวันที่เขาโตพอ เราควรขออนุญาตจากเขาก่อนจะทำสิ่งใด 

‘จิตใจ’ เป็นของลูก ในวันที่เขายังเล็ก เราให้ความรักและการสอนสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต ในวันที่เขาเติบโตพอจะตัดสินใจ ให้เขาได้เลือกด้วยตัวเอง 

แม้ว่าจะเป็นเด็กและยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รู้สึก บางครั้งเด็กอาจจะรู้สึกมากกว่าผู้ใหญ่เสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ผู้ใหญ่ควรตระหนักถึงข้อนี้เสมอ 

สุดท้าย รักและเคารพลูกวันนี้ให้มากพอ เพื่อที่เขาจะรักและเคารพตัวเองในวันที่เติบโต แม้พ่อแม่จะไม่สามารถปกป้องลูกได้ตลอดเวลา แต่ความรักและคุณค่าที่เรามอบให้จะติดตัวลูกไปตลอดชีวิตของเขา

Tags:


Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Creative learningEarly childhood
    ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Family PsychologyEarly childhood
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.8 ‘ความเบื่อและการเล่นอิสระ’ ส่วนประกอบสำคัญของวัยเยาว์

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family PsychologyEarly childhood
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to get along with teenager
    การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

สร้างแรงจูงใจทางบวก กระตุ้นศักยภาพการเรียนรู้ให้เด็กเอาตัวรอดได้ในสิ่งแวดล้อมที่ยากจะคาดเดา
Learning Theory
5 January 2022

สร้างแรงจูงใจทางบวก กระตุ้นศักยภาพการเรียนรู้ให้เด็กเอาตัวรอดได้ในสิ่งแวดล้อมที่ยากจะคาดเดา

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • มีเด็กจำนวนมากที่ไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้ในห้องเรียนเข้ากับชีวิตประจำวัน จึงเกิดคำพูดทำนอง “เรียนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร” การหาทางเชื่อมโยงเรื่องราวในบทเรียนเข้ากับชีวิตจริง จึงเป็นการสร้างกรอบแนวคิดเชิงบวกที่ดีให้กับการเรียนรู้ และเน้นย้ำว่าการเรียนมีประโยชน์อย่างน้อยในทางใดทางหนึ่ง
  • สร้างแรงจูงใจทำให้เขารู้สึกเสมอว่า ‘ตัวเองมีความสามารถและพัฒนาได้’ ให้คำแนะนำตามความเป็นจริง ไม่ชมเชยเกินกว่าจริง เพื่อให้เด็กได้เห็นช่องว่างในการพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นไปอีก
  • รวมถึงการกระตุ้นให้เด็กแต่ละคนตั้งเป้าหมายด้วยการแข่งขันกับตัวเอง มองเห็นการชนะตัวเอง การทำได้ดีกว่าที่เคยทำได้เมื่อวานหรือเมื่อวันก่อน ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการดึงศักยภาพในตัวของเด็กออกมาใช้ให้ได้อย่างเต็มที่มากที่สุด

หากไปอ่านบทความหรือหนังสือเกี่ยวกับการสร้างแรงจูงใจ ก็มักจะพบว่าส่วนใหญ่มักระบุว่า แรงจูงใจให้คนเราทำอะไรต่อมิอะไรมากมายนั้น แบบหนึ่งเป็นแรงจูงใจจากภายใน เช่น ความสนุก ความชอบ กำลังใจ ความทะเยอทะยาน และความมุ่งมั่น ฯลฯ ขณะที่อีกแบบหนึ่งเป็นแรงจูงใจจากภายนอก เช่น คำชม เงินทอง ข้าวของ ชื่อเสียง และสถานะพิเศษต่างๆ ฯลฯ

แต่แรงจูงใจสองแบบนี้อาจจะแยกจากกันไม่ได้เด็ดขาด บ่อยครั้งที่แรงจูงใจภายในก็เกิดมาจากการเสริมแรงจากแรงจูงใจภายนอก หากสังเกตให้ดีทั้งหมดที่ว่ามาเป็นแรงจูงใจ ‘เชิงบวก’ แต่ยังมีแรงจูงใจ ‘เชิงลบ’ เช่น การคาดโทษและการลงโทษ เช่น หากไม่ส่งการบ้าน จะโดนลงโทษ หากมาสายจะโดนตัดคะแนนหรือตัดเงินเดือน หากจอดรถเกินเวลาหรือจอดในที่ห้ามจอดก็โดนปรับ ฯลฯ  

แต่ในวงการจิตวิทยามีการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าและได้ผลไม่ต่างกันว่า การใช้แรงจูงใจในทางบวกให้ผลดีและยั่งยืนมากกว่าการใช้แรงจูงใจทางลบ 

