- นีรชา คัมภิรานนท์ คุณแม่ลูกสองผู้เคยผ่านประสบการณ์ Baby Blue (ภาวะหรืออาการซึมเศร้าหลังคลอด) และลูกสาวคนโตปัจจุบันอายุ 6 ขวบมีภาวะไฮเปอร์ ทำให้ตลอด 4 ปีแรกของการเป็นแม่ เธอไม่เคยนอนเต็มอิ่มเลยสักวัน
- บทความแบ่งเป็น 2 ตอน ชิ้นนี้ว่าด้วยเรื่องภาวะ Baby Blue ที่เธอเผชิญ และแชร์ประสบการณ์ ‘เป็นครอบครัวเดี่ยว’ คุณแม่ต้องทำอะไรบ้าง ชิ้นที่สองว่าด้วยการตั้งหลัก รับมือกับภาวะไฮเปอร์ของลูก
- แม่คนหนึ่งต้องทำอะไรบ้าง, การเติบโตในฐานะผู้ปกครองมือใหม่เป็นอย่างไร, เธออุทิศตัวทำตามที่สังคมเรียกร้องได้จริงหรือ? ถ้าไม่, เธอเจรจากับมันอย่างไร ถ้าใช่, ทำไมผู้หญิง (ในบทบาทคุณแม่) คนหนึ่ง จึงเปลี่ยนแปลง (transform) ตัวเองได้ถึงเพียงนั้น?
เวลาพูดถึงคำว่า ‘แม่’ ในคำเดียวคำนี้มีทั้ง… ซักผ้า, เปลี่ยนผ้าอ้อม, ทำงานบ้าน, ทฤษฎีการเลี้ยงลูกแบบคุณแม่มือใหม่, ความสมดุลระหว่างการเป็นแม่ เพื่อน และภรรยา และอื่นๆ สารพัด ไม่นับรวมความรู้สึกภายในเชิงนามธรรมหลายอย่างที่อยู่ในหมวด รักและเสียสละ
บทบาทแม่มีมากมายหลายอย่าง และคล้ายเป็นเสียงเรียกร้องขอให้แม่อุทิศตัวอย่างมากมาย
ตลอดเดือนมีนาคม และ พฤษภาคม The Potential ชวนคุณผู้อ่าน ทำความรู้จักกับทฤษฎี ‘จิตวิทยาครอบครัว’ หนึ่งในนั้นคือ ‘บทบาทการเป็นแม่ พ่อ และหรือผู้ปกครอง’ เราตั้งใจชวนคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นบุคคลธรรมดาทั่วไป และผู้ที่สังคมทั่วไปคุ้นหน้าค่าตาดี ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ที่พวกเธอมีจากการเป็น ‘ผู้ปกครองมือใหม่’ ในความตั้งใจที่ว่า…
แม่คนหนึ่งต้องทำอะไรบ้าง, การเติบโตในฐานะผู้ปกครองมือใหม่เป็นอย่างไร, เธออุทิศตัวทำตามที่สังคมเรียกร้องได้จริงหรือ? ถ้าไม่, เธอเจรจากับมันอย่างไร ถ้าใช่, ทำไมผู้หญิง (ในบทบาทคุณแม่) คนหนึ่ง จึงเปลี่ยนแปลง (transform) ตัวเองได้เพียงนั้น?