ภายใต้สภาพแวดล้อมศตวรรษที่ 21 ในปัจจุบัน ปัจจัยรอบตัวส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างแนวคิดและตัวอย่างวิธีการสร้างแรงจูงใจสำหรับนักเรียนนักศึกษา ที่ครูอาจารย์หรือผู้ปกครองอาจนำไปประยุกต์ใช้งานได้ด้วย อันที่จริงแม้แต่ตัวผู้เรียนเองก็อาจนำหลายข้อไปใช้งานเองได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน

แนวคิดและวิธีการต่างๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้ เน้นไปที่การสร้างกรอบแนวคิด ความเชื่อ และคุณลักษณะที่ดี ‘ภายในตัวของผู้เรียนเอง’ ประกอบด้วยแนวคิดข้อแรกคือ การทำให้รู้สึกว่าการศึกษาเป็น ‘ทางเลือก’ ไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นตัวเลือกที่มีประโยชน์และสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ 

ครูอาจารย์จำนวนมากย่อมจะเจอเด็กนักเรียนหลายคนที่ไม่สนใจสิ่งที่ตนสอนอยู่เสมอ ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะเด็กอาจจะมองไม่เห็นอนาคต ยังไม่รู้จักตัวเองดี ไม่เห็นประโยชน์ของการเรียน การสร้างตัวเลือกที่ดีก็อย่างที่หลายโรงเรียนหรือหลายมหาวิทยาลัยเริ่มทำก็คือ การเปิดให้นักเรียนนักศึกษาได้มีโอกาสเลือกเรียน ‘วิชาเลือก’ ได้ด้วยตัวเองมากขึ้น มีการเลือกวิชาเรียนข้ามสายวิทย์สายศิลป์มากขึ้น 

โลกสมัยใหม่นอกจากการต้องการคนที่รู้ลึกในทางใดทางหนึ่งแล้ว ในอีกด้านหนึ่งก็ต้องการคนที่รู้กว้างสามารถเชื่อมโยงหลายเรื่องเข้าด้วยกันได้ การเปิดโอกาสให้เลือกวิชาเรียนได้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากที่จะทำให้ได้คนมีศักยภาพเช่นนั้น  

นอกจากนี้ การสร้างสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนและที่บ้านให้เหมาะสมต่อการเรียนรู้และค้นหาตัวตนก็สำคัญ การจัดหาหนังสืออย่างหลากหลายรูปแบบไว้ในห้องสมุด การจัดกิจกรรมที่มีความหลากหลายสูงในสถานศึกษา การเปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนมาเล่าเรื่องที่ตัวเองทำหรือสนใจในชั่วโมงวิชาแนะแนว หรือการเชิญพี่เก่ามาที่ประสบความสำเร็จในงานแบบใหม่ๆ ที่บุกเบิกเองมาเป็นครั้งคราว ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เห็นและเข้าใจตัวเอง รวมทั้งมองอนาคตอย่างเปิดกว้างมากขึ้นด้วย

ครูอาจารย์เองก็ควรตระหนักในความหลากหลายของนักเรียนด้วยว่า บางคนอาจเรียนไม่เก่ง แต่เล่นกีฬาเก่ง หรือเล่นดนตรีเก่ง หรือมีความสามารถพิเศษบางอย่าง เช่น สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจนเล่นเกมโกะหรือไพ่บริดจ์ได้ดี จึงไม่ควรคาดหวังเรื่องผลการเรียนจนเกินไป

แนวคิดอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ มีเด็กจำนวนมากที่ไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้ในห้องเรียนเข้ากับชีวิตประจำวัน จึงเกิดคำพูดทำนอง “เรียนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”  

การหาทางเชื่อมโยงเรื่องราวในบทเรียนเข้ากับชีวิตจริง จึงเป็นการสร้างกรอบแนวคิดเชิงบวกที่ดีให้กับการเรียนรู้ และเน้นย้ำว่าการเรียนมีประโยชน์อย่างน้อยในทางใดทางหนึ่ง เช่น หากเป็นวิชาคณิตศาสตร์สำหรับเด็กประถมที่กำลังเรียนเรื่องการเปลี่ยนหน่วยหรือการเปลี่ยนค่า ก็ลองสมมุติว่านักเรียนต้องตามผู้ปกครองไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วให้หัดเปลี่ยนค่าเงินบาทเป็นเงินเยนญี่ปุ่น เงินหยวนจีน หรือเงินดอลลาร์สหรัฐ หัดเปลี่ยนอุณหภูมิจากเซลเซียสเป็นฟาเรนไฮต์ หรือหัดเปลี่ยนหน่วยกิโลเมตรเป็นไมล์ ฯลฯ 