หนึ่งในบุคคลที่เราชวนจับเข่าคุย คือ คุณแม่แอ๊ค-นีรชา คัมภิรานนท์ คุณแม่ลูกสองผู้เคยผ่านประสบการณ์ Baby Blue หรือ ภาวะหรืออาการซึมเศร้าหลังคลอด (คนละอย่างกับ ‘โรค’ ซึมเศร้า) และลูกสาวคนโต ปัจจุบันอายุ 6 ขวบมีภาวะไฮเปอร์ (Hyperactivity – ภาวะอยู่ไม่สุขหรืออยู่ไม่นิ่ง ขาดสมาธิ และไขว้เขวง่าย) และนั่นทำให้ตลอด 4 ปีแรกของการเป็นแม่ เธอไม่เคยนอนเต็มอิ่มเลยสักวัน ตอนหนึ่งเธอเอ่ยปากพร้อมหัวเราะว่า “เกือบทำให้เธอซึ่งเป็นคนสุขภาพจิตแข็งแกร่งระดับหนึ่ง เข้าข่ายภาวะซึมเศร้าจากความเหนื่อยล้าและจากการไม่ได้นอน” เลยทีเดียว
แน่นอนว่าสถานการณ์ที่คุณแม่แอ๊คเจออาจไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าคุณแม่คนอื่นๆ แต่คุณูปการจากเรื่องเล่าของเธออาจกลายเป็นกำลังใจ และส่งวิธีคิดให้คุณแม่หลายๆ คน บรรเทา ‘อุดมคติการเป็นแม่’ ที่ฝังลึกในจิตวิญญาณ และอนุญาตให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างสนุก ท่ามกลางบริบท ‘ผู้ปกครอง’ ที่ตัวเองเป็น
อนึ่ง บทความนี้ใช้คำว่า ‘แม่’ หรือ ‘ผู้หญิง’ ในความหมายที่เจ้าของเรื่องมีเพศวิถี (Sexuality) เป็นหญิง หากข้อเท็จจริงปัจจุบัน นิยามครอบครัวมีความหลากหลาย บทบาทการเป็นผู้ปกครองไม่จำกัดอยู่ที่เพศสภาวะ (Gender) บทบาทการเป็นแม่ในบทความนี้ ไม่จำเป็นต้องเหมือน หรือเป็นข้อเท็จจริงในอีกหลายครอบครัว
The Pre-Mom Stage:
ก่อนเป็นคุณแม่ โน้มน้าวสามี ‘เธออยากให้ฉันนั่งอย่างโดดเดี่ยวในงานศพเธอเหรอ?’
แนะนำตัว คุณแม่แอ๊คคือใคร
ปัจจุบันพี่เป็นคุณแม่เต็มเวลา ก่อนหน้านี้ทำงานด้านคอนเทนต์ให้กับมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ส่วนสามี-พี่ตุลย์ เป็นนักเขียนอิสระและทำงานประจำบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง พี่และสามีเรียนจบมหาวิทยาลัยเดียวกัน วิชาเอกภาษาไทย ด้านการประพันธ์ พอเรียนจบ อายุได้ 21 ปี ก็ไปทำงานที่สำนักพิมพ์เล็กๆ แถวฝั่งธนฯ และเริ่มใช้ชีวิตด้วยกันสองคนตั้งแต่นั้น อยู่กันแบบศิลปิ๊น… ศิลปิน (หัวเราะ) คืออยู่กันอย่างยากแค้นนั่นแหละ อยู่กันนาน 7-8 ปีก็แต่งงาน แล้วก็เป็นไปตามสเต็ป คือแต่งงานและมีลูก
ก่อนหน้านี้ทั้งคู่อยากมีลูกมั้ย?
พี่อยากมี เป็นคนรักเด็ก ชอบอยู่กับเด็กมากกว่าอยู่กับผู้ใหญ่ รู้สึกว่าเด็กมันใสๆ แต่พี่ตุลย์ไม่อยากมี เล่าก่อนว่าพื้นเดิมพี่ตุลย์เป็นลูกคนเดียว และได้รับการเลี้ยงดูอย่างคนกรุงเทพฯ แท้ๆ ไม่เคยต้องลำบาก และด้วยความที่เค้าเป็นศิลปิน เป็นนักเขียน พี่ตุลย์คิดว่าการมีลูกคือการแพร่พันธุ์อะ เช่น การมีมนุษย์อีกคนคือการแพร่เชื้อโรคนะ สร้างขยะ การเลี้ยงลูกในกรุงเทพฯ ก็ลำบากนะ เค้าบอกว่ายังดูแลครอบครัวได้ไม่ดี กลางคืนยังต้องนั่งเขียนงานดึกดื่นตีหนึ่งตีสอง การมีลูกคืออะไร? เค้ายังมองภาพไม่เห็น
และเพราะเค้าเป็นลูกคนเดียว พี่ตุลย์ไม่เห็นภาพการมีพี่น้อง ส่วนพี่เป็นครอบครัวต่างจังหวัด มีพี่น้องตั้งสามคน เคยชินกับการอยู่กันเยอะๆ ชินว่าในบ้านควรจะมีพี่มีน้องเพื่อช่วยเหลือกัน
หมายความว่าไม่ใช่แค่การมีลูก แต่คือฟังก์ชันการมีครอบครัวที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน?
ใช่… ทุกสเต็ปของชีวิตเรา เรามีพี่น้องตลอดเวลา ไม่โดดเดี่ยว พ่อพี่เสียตอนพี่อยู่มหา’ ลัย รู้สึกเลยว่าการมีพี่น้องมันดีนะ หันกลับไปยังเจอพี่น้อง เราไม่ตาย ไม่โดดเดี่ยว วันนั้นคุยกับสามีว่า “เราควรจะมีแบบนี้มั้ย? จะเป็นแฟนกันไปถึงอายุเท่าไร? นึกถึงตอนแก่สิ เราจะอยู่กันแค่นี้เหรอ เธอจะให้ชั้นนั่งอยู่ในงานศพเธอคนเดียว เป็นคนแก่ที่นั่งเหงาหงอยเหรอ?” คือพี่เป็นคนโน้มน้าวเก่ง แต่อย่าเพิ่งรีบไปมีลูกกันนะ (หัวเราะ) สรุปแล้วเค้าก็ยอมมีคนหนึ่ง เขามีความสุขกับการมีลูกคนแรกจนขนาดยอมมีคนที่สอง และพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงว่ามีอีกมั้ย? อยู่เนืองๆ (หัวเราะ)
เงื่อนไขการมีลูกต้องคิดหลายอย่าง ถ้าความรักไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ มันอาจสร้างเงื่อนไขบางอย่างได้
ด้วยความที่เป็นแฟนคนแรก คบกันมา 7 ปี เรามีอะไรที่เหมือนกันหลายอย่าง ไม่เคยทะเลาะกันเลย มีเรื่องเดียวที่เห็นไม่ตรงกันคือเรื่องลูกนี่แหละ ตอนคบกัน เค้าบอกชัดว่าแต่งงานนะ อายุ 27-28 เก็บเงินได้แล้วจะแต่งเลยแต่แค่ไม่มีลูก เรามองว่าถ้าเค้าเอ่ยปากเรื่องแต่งงาน ก็คงใช่แล้วแหละ เราก็คงอยู่กับผู้ชายคนนี้ ดูแลกันไปยาวๆ
พอจัดพิธีแต่งงานแล้ว โน้มน้าวได้แล้ว ก็ปล่อยให้มีลูก คนแรกคือน้องอิ่มใจ ตอนนี้อายุ 6 ปี คนเล็กน้องโอบเอื้อ อายุ 2 ขวบ
ความคาดหวังก่อนมีลูก อยากเป็นแม่แบบไหน
ตั้งแต่เล็กจนโต เราจะมีคอนเซปต์ของการถูกผิด ควรทำ/ไม่ควรทำ เลยอยากเป็นแม่ที่เป็นเพื่อนของลูก ไม่มีคำว่าผิด/ถูก ไม่ตัดสิน
ในช่วงตั้งครรภ์ของคุณแม่มือใหม่และสมัยใหม่ มักหาข้อมูลเยอะมาก คุณเป็นแบบนั้นมั้ย
เพราะเคยทำงานกับมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว เลยพอจะมีความรู้เรื่องคุณพ่อคุณแม่อยู่เดิม และเพราะพี่ชอบอ่านหนังสือด้วย ตอนจะมีลูกคนแรกอ่านเยอะมาก (ลากเสียง) อ่านจนแบบ… นักวิชาการเรื่องนั้นเรื่องนี้ คุณแม่สมัยใหม่ต้องเลี้ยงแบบนี้ๆ ต้องวิชาการ ต้องพึ่งคุณหมอ หมอคนนั้นพูดแบบนี้ หมอคนนี้พูดแบบนั้น… ตายแล้ว (ลากเสียง)
แต่มันต้องแบ่งพาร์ทนะ ระหว่างพี่คนเก่าตอนมีลูกคนแรกกับตอนมีลูกคนที่สอง ตอนท้องลูกคนแรกเราเครียด ออกมาเค้าก็เครียดจริง นางเหมือนเราตอนนั้นเลย เครียด ไม่อยู่นิ่ง มันมีปัญหานะเวลาที่ใช้วิชาการเยอะ แต่พอลูกคนที่สอง โอโห… ชิลมาก เอาวิชาการเป็นแค่พล็อต
Baby Blue: ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
ก่อนมีลูก คิดแพทเทิร์นการเป็นแม่ไว้อย่างไร เช่น เอาอยู่แน่นอน หรือ ตายแล้ว ลูกคนนี้จะอยู่กับชั้นไปอีกอย่างน้อย 20 ปี!