ในวิชาเคมีเมื่อเรียนเกี่ยวกับสารเคมีบางชนิดหรือปฏิกิริยาบางชนิดที่เด็กไม่รู้หรือคุ้นเคยมาก่อน ก็อาจยกตัวอย่างชี้ให้เห็นได้ว่า มันเป็นส่วนประกอบหลักในสบู่ แชมพู น้ำมันพืช เครื่องดื่ม หรือปฏิกิริยาในการหมักอาหาร เครื่องปรุงรสต่างๆ พร้อมยกตัวอย่างอาหารนั้นๆ เป็นต้น ที่ สวทช. เคยมีจัดค่าย ‘ต้มยำกุ้ง’ เพื่อสอนวิทยาศาสตร์อาหาร เริ่มจากการสอนส่วนประกอบต่างๆ ในอาหาร หลักการทางวิทยาศาสตร์ของกระบวนการปรุงแบบต่างๆ และการรับรสรับกลิ่น ฯลฯ 

สำหรับวิชาอื่นๆ ก็ถือเป็นเรื่องท้าทาย ลองมองหาวิธีการประยุกต์และเชื่อมโยงกันดูนะครับ     

แนวคิดที่ 3 คือ การทำให้นักเรียนรู้สึกเสมอว่า ‘ตัวเองมีความสามารถและพัฒนาได้’

บางวิชาอาจยากสำหรับเด็กบางคน แต่วิชาส่วนใหญ่ออกแบบมาให้เด็ก “โดยเฉลี่ย” สามารถสอบผ่านได้ การตอกย้ำด้วยคำพูดให้กำลังใจว่า “เธอทำได้แน่” หรือ “เธอผ่านได้ถ้าพยายาม” ในยามที่นักเรียนลังเล หรือสงสัยในตัวเอง หรือแม้แต่หมดกำลังใจในการเรียน ก็ส่งผลกระทบทางบวกได้เป็นอย่างมาก

ดังนั้นท่ามกลางกิจกรรมต่างๆ ที่ให้ทำในชั้นเรียน ควรออกแบบให้เริ่มจากง่ายไปหายาก และแสดงความชื่นชมเด็กที่แม้จะทำได้แค่ค่าเฉลี่ย เพราะนั่นคือ เด็กส่วนใหญ่ในห้อง คำพูดอย่าง “เธอทำได้ดีนะ” หรือการตบไหล่ให้กำลัง เป็นรางวัลที่แม้จะเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลได้และทำได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ 

อย่างไรก็ตาม ควรให้คำแนะนำตามความเป็นจริง ไม่ชมเชยเกินกว่าจริง เพื่อให้เด็กได้เห็นช่องว่างในการพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นไปอีก  

แนวคิดต่อไปคือ ควรพยายามเชื่อมโยงความสำเร็จของนักเรียนกับความภาคภูมิใจในตัวเองของเด็กเหล่านั้น เช่น เมื่อเด็กสักคนแสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจ ไม่เหมือนคนอื่น ก็อาจกระตุ้นด้วยการพูดว่า “ครูชอบวิธีคิดและมุมมองของเธอนะ” 

ประเด็นสำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องพูดแบบนี้เมื่อตอบคำถามได้ถูกต้อง แต่ให้ชมเมื่อนักเรียนได้แสดงให้เห็นถึง ‘ความพยายาม’ หากทำเช่นนี้ได้เรื่อยๆ เด็กๆ จะเรียนรู้ว่า ‘ความพยายามสำคัญไม่แพ้ความสำเร็จ’ หรือแม้แต่อาจจะสำคัญกว่า ซึ่งจะช่วยพวกเขาเป็นอย่างมาก เพราะในชีวิตจริงการลงมือทำอะไร โดยเฉพาะเรื่องใหม่ๆ โอกาสล้มเหลวมีสูงกว่าประสบความสำเร็จมาก จึงต้องการคุณลักษณะความกล้าหาญที่จะคิดและแสดงออกมาก รวมทั้งไม่กลัวที่จะล้มเหลวด้วย 

แนวคิดที่ 5 คือ ต้องหาทางช่วยสนับสนุนให้เด็กเกิดแรงจูงใจอย่างต่อเนื่อง โดยการกระตุ้นให้ ‘แข่งขันกับตัวเอง’ เป็นหลัก 

ความทุกข์ที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่แต่ละคนสร้างขึ้นเองคือ การเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ กับคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่ได้ร่ำรวย ฉลาด หรือเก่งเป็นพิเศษอยู่แล้ว การเปรียบเทียบแบบนี้จึงสร้างความทุกข์ใจได้ง่ายมาก 

อันที่จริงแล้ว เด็กนักเรียนจำนวนมากก็มักจะเรียนรู้เรื่องการเปรียบเทียบตั้งแต่เด็กแล้ว ครูหรือผู้ปกครองอาจหลุดปากคำพูดจำพวก “ทำไมไม่เก่งเหมือนคนนั้นคนนี้” ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาของนักเรียน และควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง

เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย และเราจะดึงศักยภาพของเขาหรือเธอออกมาได้ ก็ต่อเมื่อทำให้เด็กคนนั้นมีความมั่นใจ และมีความภาคภูมิใจในตนเองเท่านั้น  