ก่อนหน้านั้นคิดว่ายังไงก็เอาอยู่ เลี้ยงลูกง่ายๆ แค่เด็กคนหนึ่ง แต่… พี่ร้องไห้ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล เป็น baby blue ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดลูก เพราะเค้าเป็นลูกคนแรก เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เอาลูกคืนไม่ได้ เอากลับไปก็ไม่ได้ ชั้นต้องอุ้มเธอไปตลอด มันเป็นภาวะแบบ… ออกจากโรงพยาบาลก็น้ำตาไหล ชั้นจะทำยังไงกับเด็กคนนี้ดี ชั้นจะตายมั้ย กลัวลูกตายอยู่ตลอดเวลา รู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา เราผิดมั้ยที่ให้เค้าเกิดมา เค้าต้องเผชิญกับอะไรบ้างเนี่ย โลกมันแย่
เริ่มกลัวตั้งแต่น้องอยู่ในท้องมั้ย หรือ พอออกมาค่อยคิด ค่อยกลัว?
พอคลอดแล้วค่อยกลัว แปลกมาก เรารู้ตัวเลยว่ามันคือฮอร์โมนที่ผิดปกติ เพราะตอนท้องเค้าเรายังแฮปปี้อยู่เลย พูดกับเค้า อ่านหนังสือให้ฟัง แต่พอวันที่สามของการคลอดซึ่งเป็นวันที่ออกจากโรงพยาบาล รู้ตัวเลยว่าร้องไห้ตลอดเวลา ร้องทำไม? ทำไมเราไม่มีความสุขกับลูก อุ้มลูกแล้วร้อง ต้องแบบ… เอาไปหน่อย ไม่อยากอุ้ม
บางคนมีภาวะเกลียดลูก มีภาวะนั้นด้วยมั้ย
บางคนมีภาวะนี้ แต่พี่ไม่เกลียด แค่กลัว ไม่มั่นใจว่าเราจะอุ้มเค้าได้ ไม่มั่นใจว่าเค้าจะตาย/ไม่ตาย แต่ปรากฎว่าเด็กไม่ได้ตายง่ายอย่างนั้นทุกคน (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นอะ… อาจเป็นเพราะภาวะซึมเศร้า แค่กินข้าวยังรู้สึกผิด เฮ้ย… ควรต้องนั่งปั๊มนมให้ลูกก่อนมั้ย เอาลูกเข้าเต้าก่อนมั้ย? นั่งร้องไห้ตอนกินข้าวทุกครั้ง
ดีว่าอ่านหนังสือกันมาเยอะ รู้ว่านี่คือภาวะ baby blue นะ แบบนี้ไม่ใช่สิ่งปกติ สามีคอยกอดคอยบอกตลอดว่า “เธอ เราอยู่ตรงนี้” ถือถาดข้าวมาให้ “กินสองสามคำก็กินหน่อยนะ” อาบน้ำก็รู้สึกผิด ได้ยินเสียงลูกร้องอยู่ในหูตลอดเวลา
มันดูทุกข์ทรมานใช่มั้ย? แต่จริงๆ มันเป็นแค่เดือนเดียวนะ ถ้าเราไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้วจริงๆ ประมาณเดือนหนึ่งฮอร์โมนจะค่อยๆ ปรับ และเราจะเริ่มรู้ละว่าลูกไม่ตายง่ายๆ หรอก เราจะเริ่มคลายใจ
ช่วงเปราะบางในขอบเดือนแรก ใครมาซัพพอร์ตบ้าง
ตอนนั้นแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่บ้านพ่อแม่สามี เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้อาการ baby blue มันหนักขึ้น เพราะคนที่อยู่ดูแลไม่ใช่แม่เรา แต่เป็นแม่สามี อธิบายก่อนว่าพ่อแม่สามีดูแลเราดีมากเลยนะ ทุกครั้งที่รู้สึกว่าไม่ไหว ปู่ย่าจะอุ้มหลานไปอยู่ชั้นสอง แต่พอเค้าอุ้มหลานลงไป เราก็ยืนร้องไห้ รู้สึกเศร้าว่าต้องมีคนมาเอาลูกเราไปช่วยดูแล
สนใจที่บอกว่า ‘ถึงเค้าจะดูแลดี แต่ไม่ใช่แม่เราจริงๆ’ มันเป็นยังไง ถ้ามีแม่จริงๆ อยู่ตรงหน้า เราจะดีขึ้นเหรอ?