วิธีการที่ถูกต้องจริงๆ คือ การกระตุ้นให้เด็กแต่ละคนตั้งเป้าหมายด้วยการแข่งขันกับตัวเอง มองเห็นการชนะตัวเอง การทำได้ดีกว่าที่เคยทำได้เมื่อวานหรือเมื่อวันก่อน ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการดึงศักยภาพในตัวของเด็กออกมาใช้ให้ได้อย่างเต็มที่มากที่สุด

มีการทดลองที่น่าสนใจการทดลองหนึ่ง [1] ที่ศึกษาในเด็กหญิงอายุ 14-16 ปี จำนวน 60 คน โดยให้ดูวิดีโอคนที่ปาลูกดอกเข้าเป้าอย่างสมบูรณ์แบบ 15 ครั้ง เทียบกับอีกคนหนึ่งที่ใช้ความพยายามจนปาเป้าดีขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรกที่ยังไม่ดีนัก ผลคือเด็กๆ ที่ดูนักกีฬาคนที่ 2 ทำการแข่งขันได้ดีกว่า เพราะการได้เห็นการค่อยพัฒนาวิธีการแข่งขันได้ถ่ายทอด ‘แรงใจ’ ให้กับเด็กเหล่านั้น  

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความฮึกเหิมในการทำคะแนนมากกว่า! 

เรื่องสำคัญสุดท้ายก็คือ แนวคิดทุกข้อที่กล่าวมาจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อนักเรียนคนนั้นสามารถจัดการตัวเองได้อย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพราะเชื่อว่าการลงมือทำสิ่งต่างๆ ของตัวเองจะส่งผลดีเป็นอย่างยิ่งในอนาคต และการเป็นคนมีความรู้ความสามารถเป็น ‘ความเซ็กซี่’ แบบหนึ่งในโลกสมัยใหม่ที่ต้องการคนที่สามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับโลกได้  จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเน้นย้ำให้เด็กๆ รู้ว่า… 

แม้ว่าเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นอะไรที่ตั้งไว้ก็ตาม ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม ล้วนมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่ก็ไปถึงได้แน่ ถ้าลงมือทำอย่างต่อเนื่อง…นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป และยิ่งเริ่มได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น

หากทำได้เช่นนี้ แรงจูงใจจากภายนอกก็จะกลายเป็นแรงจูงใจภายในที่ติดตัวไปตลอดชีวิต และจะเป็นคุณค่าสำคัญที่จะช่วยให้เอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีในสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่ที่ยากคาดเดาได้ 

เอกสารอ้างอิง

Kitsantas, A., Zimmerman, B. J., & Cleary, T. (2000). The role of observation and emulation in the development of athletic self-regulation. Journal of Educational Psychology, 92(4), 811–817. https://doi.org/10.1037/0022-0663.92.4.811  

Tags:

แรงจูงใจในตัวเอง(Self motivation)การเรียนรู้Learning Incentives

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Creative learningSocial Issues
    ‘อยู่รอดปลอดภัย’ วิชาที่ช่วยให้เด็กคิดได้-ทำเป็น เพราะภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Everyone can be an Educator
    เรียนรู้นอกกรอบ กับอดีตครูนอกคอก: อาจารย์จำลอง บัวสุวรรณ์ ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มลูกหว้า’ เยาวชนก่อการดีแห่งเมืองเพชร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • How to enjoy life
    Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในตัว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Unique Teacher
    ‘เสรีภาพ’ และ ‘เซลฟ์’ คนรุ่นใหม่ : ทบทวนและตั้งหลักสู่ศตวรรษใหม่ในมุมการศึกษา กับ ครูปาด-ศีลวัต ศุษิลวรณ์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

พลิกชีวิตเด็กก้าวพลาด บนเส้นทางแห่ง ‘โอกาส’ และ ‘อาชีพ’ 
3 January 2022

พลิกชีวิตเด็กก้าวพลาด บนเส้นทางแห่ง ‘โอกาส’ และ ‘อาชีพ’ 

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • หลังกำแพงสูงของสถานพินิจฯ แม้จะดูสิ้นหวังแต่ก็ไม่อาจกักขังความฝันของเด็กและเยาวชนที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยก้าวพลาดให้ก้าวเดินต่อไปในลู่ในทาง
  • ด้วยข้อจำกัดและความต้องการของเด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ นำมาออกแบบหลักสูตรการฝึกทักษะอาชีพช่างอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เพื่อให้เขาเห็นเป้าหมายของตนเอง ก่อนจะขยับไปสู่การออกแบบการเรียนการสอนที่ทำให้ได้ทั้งทักษะและความรู้
  • “เด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ออกจากชุมชน ไม่เกิน 3 เดือนจะเริ่มเข้าสู่วงจรที่ค่อนข้างอันตราย  เพราะครอบครัวส่วนใหญ่หาเช้ากินค่ำ ไม่มีเวลาเอาใจใส่ ระบบการศึกษาก็ขาดคนที่รัก เข้าใจและเอาใจใส่เด็กอย่างจริงจัง “แต่แปลกที่สถานพินิจฯ ทุกคนเหมือนกับ… ผมใช้คำว่า ‘ซ่อมเด็ก’ กันอุตลุตเลย คือทุกคนทุ่มเทที่จะพยายามเยียวยาช่วยเหลือเด็ก ได้เด็กที่จะออกมาแบบสมบูรณ์ ประณีต และมีคุณภาพ แล้วไม่เป็นอันตรายกับสังคมต่อไป”