เพราะเราจะจู้จี้จุกจิก วิตกจริตกับแม่เราได้ เช่น “แม่ช่วยหน่อย” “แม่มาตรงนี้” “แม่ต้องอยู่ตรงนี้นะ” “แม่ต้องอุ้มหลานยังงี้” แต่พอเป็นแม่สามีเราจะเกรงใจ เพราะฉะนั้นความซึมเศร้าก็จะยิ่งหนัก ยิ่งถมเรา เรื่องเล็กน้อยก็ทำเอาเครียดไปหมด
ในสถานการณ์นั้น สามีเข้ามาช่วยยังไง ซัพพอร์ตยังไงบ้าง
ตอนนั้นสามียังเป็นนักเขียนอิสระอยู่ เวลาเค้าก็จะฟรีๆ หน่อย อยู่ซัพพอร์ตเราได้ตลอด
เค้าพูดกับเราคำหนึ่ง “ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าจะคิดหรือตัดสินใจยังไง เค้าอยู่เคียงข้างเสมอ” คำพูดแบบนี้มันโอเคมากสำหรับคนที่เป็นซึมเศร้า ไม่ใช่มาพูดว่า “เฮ้ย มันไม่ได้เป็นอะไร แค่ซึมเศร้า” “สู้ๆ นะ แค่ซึมเศร้าเดี๋ยวก็หาย” ไม่ต้องมาพูดเลยเพราะมันเป็น
เค้ามีจิตวิทยาในการพูดกับเรา อาจเป็นเพราะเค้าเห็นเราอุ้มท้องมา 9 เดือน แล้วก็ต้องมาคลอด มานั่งปั๊มนม เอาลูกเข้าเต้า เห็นเราไม่ได้นอน เห็นความลำบาก ก็เลยเห็นใจกัน
ความรู้สึกต่อสามีที่ประกาศแต่แรกว่าจะไม่มีลูก แต่วันที่คุณ baby blue ดูแลเป็นธุระไม่ห่าง รู้สึกอย่างไร
แปลกมาก ตอนนั้นเราไม่ไว้ใจใครเลย แต่กับสามี… ไว้ใจที่สุด เค้าจะไม่อุ้มลูกไปไหน อุ้มอยู่ใกล้ๆ เรานี่แหละ พี่ตุลย์เค้าเป็นคนนิ่ง เงียบ พูดน้อย พูดแต่สิ่งที่จำเป็นจริงๆ ไม่ต้องมาแบบ… อรรถาธิบายว่าโลกนี้เป็นอย่างนี้ เธอไม่ควรจะยังงี้ แต่ควรยังงี้ ความเงียบของเค้ามีประโยชน์ต่อคนเป็นซึมเศร้า ใช้หูฟังเรา เราจะพร่ำเพ้อ ฟูมฟายฟูมฟักอะไรก็ปล่อยเมียไป กลายเป็นดีสำหรับเรา ซึ่งไม่ใช่ทุกบ้านที่โชคดี นึกออกมั้ย?