ภาพ : ปริสุทธิ์

หลังกำแพงสูงของสถานพินิจฯ แม้จะดูสิ้นหวังแต่ก็ไม่อาจกักขังความฝันของเด็กและเยาวชนที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยก้าวพลาดให้ก้าวเดินต่อไปในลู่ในทาง

ดรีม (นามสมมติ) ในวัย 19 ปี เคยใช้ชีวิตช่วงสั้นๆ ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดนครพนม ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุแค่ 16-17 ปี แต่เผอิญไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้ต้องหมดอิสรภาพ พร้อมๆ กับความฝันที่มีมาแต่เด็กต้องสะดุดลง

“ความฝันจริงๆ ผมอยากเป็นตำรวจ อยากเป็นข้าราชการให้พ่อแม่ภูมิใจ แต่ผมทำไม่ได้ ผมติดยาเสพติด ติดเพื่อน… ในที่สุดผมถูกจับมาอยู่ที่สถานพินิจฯ แต่ที่นี่ไม่ได้ขังเด็ก เขาให้แง่คิด ให้โอกาส ทำให้ผมและเพื่อนๆ ได้มีโอกาสฝึกอาชีพหลายๆ อย่าง”

ซ่อมไฟ ซ่อมชีวิต สานฝันเด็กสถานพินิจฯ

โอกาสที่ดรีมพูดถึงมาจาก ‘โครงการการพัฒนาทักษะอาชีพช่างอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีแก่เยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดนครพนม’ เพื่อยกระดับสู่มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยนำข้อจำกัดและความต้องการของเด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ มาออกแบบหลักสูตรการฝึกทักษะอาชีพ มี ผศ.บุญเยี่ยม ยศเรืองศักดิ์ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยนครพนม เป็นผู้รับผิดชอบโครงการฯ 

ปี 2563 โครงการฯได้จัดอบรมให้กับเด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ นครพนม ทั้งหมด 5 หลักสูตร คือ หลักสูตรที่ 1 การซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าในบ้านพักอาศัย หลักสูตรที่ 2 การติดตั้งไฟฟ้าภายในอาคาร หลักสูตรที่ 3 การซ่อมจักรยานยนต์ หลักสูตรที่ 4 การเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ หลักสูตรที่ 5 การสร้างสื่อดิจิทัล โดยเรียนหลักสูตรละ 20 คน แบ่งหลักสูตรการเรียนเป็น 2 ประเภท ได้แก่ หลักสูตรระยะสั้น 30 ชั่วโมง และหลักสูตร 120 ชั่วโมง ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จะได้รับใบประเมินความรู้ความสามารถ เป็นทักษะ กระบวนการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ โดยเฉพาะช่างไฟฟ้าภายในอาคารและช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ

“ตอนเข้ามาเด็กไม่รู้จักกันเลยครับ เราไม่รู้จักเด็ก เด็กไม่รู้จักเรา แต่ก่อนที่เราจะเริ่มเราจะมีการคุยกับเจ้าหน้าที่ แล้วก็ใช้แบบสอบถาม ใช้วิธีการลองพูดคุยว่าเป็นยังไง แล้วก็ลองมาโหวตกันดูว่าถ้ามีวิชาชีพเด็กๆ อยากเรียนอะไร 

คือเด็กที่นี่จะเห็นว่าถ้าเด็กๆ เขามีกิจกรรมเขาจะมีความสุข ซึ่งถ้าเป็นเรื่องทางช่างเด็กเขาชอบอยู่แล้ว พอเราบอกว่าจะมาสอนช่างก็มาโหวตน้ำหนักว่าเขาต้องการเรียนช่างอะไร สุดท้ายก็มองว่าน่าจะเป็นสาขาที่เขาทำอยู่บ้านได้ สามารถสร้างรายได้ได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นสาขาซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและระบบไฟฟ้า หลอดไฟเสีย สวิตช์เสียก็พอที่จะซ่อมได้” 

ผศ.บุญเยี่ยม เล่าถึงแนวคิดในการออกแบบหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน เพื่อให้เขาเห็นเป้าหมายของตนเอง ก่อนจะขยับไปสู่การออกแบบการเรียนการสอนที่ทำให้ได้ทั้งทักษะและความรู้

“หลังจากนั้นเราก็มาคุยกับเจ้าหน้าที่ว่าบริบทของเด็กที่นี่เป็นอย่างไร ถอดออกมาว่าเด็กที่นี่ปัญหาคือเรียนแบบปกติไม่ได้ ตอนแรกเราก็กะว่าจะเอาวิชาชีพที่เราสอนมาใช้เต็มที่ ก็เจอปัญหาแล้ว ต้องมาปรับมายเซ็ตของทีมงานใหม่ เริ่มจากบริบทของที่นี่ มาดูว่าเด็กเป็นยังไงเรียนยังไง รู้แล้วเด็กไม่ชอบเรียนทฤษฎี ไม่เป็นไร นี่คือการเรียนทฤษฎีแต่ใช้วิธีการทำงานไปด้วย”

ดรีมเลือกเรียนระบบไฟฟ้า เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว อย่างน้อยความรู้ที่ได้ก็สามารถนำไปใช้ที่บ้านหลังออกจากที่นี่ไปแล้ว แต่หลังจากที่ฝึกฝนจนมีความมั่นใจและมีโอกาสได้นำความรู้ไปใช้เดินไฟ-ซ่อมไฟให้ที่บ้านเลยไปจนถึงเพื่อนบ้าน สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็นความรู้สึกภูมิใจในตัวเอง และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่แท้จริง

“พอกลับไปบ้านก็ได้เอาไปใช้ ไม่ต้องจ้างช่าง แล้วก็มีเพื่อนบ้านให้ไปทำให้ ทีนี้พอมีอะไรเขาก็แบ่งปัน เขามองเราเปลี่ยนไป เริ่มเข้าใจเรามากขึ้น เมื่อก่อนผมเกเรมาก แต่หลังออกจากที่นี่ ผมรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป จากเด็กที่ไม่อยากไปโรงเรียน ก็ขวนขวายหาที่เรียนด้วยตัวเอง ช่วยงานที่บ้าน รับผิดชอบตัวเอง ยายก็ดีใจ”

โครงการนี้ไม่เพียงทำให้ดรีมสามารถซ่อมและต่อแผงวงจรไฟฟ้าภายในบ้านได้ แต่เขายังได้ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ที่แม้แต่เด็กในระบบบางคนยังทำไม่ได้ ซึ่งนั่นทำให้เขาวาดความฝันครั้งใหม่ขึ้นมา

“ผมตั้งใจจะไปเรียนช่างไฟฟ้าในมหาวิทยาลัยต่อ อยากให้สังคมเปิดโอกาส ให้เข้าใจในตัวเรา ส่วนเราก็ทำเต็มที่ให้เขาดู เป็นคนดีให้ได้”

‘โอกาส’ สำหรับเด็กที่นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงคำพูดสวยหรู แต่เป็นรูปธรรมของการให้จากผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลาย รวมถึงความตั้งใจจริงของผู้รับเอง ซึ่งทำให้ เขา-เด็กก้าวพลาดเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของตัวเองได้

เปลี่ยนมายเซ็ตครูและศิษย์ ลดทฤษฎีสู่ปฏิบัติ

นอกจากโจทย์ใหญ่เรื่องสภาพแวดล้อมและสภาพจิตใจของเด็กในสถานพินิจฯ เอง สถานการณ์โควิด-19 ก็เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้ ผศ.บุญเยี่ยม ยศเรืองศักดิ์ ต้องปรับกระบวนการฝึกอาชีพ โดยปีที่ผ่านมามีการแบ่งเด็กเป็นกลุ่มเล็กลง เน้นให้เด็กได้เรียนรู้และปฏิบัติจริง มีกระบวนการเปิดใจและสร้างแรงบันดาลใจก่อนเริ่มต้นเรียนรู้ เพื่อให้เด็กเห็นเป้าหมายชัดเจน เช่น เรียนแล้วได้อะไร สามารถไปประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง สิ่งสำคัญคือความเชื่อใจระหว่างครูกับศิษย์ เพราะสิ่งที่สอนไม่ใช่แค่วิชาชีพแต่เป็นวิชาชีวิต

“อันนั้นคือจุดหลักเลยครับ ผมถือว่าวิชาชีพเป็นเครื่องมือแค่นั้นเอง หลักจริงๆ คือผมต้องการปรับแนวคิดเขา ถ้าเขาคิดได้ทุกอย่างจบ นี่คือเกราะสำคัญที่สุด พวกนี้คือเครื่องมือ อยากเรียนช่างไฟใช่มั้ย อยากเรียนช่างยนต์ ไปเติมให้เฉยๆ แต่แกนหลักจริงๆ เราคือต้องการปรับให้คิดให้ได้ เพราะถ้าเกิดเขาคิดไม่ได้เขากลับไปที่บ้าน อยู่ในสังคมไม่ได้แน่นอน”

ในมุมของอาจารย์มหาวิทยาลัย ผศ.บุญเยี่ยมบอกว่าตัวเขาเองก็ต้องปรับทัศนคติหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะในด้านการเรียนการสอน