ถ้าอ่านข่าวจะเห็นว่ามีแม่เพิ่งคลอดอุ้มลูกเดินลงน้ำ เพราะน้อยใจสามีในเรื่องที่เล็กน้อยมากๆ ถ้าเราไม่รู้พัฒนาการคลอด รู้เรื่องฮอร์โมนหรืออะไรพวกนี้ เราก็จะด่าว่า “อีแม่นี่มันใจยักษ์” แต่ใครจะรู้ว่าภาวะนี้มันน่ากลัวนะ ถ้าคุณได้สามีหรือคนรอบข้างที่ไม่เข้าใจ มันยาก
ต้องยอมรับว่ามันเป็นแค่ระยะสั้นจริงๆ คุณต้องอดทนกับคนที่ ‘กำลังเกิดเป็นแม่’ แม่เกิดพร้อมกับลูก เราเกิดขึ้นพร้อมกัน ตอนนี้เพื่อนๆ เริ่มมีลูกกันแล้ว ทุกคนจะบอกว่า ชั้นรู้สึกผิดกับเรื่องนี้เรื่องนั้นตลอดเวลา เราบอกว่า “แก… เราก็เกิดพร้อมลูกเนอะ ก็เป็นแม่ครั้งแรกเหมือนลูก จะคาดหวังว่าต้องเพอร์เฟค ดูแลลูกอย่างสวยงาม มันไม่มีหรอก มันก็ต้องเรียนรู้ไปทุกวัน”
คุณแม่ และคุณแม่บ้านที่ต้องแบกทุกสิ่ง
ผ่านวิกฤติหนึ่งเดือนไป เล่าต่อได้มั้ยว่าช่วงไหนที่วิกฤติ มีอุปสรรค หรือเป็นบทเรียนในช่วงคุณแม่มือใหม่อีก
พอลูกคลอด พี่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าไม่อาจเป็นครอบครัวขยายได้อีกต่อไป ต้องการแยกตัวออกมา เพราะลูกเริ่มโตขึ้น เริ่มมีพัฒนาการของเด็กตามวัย ด้วยการใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องนอนชั้น 3 ลูกก็เติบโตขึ้นทุกวัน มีพัฒนาการตามวัยของเขาที่เรามองกันว่า สถานที่เริ่มไม่เอื้ออำนวยต่อพัฒนาการเขา สังคมเดียวที่ลูกมีคือพ่อแม่ปู่ย่า เราเข้าใจว่าช่วง 3 ปีแรก 6 ปีแรก เป็นปีทองของพัฒนาการร่างกายและจิตใจ เด็กต้องสัมผัสธรรมชาติ ต้องเห็นสีสัน ต้องไม่อยู่แต่ในตึกแต่ในห้อง เลยคุยกับพี่ตุลย์ว่า เออ… ยอมเนอะ ยอมสู้ ยอมเหนื่อย ดูซิว่าถ้าไม่มีคนซัพพอร์ต เราจะเลี้ยงลูกของเราเองได้มั้ย แต่ที่เล่าแบบนี้ ก็เป็นพี่แอ๊คในวันนั้นนะ วันที่เราคิดแบบนั้น
ออกมาเป็นครอบครัวเดี่ยว เป็นอย่างไรบ้าง?
ต้องปรับตัวเยอะมาก เพิ่งรู้ว่าแม่ที่อยู่ในครอบครัวเดี่ยวต้องแบกทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เอาไว้ ทั้งงานบ้าน ผ้าอ้อม รายละเอียดมันเยอะ ดีว่าหายซึมเศร้าแล้วนะ ถ้าไม่หายสงสัยฆ่าตัวตายแน่ เพราะมันทั้งวันทั้งคืน ลูกร้อง มีปัญหาสุขภาพ ภูมิแพ้ เหมือนชั้นต้องเป็นแม่ที่ตัวใหญ่ขึ้น มีอำนาจมากขึ้น ต้องตัดสินใจเรื่องลูกมากขึ้น
หลายคนบอกว่าคุณแม่บ้าน อยู่บ้านทั้งวันต้องว่างแน่ๆ แต่กิจวัตรประจำวันคนเป็นคุณแม่เต็มเวลา มีอะไรบ้าง
ไม่ว่าลูกจะตื่นกี่โมง ลูกตื่นเราตื่น ไม่รู้ว่าจะตื่นตอนไหน อาหารมื้อแรกต้องเตรียม วันหนึ่งกินอาหาร 3 มื้อ ก็ทำมื้อชนมื้อเลย ไม่นับเรื่องความสะอาด ทั้งเนื้อตัวลูกและงานบ้าน ลูกเป็นภูมิแพ้นี่ก็ต้องกวาดต้องถู จานชาม มีสามมื้อก็ล้างไปเลยสามมื้อ ขวดนมก็ต้องล้างต้องนึ่ง เรื่องผ้าอ้อมก็เหมือนกัน เมื่อก่อนอยู่กับปู่ย่าเค้าก็ซักให้ มาอยู่กันเองใช้ผ้าอ้อมสำเร็จเสมอ เพราะว่าไม่ทัน ไม่ทันจริงๆ (ย้ำ) ทำไปทำมา อ้าว… เราเป็นครอบครัวยุคใหม่ไปแล้ว ตื่นขึ้นมาเหมือนคนจะจมน้ำอยู่ตลอดเวลา (หายใจแรง)
ตกเย็นพาออกไปสนามเด็กเล่น เพราะลูกควรออกไปเห็นอากาศข้างนอกบ้าน มีสังคม ไปหกล้มหัวแตกก็ต้องวิ่งไปตามกัน เข้าบ้านทุ่มหนึ่ง สองทุ่มต้องเตรียมอาบน้ำ เตรียมของว่าง อาบน้ำ นอน พอลูกนอน นึกว่าเราได้นอนมั้ย? เปล่า จานชามขวดน้ำขวดนม
พอพูดแล้วเดี๋ยวน้ำตาไหล ทั้งที่เป็นคนร้องไห้ยากนะ (หัวเราะ) แต่พอทบทวนดู เออนะ ทำไมคนถึงถามว่าไม่ช่วยสามีทำงาน กรุงเทพฯ อยู่ยากนะ ทำงานคนเดียว มาเป็นชั้นสิ (หัวเราะ) เอากล้องวงจรปิดมาติดเลยว่าตั้งแต่เช้าเราทำอะไรบ้าง
มีอารมณ์เหมือนในละครมั้ย มีลูกแล้วความสัมพันธ์แย่ลง ทะเลาะกับสามีเพราะระบายความเครียดใส่กัน
ไม่มีกับพี่ตุลย์นะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของประเทศนี้อะ แต่พี่ตุลย์เค้าซัพพอร์ต กลับบ้านทุ่มครึ่ง ถ้าอยากอยู่กับเมียหลังลูกหลับก็ต้องช่วยล้างจาน ช่วยกันทำงานก่อน ไม่งั้นชั้นต้องมายืนเป็นอีแจ๋วหน้ามันล้างนู่นล้างนี่ เอาเวลามาแบ่งกัน
ความเครียดของพี่มีอย่างเดียว คือพ่อเค้าเป็นนักเขียนอิสระและมีงานออฟฟิศด้วย งานเยอะ เค้าต้องนั่งตรงนี้(โต๊ะกินข้าว) ตลอดเวลาเลยนะ ความเครียดของแม่คือ ลูกกวนพ่อ เหมือนเราเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกแล้ว เหนื่อยมากนะ แต่ต้องมาคอยกันลูกไม่ให้มายุ่งกับพ่ออีก “อย่า… มานี่ มาห้องนี้” ปิดกระจกกั้น (ระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องกินข้าว) แต่ว่าด่าสามีมั้ย ไม่ เค้ากำลังทำงาน กำลังทำหน้าที่ของเค้าอย่างเข้มข้น แต่เราเองก็ไปเครียดกับลูก ต่างคนต่างเครียด
บางทีเค้าวางงานไปเล่นกับลูก เราก็จะไล่ “ไป๊… ไปทำงานเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน” แต่จริงๆ การที่เค้าข้ามจากห้องนี้ไปห้องนู้นเพื่อช่วยเลี้ยงลูก มันคือน้ำทิพย์ชโลมใจนะ เหนื่อยมาทั้งวัน เหนื่อยมากเลย ชั้นเบื่อหน้าเด็กสองคนนี้มากเลย ชั้นอยากไปดูซีรีส์ของชั้น (หัวเราะ)
สุขและทุกข์การเป็นแม่คืออะไร
เห็นพัฒนาการของลูกก็มีความสุขแล้ว จากคลานมาเดิน จากเดินมาวิ่ง ลูกเขียนหนังสือได้ตัวหนึ่ง โอ้โห… ปริ่มเปรม มีความสุขมาก ลูกวาดรูปได้ เล็กๆ น้อยๆ มีความสุข คล้ายว่า เพิ่งรู้ว่าชั้นมีขุมทรัพย์พลังอยู่ในตัว เก็บเงินได้มากมาย บ้านช่อง… สบาย มีรถมีบ้าน บางทีก็ถามตัวเองนะว่า “ทำไปทำมา ทำไมจู่ๆ มั่นคงนะ?” “อ๋อ พลังจากลูกไง” เราไม่ได้แชร์พลังให้เค้าอย่างเดียวนะ เค้าให้เราด้วย มันมีความหวัง มีพลัง อะไรที่มันหนักหนายากเย็นหรือต้องฝืนใจฝืนความรู้สึก มันก็ เออ… ชั้นทำได้วะ ชั้นทำได้มากกว่าที่คิด ชั้นไปงานโรงเรียนลูก ไปนั่งฟังอะไรก็ไม่รู้ ไปในจุดที่คิดว่าชั้นไปไม่ได้ นี่คือความสุข