“เด็กที่นี่พอได้สัมผัสเรารู้สึกว่าเขาเป็นเด็กที่น่าสงสารมากเลย มันมีหลายแบบ แต่สุดท้ายก็คือก้าวแรกเขาพลาดไปแล้วก้าวที่สองเขาจะไปยังไง ถ้าเกิดเราไม่ช่วยเขาจะก้าวกลับไปยังไง เขาก็ต้องไปอยู่ในวงจรเดิมๆ เราก็เลยพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ต้องยอมรับว่าพื้นฐานของน้องเขากับเด็กที่เราสอนมันคนละแบบ วิธีการจะคนละแบบ แต่ผมเชื่อมั่นร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับว่าใครก็ได้ ถ้าใจคุณเปิด ถ้าคุณอยากได้ลองเอาหลักสูตรนี้ไปทำ ซึ่งหนึ่งร้อยยี่สิบชั่วโมงนี่มันไม่ได้นาน แต่ทำไมสามารถทำเด็กไปถึงฝีมือแรงงานได้”

ทว่าไม่ใช่ความรู้ในระดับที่นำไปประกอบอาชีพได้เท่านั้นที่จะติดตัวเด็กและเยาวชนเหล่านี้ รูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปคือสิ่งที่การันตีว่า เขาจะเดินต่อไปในลู่ในทางได้ 

“อย่างน้องดรีม ผมไม่ได้สนใจว่าเขาจะได้ใบอะไรไปทำอะไร แต่วันนี้เขาอยู่ในสังคมได้ เด็กที่ไม่เคยไปช่วยยายทำงาน ทุกวันนี้เขาเปลี่ยนไปหมด ผมเคยถามว่าถ้าเกิดสังคมเขาไม่รับ คิดยังไง เขาบอกไม่สนใจเพราะเขาไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น วันนี้เขาได้รับการตอบรับจากสังคม สุดท้ายเขาเอาวิชาชีพไปช่วยต่อไฟที่วัด ชุมชนเริ่มเห็นว่าเด็กคนนี้เขาก็มีดี ทุกวันนี้เขารับเหมาด้วย อันนี้คือสิ่งที่เกิดจากกระบวนการที่เราใส่ตั้งแต่แรก”

แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้คือความภาคภูมิใจของคนเป็น ‘ครู’

“ความภูมิใจที่สุดก็คือมันเกินคำว่าการเรียนการสอนครับ อย่างเราเป็นครูในห้องเรียนเราทำตามคำอธิบายรายวิชาแต่ละเทอม คาบนี้สอนอันนี้ จบ แล้วเด็กก็ค่อยไปปะติดปะต่อรายวิชา จบไปทำงานเอง แต่สอนที่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น ธงเราคือเด็กต้องทำได้และเด็กจะต้องไปทดสอบได้ เด็กต้องมีอาชีพ เพราะฉะนั้นเราก็เริ่มจากเด็กที่ไม่มีความรู้อะไรเลย แล้วเราก็ใช้วิธีการปรับเปลี่ยนตลอด จนวันนึงเรามีความรู้สึกว่าเด็กที่นี่ก็ทำได้ ผมเลยมีความมั่นใจว่าให้ผมไปทำกับเด็กที่ไหนก็ได้ ประชาชนที่ไหนก็ได้ มันมีความมั่นใจมากขึ้น มีความรู้สึกว่านี่คือคำว่าครูของจริง”

นครพนมโมเดล ก้าวกล้าแก้ปัญหาเด็กนอกระบบ

จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในจังหวัดนครพนม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา องค์กรท้องถิ่น หรือภาคประชาสังคม ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานอนุกรรมการสงเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานนอกระบบ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กสศ. ยกให้เป็น ‘นครพนมโมเดล’ ต้นแบบการแก้ปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ขยายช่องว่างสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคม 

“ผมไม่ได้มีความรู้สึกเลยนะครับว่า สถานพินิจที่จังหวัดนครพนมเป็นที่ต้องขังเด็ก หรือว่าเป็นที่พักชั่วคราวหนึ่ง แต่ผมมองว่าสถานพินิจมีบรรยากาศของโรงเรียน มีบรรยากาศของครอบครัวอยู่ตลอดเวลาเลย

แววตาของเด็กที่นั่งเรียน ผมมีความรู้สึกเลยนะครับว่า แม้เขาจะกึ่งสงสัย ยังตั้งคำถามเราอยู่ แต่ความสุขและความมุ่งมั่น และแรงบันดาลใจเกิดขึ้นในสายตาของเด็กๆ เหล่านั้น แล้วถ้าเจอเด็กสองคนที่ผ่านกระบวนการขัดเกลา ผ่านการช่วยเหลือแล้วเขาค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ แววตา อากัปกิริยา หรือว่าพฤติกรรมอะไรต่างๆ เขาเป็นเด็กปกติที่ค้นพบศักยภาพตัวเอง อยากศึกษาต่อ อยากมีอาชีพ ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เราต้องการโมเดลแบบนี้” 

สำหรับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาก่อตั้งเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว มีโจทย์ใหญ่คือ การลดเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยการให้ทุนการศึกษา ให้โอกาส ผ่านทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน และทุนโครงการสนับสนุนการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา เพื่อตัดวงจรการส่งต่อเรื่องความยากจนในครอบครัว

“ใน 3 ปีที่ผ่านมา เราให้ทุนการศึกษาจำนวนไม่น้อยไปสู่กลุ่มต่างๆ เด็กเป็นล้านๆ คน ให้ทุนกับเด็กอาชีวะได้เรียนจนจบ ปวช. ปวส. ให้กลุ่มผู้ยากจนด้อยโอกาสได้รับการฝึกฝนอาชีพโดยการใช้ชุมชนเป็นฐาน และอื่นๆ 

ใน 3 ปี ที่เราจะก้าวต่อไป นครพนมโมเดลเป็นเสมือนก้าวแรกของ กสศ. ที่เราเริ่มรู้ว่า โมเดลนี้มีความสำคัญ เพราะการแก้ไขปัญหาเด็กของประเทศเรา ส่วนใหญ่จะต่างคนต่างทำ มีงบประมาณ มีระเบียบกฎเกณฑ์ มีข้อจำกัดอะไรต่างๆ  มากมาย นครพนมโมเดลสามารถนำคนทั้งจังหวัด Key Person หน่วยงานราชการต่างๆ มาร่วมประชุม มาร่วมลงนามกันได้ ผมถึงบอกว่านี่คือก้าวสำคัญของการในการแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพคนอย่างแท้จริง” 

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ  ย้ำว่าถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ออกจากชุมชน ไม่เกิน 3 เดือนจะเริ่มเข้าสู่วงจรที่ค่อนข้างอันตราย  เพราะครอบครัวส่วนใหญ่หาเช้ากินค่ำ ไม่มีเวลาเอาใจใส่ ระบบการศึกษาก็ขาดคนที่รัก เข้าใจและเอาใจใส่เด็กอย่างจริงจัง “แต่แปลกที่สถานพินิจฯ ทุกคนเหมือนกับ… ผมใช้คำว่า ‘ซ่อมเด็ก’ กันอุตลุตเลย คือทุกคนทุ่มเทที่จะพยายามเยียวยาช่วยเหลือเด็ก ได้เด็กที่จะออกมาแบบสมบูรณ์ ประณีต และมีคุณภาพ แล้วไม่เป็นอันตรายกับสังคมต่อไป” 

หากมองกรณีศึกษาที่นครพนมเป็นต้นแบบ ความหวังที่จะแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนที่ก้าวพลาดจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อหน่วยงานต่างๆ ที่มีทั้งทรัพยากรและบุคลากร เชื่อมโยงและบูรณาการกัน 

“ที่นี่เราเห็นคำสำคัญทุกคำเลยครับ เกิดการมุ่งมั่น ผลักดัน พัฒนา ก้าวหน้า บูรณาการ การขับเคลื่อน เป็นคีย์เวิร์ดและเป็นคอนเซ็ปต์สำคัญของการพัฒนาระดับจังหวัด อันนี้ไม่ใช่แค่นครพนมโมเดล แต่เป็นก้าวย่างสำคัญของประเทศเรา ในการที่จะเป็นแบบอย่าง เป็นจังหวัดต้นแบบการแก้ปัญหาเด็กนอกระบบและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา”

Tags:

นครพนมโมเดลโครงการพัฒนาทักษะอาชีพกสศ.เด็กก้าวพลาด

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Related Posts

  • somjukchana
    Life Long Learning
    ‘วิทยาลัยส้มจุก’ พื้นที่ปลูกความหวัง สร้างการเรียนรู้ ปูทางสู่อนาคตกลุ่มเปราะบาง: อะหมัด หลีขาหรี

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • ข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่ใช่ขีดจำกัดความสามารถ ขอเพียงไม่ปิด ‘โอกาส’ ผู้พิการ: จิดาภา นิติวีระกุล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • เปลี่ยน ‘ผู้คุม’ เป็น ‘นักจัดการเรียนรู้’ สานฝันสร้างโอกาสให้เด็กก้าวพลาดได้เริ่มต้นใหม่

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • วิชาพื้นฐานของคนพิการ คือการเห็นคุณค่าของตัวเอง: เพียงฟ้า สุทธิพรมณีวัฒน์ 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Everyone can be an Educator
    ทางกลับบ้านของคนมีฝัน: จีรนันท์ บุญครอง หน่วยการเรียนรู้ ‘พันธุ์เจีย’ ออร์แกนิก พื้นที่และโอกาสในการเรียนรู้สำหรับทุกคน

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel